xs
xsm
sm
md
lg

‘บาว-ปาน (รีเทิร์น)’ อัลบั้มภาคต่อมา:เดินตามรอยทางความสำเร็จแบบเดิมๆ ที่น่าเหนื่อยใจ/พอล เฮง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

paulheng_2000@yahoo.com

การโคจรมาพบกันของคนทำงานเพลงในเชิงพาณิชย์ศิลป์ในระดับชื่อชั้นนักร้องหรือวงดนตรีในระดับแม่เหล็กมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่กำหนดไม่ได้ตายตัวว่า เมื่อมาเจอกัน ทำงานร่วมกันแล้วจะบรรลุผลสำเร็จทั้งในการสร้างสรรค์งานออกมาให้ลงตัวดูดีมีกึ๋น รวมถึงความสำเร็จทางการตลาดและยอดขาย เป็นที่ชื่นชอบของคนฟัง

แต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว อัลบั้ม ‘หนุ่มบาว-สาวปาน’ สามารถเป็นกรณีตัวอย่างที่บรรลุผลทั้งสองด้านอย่างลงตัว มีเคมีตรงกันผสมผสานเป็นสูตรที่สมบูรณ์แบบอย่างไม่มีใครคาดคิด

ในวันนี้พวกเขามีอัลบั้มชุดที่ 2 ‘บาว-ปาน (รีเทิร์น)’ ออกมาเรียบร้อยแล้ว

และเป็นไปตามคาด แต่ไม่ใช่ความคาดหวัง หลังจากที่ได้ฟังเพลงทั้ง 10 บทเพลงในอัลบั้มที่วงคาราบาวกลับมาร่วมทำงานอีกครา กับ ปาน-ธนพร แวกประยูร ดูเหมือนฟังงานภาค 2 ที่ย้ำรอยความสำเร็จจากอัลบั้มชุดแรกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

ไม่น่าแปลกใจที่มีอัลบั้มชุดนี้ออกมา ซึ่งก็หมายถึงการมาจับมือกันสมประโยชน์ของ 2 ค่ายเพลงคือ วอร์เนอร์ มิวสิค ไทยแลนด์ กับอาร์เอส เพราะอัลบั้มแรกที่ร่วมมือกันคือ ‘หนุ่มบาว-สาวปาน’ สามารถทำยอดขายทั้งซีดี วีซีดี ถึง 3 ล้านก็อปปี้ ต้องร้องกันเสียงดังๆ ว่า ‘แม่เจ้าโว้ย’ ทั้งที่มีการซื้อของปลอมและการดาวน์โหลดอย่างดาษดื่น

ความสำเร็จในเชิงการตลาดและยอดขายที่ท่วมท้น น่าจะสะท้อนภาพของคนฟังเพลงร่วมสมัยในเมืองไทยได้เป็นอย่างดีว่า ตลาดยังแข็งแรงและพร้อมที่จะอุดหนุนงานเพลงที่ถูกใจพวกเขาทันที โดยไม่แคร์ของถูกหรือรอเทปผีซีดีเถื่อน หรือการดาวน์โหลดมาฟังแบบฟรีๆ

ในอัลบั้มชุดที่แล้ว บทเพลงที่ออกมาของอัลบั้ม ‘หนุ่มบาว-สาวปาน’ สามารถตอบโจทย์แรงโหยหาของคนฟังเพลงในแบบคาราบาวยุคคลาสสิก ไลน์-อัพ หรืองานเพลงที่อยู่ในยุครุ่งเรืองโด่งดังที่สุดเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว และมีพัฒนาการด้วยการเติมส่วนผสมของนักร้องสาวเสียงมีคุณภาพเข้ามาช่วยร้องสร้างเสน่ห์ที่แปลกใหม่ในเชิงสร้างสรรค์เข้าไปอีก

ทำให้ฐานของคนฟังเพลงที่ใหญ่อยู่แล้วทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ของคาราบาวให้การตอบรับเป็นอย่างดี และได้กลุ่มแฟนเพลงรุ่นใหม่ในฐานคนฟังเพลงหนุ่มสาวสายเพลงพ็อพซึ่งรู้จักปาน-ธนพร มาสมทบอีกสายหนึ่ง ทำให้เป็นปรากฎการณ์ใหม่ของวงการเพลงไทยไปได้อีกหน้าหนึ่ง

และต้องถูกบันทึกไว้ในวันที่บทเพลงเพื่อชีวิตถึงทางอับตันไปไหนไม่ได้

กุญแจสำคัญสำหรับความสำเร็จในงานชุด ‘หนุ่มบาว-สาวปาน’ นั้น หากมองข้ามวงคาราบาวและตัวของนักร้องสาวเสียงดี คือ ปาน คงต้องโฟกัสหรือชี้ไปที่ สุทธิพงษ์ สมบัติจินดา โปรดิวเซอร์และคนเขียนเพลงที่อยู่ในสังกัดอาร์เอส

เขาสามารถเขียนเพลงในอารมณ์เพลงแบบคาราบาวยุครุ่งเรืองสูงสุดให้กลับมาชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยเฉพาะเนื้อคำ ถ้อยความ ตัวเรื่องราวที่สามารถต่อยอดจากความรู้สึกในการเล่าเรื่องผ่านตัวละครในลักษณะเพลงเพื่อชีวิตแบบคาราบาว หรือ แอ๊ด คาราบาว (ยืนยง โอภากุล) ได้แบบสุดกึ๋น

ไม่ว่าการวางจังหวะเปิดหัวเพลง ท่อนกลาง ท่อนสะพาน ท่อนฮุค นวลเนียนไม่แปลกแยก ทีเด็ดก็คือสัมผัสนอกสัมผัสใน ลีลาการเขียนเพลงที่มีคลังคำซึ่งอิงอยู่กับภาษาของแอ๊ด’บาว ได้อย่างไม่ผิดฝาผิดตัว สามารถถมเติมเต็มอารมณ์พลุ่งพล่านดุเดือดในคมความคิดความคมคายที่วิพากษ์สังคมและบ้านเมืองในตัวเพลงได้ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นสิ่งที่วงคาราบาวขาดหายไปในในการทำงานเพลงยุคหลังนี้

แน่นอนก็เป็นการแบ่งกันทำงานคนละครึ่งกับคาราบาวในการทำเพลงออกมา

เพราะถ้าหากมองไปให้ลึกลงไปอีก เอกลักษณ์ของวงคาราบาวในยุคหลังจนถึงปัจจุบันนั้น เริ่มถอยห่างจากความคิดที่สร้างสรรค์สู่สิ่งใหม่ อยู่ในช่วงหยุดนิ่งที่เป็นงานในลักษณะสายสกุลช่างดนตรีในแบบคาราบาว ซึ่งไม่ใช่การสร้างศิลปะผ่านบทเพลงเพื่อชีวิตในแนวทางที่เข้มข้นและน่าตะลึงงัน คล้ายยืนพิงเชือกหรือพิงฝาอาศัยความสำเร็จที่เคยทำมา เป็นเครดิตต่อศรัทธาของคนฟังเพลง

รวมถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนแปรไปทำให้เกิดวิกฤตศรัทธาในตัวบุคคลและวงดนตรีอยู่พอสมควร จากวงดนตรีเพื่อชีวิตที่สามารถชี้นำหรือชี้แนะสร้างแรงกระตุ้นทางความคิดหรือปัญญาต่อผู้คน รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ ก็ลดเพดานเป็นวงดนตรีที่ทำมาหากินกับการเล่นดนตรีในเชิงสร้างความบันเทิงเป็นหลักใหญ่

กลายเป็นวงดนตรีที่ฟังก็ได้ไม่ฟังก็ดี ไม่ใช่วาระแห่งปีที่ต้องรอคอย เมื่อมีงานของคาราบาวออกมาแล้ว คนฟังเพลงในสังคมไทยต้องใส่ใจและเงี่ยหูฟังสารที่พวกเขานำเสนออีกต่อไป

สำหรับตัวปาน-ธนพร ย่อมเป็นที่ยอมรับในฐานะนักร้องเสียงดีมีคุณภาพ เพราะการไต่เพดานและต่อสู้จนมาเป็นนักร้องแถวหน้าในปัจจุบันของเมืองไทย เป็นหลักฐานอยู่พอสมควร แม้ว่าในตัวอัลบั้มของเธอเอง ซึ่งเป็นงานเดี่ยวจะมีการวางบุคลิกเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่ถูกทำร้ายทั้งหัวใจและวิญญาณจากผู้ชายก็ตาม บทเพลงของเธอจึงเป็นตัวแทนของสาวๆ หรือผู้หญิงเหล่านั้น

ซึ่งก็น่าตื่นเต้นในช่วงแรกที่ทำงานออกมา พอชักนานออกมาหลายอัลบั้มก็กลายเป็นความชาชิน ซ้ำซากน่าเบื่อ ทำให้ตัวตนและเสียงร้องของเธอที่มีคุณลักษณะที่ดีเยี่ยมถูกทอนลดหายไปปจากตัวเพลงและดนตรีที่ป้อนออกมาตามโจทย์ที่วางไว้

อัลบั้ม ‘หนุ่มบาว-สาวปาน’ จึงเป็นการเปิดหาสิ่งใหม่ๆ ที่มีต่อกันของวงดนตรีเพื่อชีวิตอันดับหนึ่งของเมืองไทยและนักร้องสาวที่จัดอยู่แถวหน้า และก็ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น

แต่พอมาถึงอัลบั้ม ‘บาว-ปาน (รีเทิร์น)’ ความน่าตื่นเต้นทุกอย่างที่บังเกิดขึ้นขึ้นในอัลบั้มชุดแรก กลับถูกทำลายและหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ
..........

คาราบาวซึ่งมีชื่อเสียงมายาวนาน ในฐานะวงดนตรีเพื่อชีวิตที่เปิดตำนานยุคที่ 2 ของดนตรีสายสกุลนี้ ต่อจากวงคาราวาน ปัจจุบันนี้คาราบาวก็ยืนยาวมาเกือบ 30 ปีเข้าไปแล้ว สมาชิกที่อยู่มาตั้งแต่ยุคก่อตั้งที่ไม่เคยหายไปไหนคงมีเพียง ยืนยง โอภากุล หรือแอ๊ด คาราบาวเพียงคนเดียว และเขาก็คือภาพลักษณ์และหัวใจของวงดนตรีวงนี้

ความรุ่งเรืองและความเสื่อมลงของวงคาราบาว ดัชนีชี้วัดผ่านจากตัวเขาได้เป็นอย่างดี

แน่นอน ในวันนี้คาราบาวเป็นวงดนตรีรุ่นใหญ่ที่มีสาวกและแฟนเพลงติดตามอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะในสายนักฟังเพลงเพื่อชีวิตแบบจิ๊กโก๋ตามผับเพื่อชีวิต นับได้ว่าเป็นฐานแฟนเพลงที่มากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งตรงนี้บ่งชี้ได้จากการทัวร์คอนเสิร์ตตามผับเพื่อชีวิตทั่วประเทศของวงคาราบาว

ความจริง วงคาราบาวกำลังจะกลายเป็นวงที่แช่นิ่งรอเสื่อมถอยลงตามกาลเวลา แต่กลับมาพลิกฟื้นอย่างไม่คาดคิดจากการทำงานร่วมกันกับทีมอาร์เอสในชุด ‘หนุ่มบาว-สาวปาน’ ทั้งในแง่เพลงฮิตและยอดขาย ทำให้ความรู้สึกเก่าๆ ในยุคทองกลับมาบรรจบอีกครา

การตามน้ำตามความสำเร็จของอัลบั้มชุดนี้ ก็มีการนำมาออกใหม่เป็นอัลบั้มพิเศษเพิ่มเพลงเวอร์ชันใหม่เข้ามาในชื่อชุด ‘สมานฉันท์’ ก็ถือได้ว่าเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มได้ตามกลไกการตลาดที่รัดกุมเก็บทุกเม็ดได้เป็นอย่างดี

เวลาผ่านพ้นไป 4 ปี การออกอัลบั้ม ‘บาว-ปาน (รีเทิร์น)’ ในครั้งนี้ก็เรียกได้ว่า เป็นการทำงานเพื่อความแน่นอนทางการขายอีกครั้งก็ว่าได้ เพราะหากดูไปแล้ว งานของวงคาราบาวที่ออกมาหลังจาก ‘หนุ่มบาว-สาวปาน’ ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ราบเรียบและไม่อยู่ในกระแสหลักสักเท่าไหร่

เมื่อฟังเพลงทั้ง 10 บทเพลง ในอัลบั้ม ‘บาว-ปาน (รีเทิร์น)’ ก็สามารถเรียกความรู้สึกเก่าๆ จาก ‘หนุ่มบาว-สาวปาน’ ออกมาได้ แต่ไม่มีความน่าตื่นเต้นและทึ่งอีกแล้ว เป็นบทเพลงที่คาดเดาทางได้ว่าจะออกมาในรูปไหน เนื้อหาเป็นอย่างไร ดนตรีไปในทิศทางไหน อารมณ์และความรู้สึกที่เหมือนฟังภาค 2 อย่างมิมีผิดเพี้ยน

ซึ่งว่าไปแล้วก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะตลาดชอบเพลงแบบนี้จะไปทำเพลงในแบบอื่นทำไม

จากการเดินตามรอยทางที่ตอกย้ำแนวความคิดเดิมที่วนเวียนแบบเดิมซึ่งเรียกกันว่าการทำงานในแบบ Cliché มีความซ้ำซากแต่จะให้ถึงขั้นน่าเบื่อหรือไม่ ก็อยู่ที่รสนิยมของแต่ละคนฟังออกไป แต่คิดว่า คนฟังเพลงโดยทั่วไปก็คงชอบ การผลิตซ้ำแบบนี้ในเชิงสุนทรียศาสตร์ก็ต้องบอกว่า ไม่มีอะไรน่าสนใจแต่เพียงอย่างใด ฟังผ่านแล้วก็ผ่านเลยไปได้ทันที ไม่มีความประทับใจหลงเหลืออยู่ บางทีถึงขั้นเหนื่อยใจด้วยซ้ำ

สมการของเพลงเปรียบเทียบงานทั้ง 2 ชุด ที่ออกมาก็คือ

‘หนุ่มบาว-สาวปาน’ = ‘บาว-ปาน (รีเทิร์น)

‘มนต์รักผีเสื้อ’ = ‘ต่อไม่ต่อ’

‘ดอกไผ่บาน’ = ‘ลมละเมอ’

‘เสียตัว...อย่าเสียใจ’ = ‘อยากรักคนอื่นนักเลย’

‘รุ่นใหญ่’ = ‘ลายคราม’

ฯลฯ

แต่ในจุดนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคุณภาพของการผลิตงานออกมา เพราะหากวัดกันตรงจุดนั้น โดยใช้มิติของการทำงานในแบบเชิงช่าง งานเพลงทั้งหมดในชุดนี้สามารถตอบโจทย์ได้ตามสูตรและสอดคล้องกับกลไกการตลาดอย่างที่ต้องการ โดยเฉพาะคุณภาพของทำนอง การเรียบเรียงดนตรี และฝีมือทางดนตรีที่เรียกว่า ทำได้อย่างสมกับเป็นมืออาชีพผ่านร้อนผ่านหนาวมาโชกโชนจนอยู่มือ เรียกว่ากดปุ่มสั่งได้ทันทีอย่างที่ต้องการ (แต่ไม่มีอะไรใหม่หรือหวือหวาให้น่าค้นหา)

ทางด้านเสียงร้องของนักร้องทั้งหมด ไม่ว่า แอ๊ด คาราบาว, เทียรี่ เมฆวัฒนา, ปรีชา ชนะภัย ก็มีเครื่องหมายการค้าและลายเซ็นที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่สำหรับ ปาน-ธนพร แวกประยูร สามารถร้องได้ดีถึงขั้นดีมากเลยทีเดียว

ทุกเพลงที่เธอร้องและร่วมร้อง ปานรู้หน้าที่ว่าจะถ่ายทอดพลังเสียง การตีความเนื้อเพลงและอารมณ์เพลงขนาดไหน ส่วนไหนต้องถอยออกในฐานะคนร้องประสาน ส่วนไหนต้องโชว์การร้องและออกแบบเสียงให้เหมาะสม เห็นได้ชัดจากการร้องเพลงคู่ หากร้องกับ แอ๊ด’บาว เธอจะมีเทคนิคและลูกเล่นการร้องที่เต็มพลังขับ เมื่อร้องคู่กับเทียรี่ เธอก็ลดเสียงเพื่อให้เข้ากับโทนที่แหบเครือของคนร้องคู่ ร้องกับเล็ก’บาวก็เป็นอีกลีลาหนึ่งที่ชวนฟัง

เรียกว่าโดดเด่นและจับทางได้อยู่มือกว่าอัลบั้มชุดก่อน แสดงถึงความเป็นนักร้องชั้นดีของเธอได้ โดยฟังได้จากบทเพลง ‘ขอจันทร์ (อันลิมิเตด)’ ซึ่งเป็นแนวทางในเชิงเพลงพื้นบ้านพื้นถิ่นสุพรรณแบบเพลงอีแซว ซึ่งมาตรฐานเสียงร้องของเธอทรงพลังฟังละม้ายออกไปทางแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ศิลปินแห่งชาติได้เลยทีเดียว

ในอัลบั้มชุดนี้ก็มีบทเพลงคู่ที่ฟังแล้ว อารมณ์เพลงออกไปในทางเพลงร้องโต้ตอบชายหญิงในแบบรวมดาวยุคก่อนเลยทีเดียว ก็คือ ‘ต่อไม่ต่อ’ รวมถึงบทเพลง ‘ใช่เธอหรือเปล่า’ ที่เป็นเพลงคู่ซึ่งพยายามดึงการร้องและสีสันของดนตรีในแบบวินเทจ-สุนทราภรณ์ออกมา ก็น่าสนใจในระดับหนึ่งเท่านั้น

ก็คงต้องสรุปว่า อัลบั้มชุดนี้ขายได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะคนที่ชอบอัลบั้ม ‘หนุ่มบาว-สาวปาน’ ก็คงซื้ออัลบั้มนี้มาฟังอย่างไม่มีหลีกเลี่ยง และบทเพลงหลายๆ เพลงคงโด่งดังและท็อปฮิตตามผับเพื่อชีวิตอย่างแน่นอน แต่ในแง่ของความสร้างสรรค์และสุนทรียภาพของการทำงานเพลงที่น่าสนใจและประทับใจนั้น กลับไม่มีอีกแล้ว ยิ่งฟังยิ่งล้ารูหูจนน่าเหนื่อยใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น