น่าจะถือเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับใครหลายคนไม่น้อย ที่ในการประกาศรางวัลออสการ์ปีล่าสุด ผลรางวัลในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ตกเป็นของหนังอาร์เจนตินาที่ชื่อ The Secret in their Eyes เรื่องนี้ แทนที่จะเป็นหนังเต็งหามที่ราศีจับแพรวพราวกว่าอย่าง The White Ribbon ตัวแทนประเทศเยอรมนี หรือ The Prophet ตัวแทนฝรั่งเศส
แต่ก็อย่างว่าล่ะนะคะ การตัดสินความยอดเยี่ยมดีเด่นของอะไรสักอย่างหนึ่งโดยคนกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานในขอบข่ายศิลปะทุกแขนง ซึ่งหาเกณฑ์อันเป็น “รูปธรรม” มาชี้วัดความดีได้ค่อนข้างยาก ต่อให้มีเครื่องหมายรับรองทางการค้าว่าบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกให้มาเป็นกรรมการนั้น ทรงคุณวุฒิและเป็นกลางขนาดไหนก็ตาม ลงท้าย ดิฉันยังเห็นว่ามันมีเรื่องของ “รสนิยมส่วนตัว” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไม่มากก็น้อย บางคนโดนเป็นพิเศษกับหนังบางประเภท และไม่รับ ไม่โดน “ไม่ได้เลย” กับหนังบางประเภท
ที่กำลังจะบอกก็คือ ที่สุดแล้ว เพื่อความผาสุกของหัวจิตหัวใจ บางทีเราควรปล่อยให้รางวัลเป็น “เรื่องของรางวัล” รักใคร่ชอบพอหนังเรื่องไหน เราก็รักของเราเงียบๆ ต่อไป ไม่ว่ามันจะได้รางวัลหรือโดนหนังเรื่องไหนแซงปาดตัดหน้าคว้าไปสบายใจเฉิบก็ตาม
อย่างที่เกริ่นเอาไว้แล้ว The Secret in their Eyes นั้นเป็นหนังจากประเทศอาร์เจนตินา ผลงานกำกับของ ฆวน โฆเซ คัมปาเนลลา ซึ่งเท่าที่ดูจากเครดิตใน imdb.com เคยผ่านงานกำกับซีรีส์ของทางฝั่งอเมริกามาโชกโชนใช้ได้เหมือนกัน ซีรีส์ดังๆ ที่คัมปาเนลลาเคยช่วงกำกับบางตอนก็เช่น House M.D. และ Law & Order
ในส่วนของหนังใหญ่ฉายโรง The Secret in their Eyes เป็นผลงานชิ้นที่ 7 ของเขา
หนังดัดแปลงจากนิยายของ เอดูอาร์โด ซาเครี (ชื่อดั้งเดิมของนิยายในภาษาสเปนคือ La Pregunta de sus Ojos ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า The Question in their Eyes)
หนังใช้กรุงบัวโนสไอเรสช่วงปลายทศวรรษที่ 90 เป็นฉากหลังของเรื่อง ตัวเอกคือ เบนฆามิน เอสโปซิโต อดีตเจ้าหน้าที่สำนักอัยการซึ่งปัจจุบันเกษียณปลดระวางตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังเริ่มต้นสร้างบทบาทใหม่ให้กับตัวเอง นั่นก็คือ การเขียนหนังสือ
เอสโปซิโตเลือกคดีอุกฉกรรจ์คดีหนึ่งที่ตัวเองเคยมีส่วนร่วม เป็นหัวข้อหลักสำหรับหนังสือเล่มแรกในชีวิตของตัวเอง
คดีดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษที่ 70 –หรือกว่า 20 ปีก่อน- ลิเลียนา โมราเลส ครูสาวสวยสะพรั่งที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตคู่ได้ไม่นาน ถูกข่มขืน ทำร้าย และฆ่าอย่างโหดเหี้ยมภายในอพาร์ตเมนต์ที่เธอพักอยู่กับสามี
จากปากคำของเอสโปซิโต ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่เคยหลงหายไปจากความทรงจำของเขาแม้แต่เสี้ยววินาที ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในชั่วขณะแรกที่เขาเห็นศพของเธอ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบทสรุปของคดีที่ดูเหมือนจะสร้างความเจ็บปวดและสูญเสียให้กับทุกผู้คนที่เกี่ยวข้อง
สำคัญกว่านั้นคือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างที่คดีนี้ยังไม่ถึงแก่กาลสิ้นสุด – ทั้งความรักของ ริคาร์โด โมราเลส สามีของลิเลียนา ที่ผลักดันเขาไปจนถึงขีดขั้นที่ใช้การตามล่าตัวคนร้ายที่ฆ่าภรรยาของตนเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเพียงสิ่งเดียวของชีวิต ทั้งความผูกพันทางใจลับๆ ระหว่างตัวเอสโปซิโตเองกับ อิเรเน เลขาฯ ผู้พิพากษาคนใหม่ซึ่งมีส่วนร่วมรับผิดชอบคดีดังกล่าวร่วมกันกับเขา และมีสภาพพื้นฐานทางครอบครัวสูงส่งจนเขาไม่อาจเอื้อม
หนังเปิดเรื่องด้วยภาพบั้นปลายของเหตุการณ์ครั้งนั้น ซึ่งก็คือช่วงเวลาแห่งการพลัดพรากลาจากของเอสโปซิโตกับอิเรเนที่สถานีรถไฟ จากนั้นจึงตัดเข้ามาสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน เอสโปซิโตกำลังอยู่ในสภาพติดขัดสับสนกับงานเขียนเล่มแรกในชีวิตของตัวเอง เขาจึงตัดสินใจแสวงหาตัวช่วย ซึ่งก็คือผู้ที่แบ่งปันประสบการณ์ร่วมกันกับเขาในเหตุการณ์ครั้งนั้น
การตัดสินใจดังกล่าว นำพาเอสโปซิโตหวนคืนกลับไปพบหน้าอิเรเนอีกครั้งหนึ่ง
มากกว่านั้นก็คือ มันยังนำพาให้เขาย้อนกลับไปหาอดีตที่ยังค้างคา ธุระที่ยังจัดการไม่สำเร็จ ในเหตุการณ์หนนั้นด้วย
หากจำเป็นต้องเปรียบเทียบกันจริงๆ ระหว่าง The Secret in their Eyes กับหนังที่ “เต็งกว่า” อีกสองเรื่อง –คือ The White Ribbon และ The Prophet- โดยส่วนตัว ดิฉันเห็นว่า The White Ribbon ของ มิคาเอล ฮาเนเก นั้นมีความ “พิเศษ” กว่ามาก (พูดอีกแบบก็คือ ส่วนตัวแล้วดิฉันชอบ The White Ribbon มากกว่า)
ความพิเศษที่ว่า ว่ากันอย่างสรุปก็คือ มันมีทั้งรูปแบบการนำเสนอ (อาทิ การถ่ายหนังด้วยภาพขาว-ดำ) การสร้างบรรยากาศคลุมเครือชวนฉงนแบบนิ่งๆ เลือดเย็น ทำสงครามจิตวิทยากับผู้ชม (ซึ่งถือเป็นของถนัดของฮาเนเก) รวมถึงความแยบยลในการสื่อสารสาระสำคัญผ่านเนื้อหาทั้งหลายทั้งปวงของหนัง (The White Ribbon นำเสนอสาระอันว่าด้วยการ “สืบทอดความรุนแรง” ผ่านเนื้อหาที่เล่าถึงอาชญากรรมปริศนาที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า)
กระนั้นก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ The Secret in their Eyes เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ก็คือ มันเป็นหนังที่ “เข้าถึง” ผู้ชมโดยรวมได้มากกว่า – หรือพูดอีกแบบก็คือ มันดูง่ายและดูสนุกกว่ากันเยอะ (ส่วนตัวแล้วดิฉันเห็นว่า The White Ribbon เป็นหนังที่น่าติดตามเอามากๆ ทว่าขณะเดียวกัน ก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่า สำหรับผู้ชมที่แพ้หนังนิ่งๆ เนิบๆ อยู่แล้วเป็นทุน ดูหนังของฮาเนเกเรื่องนี้แล้วอาจถึงกับร่วงหลับคาจอเอาได้ง่ายๆ)
พิจารณาหนังของฆวน โฆเซ คัมปาเนลลาเรื่องนี้ด้วยความเป็นตัวของมันเองล้วนๆ โดยไม่ต้องพาดพิงกับหนังเรื่องไหน – The Secret in their Eyes เป็นหนังสืบสวนสอบสวนระทึกขวัญที่มีอารมณ์ในเชิงโรแมนติก-ดรามา (ที่ค่อนข้างจะเศร้า) คลอเคล้าโดยตลอดทั้งเรื่อง (ทั้งเรื่องราวในส่วนของเอสโปซิโตกับอิเรเน และริคาร์โด โมราเลสกับภรรยาที่จากไป)
และความเก่งกาจของหนัง ก็คือ การที่มันสามารถเรียงร้อยเรื่องราวในทั้งสองส่วน –คือ การสืบสวนหาตัวฆาตกร และความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร- อยู่ร่วมกันได้อย่างแนบเนียนจนมันกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
เช่นเดียวกับการแทรกใส่บริบทแห่งยุคสมัย จำพวก ปัญหาของช่องว่างระหว่างชนชั้น ความสิ้นประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม ความอยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ความหวาดกลัวภัยคอมมิวนิสต์ – หนังพูดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ในปริมาณที่มาก-น้อยลดหลั่นกันไป แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การพูดถึงมันในทุกๆ ครั้งก็ยังคงอิงเกาะอยู่กับเส้นเรื่องหลัก (คือ การสอบสวนคดี) หนังไม่มีฉากยัดเยียดจงใจประเภทที่ให้ตัวละครมาพร่ำบ่นกันว่า “เกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองของฉัน” หรือฉากวิพากษ์วิจารณ์การเมืองที่เกินเลย (ถ้าดิฉันไม่พลาด คำว่า “คอมมิวนิสต์” ปรากฏในหนังแค่ครั้งเดียว –ทั้งที่มันมีผลต่อบทสรุปของคดีมาก- ซ้ำยังเป็นฉากที่ตัวละครสองตัวโต้เถียงทะเลาะกันอย่างวุ่นวาย)
พ้นจากนั้นแล้ว ที่ถือว่าเป็นข้อดีอย่างที่สุดของหนัง ก็คือ การที่เรื่องราวของตัวละครสำคัญๆ ทุกตัว ที่สุดแล้วล้วนเป็น “เรื่องเดียวกัน” ทั้งหมด
จะเป็นเอสโปซิโตก็ตาม ริคาร์โด โมราเลสผู้เป็นสามีของเหยื่อก็ตาม เพื่อนขี้เหล้าของเอสโปซิโต (เป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญตัวหนึ่งในเรื่อง) ก็ตาม หรือกระทั่งตัวฆาตกรเองก็ตาม – ทุกคนล้วนตกอยู่ในสภาพ “ยึดติด” และ “ลุ่มหลง” พาชีวิตไปยึดโยงอยู่กับอะไรสักอย่างด้วยกันทั้งนั้น
ความลุ่มหลงของเอสโปซิโตในวัยหนุ่มคืออิเรเน ขณะที่ปัจจุบัน เขาพบตัวเองถูกเรื่องราวในอดีตหนนั้นเกาะกุมอย่างไม่อาจสลัดพ้น
เช่นกันกับริคาร์โด โมราเลส ซึ่งใช้การตามล่าหาฆาตกรผู้สังหารภรรยาของตนเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเพียงสิ่งเดียวของชีวิต (ฉากหนึ่งที่สะเทือนใจมาก คือ คราวที่โมราเลสบอกกับเอสโปซิโตว่า เขาหวนกลับไปคิดถึงเช้าวันสุดท้ายที่ได้พบหน้าภรรยา “เธอทำชาให้ผมดื่ม เพราะคืนก่อนหน้านั้นผมไอ...แต่ตอนนี้ หนึ่งปีแล้วนับตั้งแต่เธอจากไป ผมกลับจำไม่ได้แล้วว่า เธอใส่มะนาวลงไปในชาด้วยหรือเปล่า”)
ตัวฆาตกรเอง แรงขับสำคัญที่ทำให้เขากระทำการโหดเหี้ยมชั่วร้ายเช่นนั้น ก็เป็นเพราะความลุ่มหลงที่มีต่อตัวลิเลียนาผู้เป็นเหยื่อ
ขณะที่เพื่อนขี้เหล้าของเอสโปซิโต ซึ่งเป็นผู้ที่จุดประเด็นเรื่องความลุ่มหลงขึ้นมา – ก็ยอมรับว่า เหตุผลที่เขาแวะเวียนมาซัดเหล้าเสียจนเมาไม่รู้เหนือรู้ใต้ไม่เว้นแต่ละวัน ก็เพราะมันเป็นความลุ่มหลงของเขา
คราวที่หยิบยกประเด็นเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพูดถึง เพื่อนขี้เหล้าของเอสโปซิโตอธิบายว่า ความลุ่มหลงก็คือ การที่ไม่ว่าเราจะหันไปทางไหน เบนความสนใจของตัวเองไปสู่สิ่งใด ลงท้ายเรากลับพบว่าไม่สามารถสลัดเป้าหมายแห่งความลุ่มหลงของเรา ทิ้งไปจากหัวได้เลยแม้แต่น้อยนิด
“คนเราเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนได้ เปลี่ยนจุดยืนทางการเมือง เปลี่ยนศาสนา แต่กับสิ่งที่เป็นความลุ่มหลงของนาย...นายไม่มีทางเปลี่ยนมันได้หรอก”
บทสรุปลงท้ายของหนังทำให้ผู้ชมตระหนักว่า ไม่ว่าเราจะถูกพร่ำสอนกันมาสักแค่ไหนว่า ไม่ควรพาชีวิตไปยึดติดอยู่กับอะไรให้มากมายนัก แต่สำหรับบางคนและบางกรณี...
ความลุ่มหลงและอาการยึดติด มีความหมายเท่ากับ “เหตุผลเดียวที่ยังคงมีชีวิต”