“เบียร์ สรณัฐ” เผยจากใจเลิกเป็นนักแสดงถาวร เหตุเคยโดนดูถูกและยัดเยียดให้เป็นแบดบอย บ่นทำดีไม่เคยมีใครเห็นคุณค่า มีแต่เหยียบซ้ำให้ตกต่ำ เหน็บทำงานเป็นโปรดิวเซอร์ ยังมีคนไหว้ให้ความเคารพมากกว่า
ห่างหายจากวงการไปพักใหญ่เลยทีเดียว สำหรับ “เบียร์ สรณัฐ มัสยวานิช” น้องชายสุดเฮี้ยวของคาสโนว่า “ฟลุค เกริกพล” ที่เคยมีผลงานละครซิทคอมเรื่อง “เฮง เฮง เฮง” ซึ่งภาพพจน์ของหนุ่มเบียร์ถือว่าเป็นแบดบอยประจำวงการคนหนึ่ง เนื่องจากข่าวฉาวที่ออกมาล้วนเป็นเรื่องทะเลาะวิวาท และเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งนั้น
ล่าสุดมีโอกาสเจอเจ้าตัวในช่วงที่พักงานแสดง แล้วหันมาทำงานเพลงเป็นโปรดิวเซอร์ให้ศิลปินในแกรมมี่ รวมไปถึงเจ้าของกิจการร้านเสื้อผ้า ที่ลงหุ้นร่วมกันทำกับแฟนสาวชื่อ “เอวาลิน” ซึ่งหนุ่ม “เบียร์” เผยว่ายังไงก็ไม่มีทางกลับไปในวงโคจรงานแสดงอีกแล้ว เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเห็นความดี มีแต่จะดูถูกและเหยียบย่ำซ้ำเติม
“การแสดงคงไม่รับแล้ว(หัวเราะ) รู้มั้ยผมเล่นละครมา ไม่เคยได้อะไรจากมันเลย....เงินเหรอ ผมว่าขายเสื้อผ้าหาเงินได้มากกว่าอีก แล้วตอนนี้ผมเป็นโปรดิวเซอร์ทุกคนยกมือไหว้ พอเดินเข้าไปในลิฟท์ที่แกรมมี่ ทำไมศิลปินต้องยกมือไหว้ผม ซึ่งผิดจากเมื่อก่อน ดังนั้นผมไปเป็นโปรดิวเซอร์ไม่ดีกว่าเหรอ”
“ตอนเป็นนักแสดงทุกคนดูถูกผมตลอดเวลา ผมเล่นบทละครตามที่เขาอยากให้เล่น เพื่อเป็นแบดบอยผมก็เล่นให้ แล้วคุณก็มาว่าผม แล้วได้อะไร ผมเคยได้อะไรจากคุณบ้าง สังคมนี้ได้คืนอะไรให้ผมบ้างครับ ไม่ได้คืนอะไรให้เลย ทั้งที่ผมมอบความเป็นเด็กของผมให้เขาไปหมดแล้ว แต่ตอนนี้ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลยขอใช้ช่วงเวลานี้เป็นของผม”
“การเล่นละครมันไม่ใช่แล้ว อีกอย่างเวลามันก็ไม่ได้ ตัวผมก็ไม่ใช่ คือผมไปนั่งทำสิ่งๆ นั้น คนก็ไม่ได้มองผมทำงาน หรือเป็นนักแสดงอะไร มันก็มองว่าผมเหมือนเดิม ซึ่งผมเอาเวลาที่มีไปทำประโยชน์กับสังคม ชีวิตและครอบครัวผมบ้างดีกว่า ผมเริ่มคิดอย่างนี้ตอนที่หยุดเล่นละครมาสักปีนึง พอได้มาทำเพลง คือมันเหมือนมองย้อนไปถึงรีแอคชั่นจากคนด้วย เราไม่เคยได้รับคำชื่นชมเลย”
“ซึ่งตอนที่ยังแสดงละครอยู่ มันทำให้ผมรู้สึกแย่มาตลอด ผมไม่เคยมองว่า วงการมายาก็คือมายา ในวันที่ผมเล่นละคร เฮง เฮง เฮง ไม่เคยมีใครรู้ว่า ผมเป็นเด็กคนนึงที่เล่นด้วยใจจริงๆ และเชื่อว่าเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ เรามอบทุกอย่างไปแล้ว คุณเอาวัยเด็กผมไปแล้ว คุณต้องการอะไรจากผมอีก ผมเป็นตัวละครตัวนั้นให้คุณแล้ว ซึ่งผมอาจจะเป็นคนอื่นก็ได้ แต่ด้วยความที่ผมเป็นตัวละครตัวนั้นให้คุณแล้ว แต่ผมไม่เห็นได้อะไรเลย ก็พอแล้ว”
“ถามว่าจริงๆ แล้วผมเป็นแบดบอยอย่างที่คนอื่นมองหรือเปล่า ผมไม่แก้ตัวให้ตัวเองดีกว่า ไม่จำเป็น ใครจะคิดยังไงก็เรื่องของเขา แต่ผมเป็นคนยังไงจะรู้ตัวเองดี ผมไม่สนนะว่าคนภายนอกจะมองยังไง เขาก็คือคนนอก เขาไม่ได้ทำให้ผมรวยลง จนลง เศร้าลง ดีใจ ชีวิตมีความสุขขึ้น ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเรามากกว่า”
“จริงๆผมเป็นคนดุ การที่คนมองว่าผมเป็นแบดบอย เพราะเวลาที่เห็นอะไรไม่ถูกต้อง ผมจะดุและเป็นคนดุแรงด้วย คือมันต้องพูด ทำให้บางทีคนที่เห็นอาจจะกลัว อย่างน้องที่มหาวิทยาลัยเดินสูบบุหรี่ เอาเสื้อออกนอกกางเกง ผมก็ด่าและดุ คนเลยคิดว่าผมดุหรือเปล่า แต่บางครั้งความถูกต้องมันก็มีอยู่ ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ”
บอกตัวเองทำดีหลายอย่าง แต่ไม่เคยไปคุยฟุ้งโอ้อวดให้ใครได้รับรู้ เชื่อพูดไปก็ยังถูกมองเป็นคนเกเร และถูกเหยียบย่ำให้ต่ำกว่าอยู่ดี
“วันนี้เรามาทำเพลง แค่หนึ่งเพลงที่คนชอบเรา มีคนมาคอมเม้นท์หรือส่งอีเมล์มาหาว่าชอบเพลงเราทุกวัน มันก็มีความสุขแล้ว และผมไม่เคยบอกใครด้วยนะว่า ตอนนั้นทำเพลงถวายในหลวงตอนที่ท่านประชวรอยู่ ทำแล้วผมก็แจกไป 99 แผ่น ขอให้กุศลที่ทำให้ทุกคนมีความสุขกับเพลงส่งไปถึงท่าน และก็หวังว่าท่านจะมีความสุขกับเพลงอย่างที่ทุกคนมีความสุข”
“ซึ่งเพลงก็เหมือนกับเป็นการทำบุญก็ได้ ผมคิดว่าที่มันดัง เพราะความที่เราหวังดี แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องบอกไง นี่ก็เพิ่งบอกวันนี้ ผมเชื่อว่าคนไทยไม่ได้มองตรงนั้น คนไทยก็ยังมองผมเป็นเด็กบ้านรวย เกเร หรือต่อให้ผมมีเงินเท่าไหร่ก็ตาม ต่อให้ผมประสบความสำเร็จก็ตาม มันก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าผมดีกับเขา เขาก็จะมองผมต่ำ เพื่อทำให้เขามีความสุข มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่มีใครมานั่งยินดีให้กันหรอก คนไทยมีแต่เหยียบซ้ำกัน มันทำให้ผมรู้สึกแย่มากกับภาพที่เขาให้ผมเป็นแบดบอย”
“แม้กระทั่งผมออกแบบพระไพรีพินาศ วัดบวรฯ ตอน 80 พรรษาในหลวง ที่ได้รับพระราชทานตราภปร. ผมก็เป็นคนวาดนะครับ แล้วที่เป็นเนื้อไม้ตะเคียนทอง ผมเป็นคนออกแบบวาดเองกับมือ ไปถามพระท่านได้เลย ซึ่งตอนนี้ก็ยังไปเช่าได้อยู่ แต่รู้สึกว่าในวงการพระไม่ค่อยเช่ากันเท่าไหร่ เพราะมันแนวไปมั้ง (หัวเราะ) แต่ก็โอเค เพราะผมบวชที่นั่น และเป็นพระไพรีพินาศองค์แรกที่ในหลวงพระราชทานตราภปร.ให้ ถือว่าเป็นเกียรติสูงสุด และเป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตอย่างหนึ่งว่า ได้ทำอะไรให้ท่านแล้ว”
โวธุรกิจร้านเสื้อผ้าที่ทำร่วมกับแฟนสาว กำลังโกอินเตอร์ขายดิบขายดี
“ตอนนี้ผมเปิดร้านเสื้อผ้าที่เพนนินซูล่า พลาซ่าชื่อว่า โคเคน ชื่อนี้ผมตั้งใจ จริงๆไม่อยากให้มองว่า มันเกี่ยวกับยาเสพติด แต่เราตั้งใจให้มันเป็นอิมแพคว่า คนเราเวลาติดแฟชั่นมันคืออะไร โคเคนมันเป็นอะไรที่ดูลึกลับ เราพรีเซ้นท์ความลึกลับของมัน ไม่ได้เน้นเป็นยาเสพติด ความที่คนเห็นว่ามันอันตราย เสื้อผ้าอันตรายของร็อคสตาร์แบบนี้มากกว่า คอนเซ็ปต์คือเราจะทำให้ทุกคนดูเป็นร็อคสตาร์ให้ได้”
“ร้านนี้ผมทำกับแฟน พอดีแฟนเคยทำให้กับศิลปินที่เมืองนอก ก็เลยตัดสินใจมาทำกัน ตอนนี้เสื้อผ้าที่แฟนผมทำได้ลงหนังสือที่ฝรั่งเศส 2 เล่ม แล้วก็มีที่สเปนด้วย ซึ่งเสื้อผ้าเราเริ่มกว้างขวางแล้ว และมีนักร้องที่เมืองนอกใส่เสื้อผ้าเรา ก็เลยรู้สึกว่ามันเริ่มรอดแล้ว”
เผยความรักกับแฟนสาวกำลังไปได้สวย แต่ยังไม่วางแผนแต่งงาน เพราะอยากทำงานสร้างฐานะเก็บเงินไปขอฝ่ายหญิงเอง
“เรื่องความรักตอนนี้ก็ดี ถ้าเป็นเพื่อนกันก็หลายปีแล้ว แต่ที่ดูใจกันก็ประมาณปีนึง เพราะทำธุรกิจด้วยกัน ถูกใจเขายังไงเหรอ ผมเชื่อว่าเรื่องความรักก็เหมือนเพื่อนกันนะ คือไม่จำเป็นที่ทุกวันจะต้องหวือหวาที่สุดในโลกก็ได้ แต่เราอยู่เป็นเพื่อนให้กำลังใจกัน ทำงานด้วยกัน คอยดูแลกัน คนนึงป่วยก็ดูแลอีกคนนึง อยู่กันเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไปดีกว่า”
“เรื่องอนาคตก็มองอยู่ แต่ตอนนี้ยังไม่มีตังค์ (หัวเราะ) ผมคงไม่ไปขอตังค์พ่อแต่งงานหรอก ผมก็ลูกผู้ชายครับ จะมีเมียก็ต้องไปขอเมียเอง(หัวเราะ) เราคนไทยไปขอพ่อแม่ได้ไง ตอนนี้ก็ขอสร้างฐานะก่อน อาจจะแก่หน่อยคงอีกหลายปีถึงจะได้แต่ง คือการทำงานด้วยกันก็เหมือนการดูใจ ถ้าเราแต่งงานด้วยกันไปได้ เราก็ต้องสร้างครอบครัวและก็ต้องช่วยกันทำมาหากิน เพราะฉะนั้นนี่ก็เหมือนกับเป็นบททดสอบ”
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |