คอลัมน์ : หนังกาก
apnunt@yahoo.com
คงไม่จำเป็นต้องแนะนำอารัมภบทอะไรกันให้วุ่นวาย เพราะท่านทั้งหลายก็คงรู้อยู่แล้วว่า นี่คือผลงานเรื่องล่าสุดของ “หม่ำ จ๊กมก” ซึ่งหลังจากที่ส่ง “วงษ์คำเหลา” เก็บเงินจากกระเป๋าคนดูหนังเมื่อราวๆ ครึ่งปีที่ผ่านมา ตลกเลือดอีสานและผู้กำกับร้อยล้านคนนี้ก็พาผลงานที่ถือเป็นการสานต่อความสำเร็จเมื่อหลายปีก่อน อย่าง “แหยม ยโสธร” มากวาดต้อนคนดูเข้าโรงหนังอีกครั้งหนึ่ง
ก็อย่างที่คุณและผมคงจะเห็นเช่นเดียวกันครับว่า ความโดดเด่นสะดุดตาที่ทำให้ใครต่อใครจดจำหนัง “แหยมฯ” ได้แม่นยำ ก็คือสไตล์งานด้านภาพที่มาพร้อมกับสีสันอันจัดจ้านแปลกหูแปลกตา ไล่ตั้งแต่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายไปจนถึงองค์ประกอบของฉากต่างๆ
และในภาคที่ 2 นี้ คุณหม่ำ จ๊กมก ก็ยังคงรักษาสไตล์แบบนั้นไว้อย่างคงเส้นคงวา สิ่งที่ต่างออกไปก็มีเพียงเนื้อหาเรื่องราวที่บอกเล่าเหตุการณ์ใน 20 ปีต่อมา วันที่หนุ่มแหยมคนธรรมดา ขยับสถานะขึ้นเป็น “กำนัน” ผู้นำตำบล และร่วมเรียงเคียงคู่กับ “เจ้ย”(เจเน็ต เขียว) โดยมีพยานรักเป็นลูกสาวคนโต “แว่” (บุษราคัม วงษ์คำเหลา) กับลูกชายคนเล็กจอมแก่นอย่าง “คำผาน” (เพทาย วงษ์คำเหลา) ซึ่งเรื่องราวในภาคนี้ เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการมาถึงของ “ปลัดธนู” (หรินทร์ สุธรรมจรัส) ที่เพียงแค่วันแรก ก็เริ่มแสดงบทเจ้าชู้เล่นหูเล่นตาให้กับสาวแว่เสียแล้ว และนั่นก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นที่ถูกใจเลย สำหรับผู้นำท้องถิ่นอย่างกำนันแหยม...
ครับ, มองในภาพรวม เราอาจจะรู้สึกว่า พล็อตของหนังมันก็สุดแสนจะธรรมดา อันว่าด้วยเรื่องราวของ “ว่าที่พ่อตา” กับ “อนาคตลูกเขย” ที่ไม่ถูกชะตากันในตอนแรก ก่อนหนังจะแทรกสถานการณ์บางอย่างเข้ามาเพื่อพลิกเปลี่ยนความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายให้ลงรอยกันได้ในที่สุด อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผมรู้สึกชอบและอยากจะชมคุณหม่ำไว้ ณ ที่นี้ก็คือ...ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่หนังของคุณหม่ำเรื่องนี้ก็ดูมีแง่มุมเชิงสาระที่จับต้องได้อย่างน้อยจุดสองจุด
อย่างที่เราจะได้เห็นว่า ตัวละครอย่าง “กำนันแหยม” ในภาคนี้ ดูเปลี่ยนไปจาก “หนุ่มแหยม” ในภาคที่แล้วชนิดที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ แน่นอนล่ะ นอกจากขี้บ่น เอาแต่ใจ และพร้อมจะสบถได้ทุกๆ สองนาที (อันอาจจะเป็นผลพวงมาจาก “วัยทอง” ด้วยส่วนหนึ่ง)...เราจะพบว่า กำนันแหยมดูจะมีเรื่องให้เจ็บปวดเยอะพอสมควรกับ “ความเป็นเมือง”
“ความเป็นเมือง” ที่สามารถมองเห็นได้ใน 2 ส่วน ส่วนแรกคือ “ปลัดธนู” หนุ่มเมืองหลวงที่มาประจำการในหมู่บ้านชนบทและกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมาของกำนันแหยมตั้งแต่นาทีแรกๆ ที่ได้พบ...และสองก็คือ “คำผาน” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของกำนันแหยมที่กำลังได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมเมืองอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการเห่อเพลงสตริง ไม่พูดภาษาอีสาน และชอบพูดจาเชิงดูแคลนผู้เป็นพ่ออยู่เสมอๆ ด้วยคำว่า “เสี่ยว” อีกทั้งเวลาไปไหนมาไหนก็สะพาย “วิทยุทรานซิสเตอร์” ไปด้วย (วิทยุทรานซิสเตอร์ อันที่จริง ก็คือ “สัญลักษณ์” อีกอันหนึ่งของความเป็นเมืองหรือวัฒนธรรมสมัยใหม่...ยุคเมื่อหลายสิบปีก่อนนะครับ แต่ยุคนี้ เด็กต่างจังหวัดอาจจะเล่น BB กันไปแล้ว)
พูดง่ายๆ ก็คือว่า เนื้อหาที่แหยม 2 พูดกับคนดูได้อย่างชัดถ้อยชัดคำที่สุด ก็คือการที่หนังได้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปและเปลี่ยนแปลงของคนชนบทเมื่อหลายสิบปีก่อน หมู่บ้านที่ห่างไกลกำลังเผชิญกับการรุกคืบเข้ามาของวัฒนธรรมสมัยใหม่จากในเมือง ส่วนคนท้องถิ่นอย่างกำนันแหยมซึ่งยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับสิ่งใหม่ที่กำลังเข้ามา ก็จำเป็นต้อง “เจ็บปวด” อยู่พักใหญ่ ก่อนจะ “เรียนรู้” เพื่อที่จะ “ยอมรับและอยู่ร่วม” ให้ได้ กับ “แขกหน้าใหม่” ที่มาจากในเมือง ทั้งที่มาในรูปแบบของ “คน” (ปลัดธนู) และ “วัฒนธรรม” (เช่น เพลงสตริงสมัยใหม่ในแผ่นเสียงที่กำนันแหยมเผาทิ้งพร้อมกับเสื้อผ้าล้ำยุคของลูกชาย)
ขณะเดียวกัน สิ่งหนึ่งซึ่งหนังแอบวิพากษ์วิจารณ์ไว้แบบผ่านๆ ก็คือชะตากรรมของคนบ้านป่าบ้านดงที่มักจะถูกคดโกงและเอาเปรียบอยู่เสมอๆ ทั้งจากพวกพ่อค้าคนกลาง (ซึ่งในหนังก็คือ พ่อค้าซื้อข้าว) และจากพวกข้าราชการขี้ฉ้อ (โดยมีเกษตรอำเภออย่างฉัตรชัยเป็นกรณีตัวอย่าง) ที่ไปฮั้วกับพ่อค้าคนกลางอีกทีหนึ่ง แน่นอน สิ่งเหล่านี้เป็น “ปัญหา” ที่กัดกินคนชนบทมาซ้ำซากชั่วนาตาปี...
และทีนี้ ก็มาถึงมุกตลก...
ยอมรับครับว่า หลังจากผิดหวังมาแล้วมากมายกับมุกตลกของคุณหม่ำใน “วงษ์คำเหลา” ผมก็ชักจะหวั่นๆ อยู่เหมือนกันกับ “แหยม 2” แต่จริงๆ ไม่เป็นเช่นนั้น และที่สำคัญ นอกเหนือไปจากมุกตลกดีๆ ที่หนังคัดมาทำเป็นตัวอย่างโฆษณา มันก็ยังมุกตลกเด็ดๆ ในหนังอีกเยอะแยะเรียงรายอยู่ในเรื่อง โดยเฉพาะมุกตลกในส่วนของ “ปลัดธนู” ผู้กวนโอ๊ยเหลือรับประทาน ออกมาฉากไหน เป็นได้ฮากันฉากนั้น เช่นเดียวกันกับหมอทำขวัญบายศรีที่ปรากฏตัวเพียงแค่หนึ่งฉาก แต่เรียกเสียงฮาก๊ากจากคนดูไปเต็มๆ
อย่างไรก็ดี ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ต้อง “ติติง” กันไว้บ้างในฐานะของคนที่ชอบหนังตระกูลแหยมคนหนึ่ง ผมว่าแหยมภาคนี้สูญเสีย “ตัวตน” และ “เอกลักษณ์” ของตัวเองไปเยอะเลยครับ เพราะขณะที่ในภาคหนึ่ง หนังแทบจะไม่มีคำหยาบคายให้เราได้ยินเลย แต่ภาค 2 นี้ มันมีคำแบบนั้นกระจายเกลื่อนตลอดทั้งเรื่อง ขณะที่มุกตลกหลายๆ มุกก็ทำให้เรารู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะรู้สึกขำร่วมไปด้วย อย่างเช่น มุก “โดนทัง (= แทง) ตั้บๆๆ” หรือมุกของตัวตลก 3 ผัวเมียที่ดูจะไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องเซ็กซ์ประตูหลัง!! ฯลฯ
ที่เป็นเช่นนั้น ผมคิดว่า มันอาจจะเป็นเพราะแหยม 2 มาในยุคหลังๆ ที่คุณหม่ำแกเริ่มพาตัวเอง “ล่วงล้ำ” เข้าไปในเขตแดนของมุกสัปดนหยาบโลนเยอะแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเล่นตลกกับแก๊งสามช่า หรือแม้แต่ในงานยุคหลังอย่างวงษ์คำเหลาที่อัดแน่นด้วยมุกลามกและคำหยาบคาย คือผมรู้สึกว่า คุณหม่ำ ยิ่งอยู่นาน ยิ่งพูดหยาบมากขึ้นทุกวันยังไงไม่รู้ แต่ก็อีกนั่นแหละ คุณหม่ำจะรู้ตัวหรือเปล่าว่า ที่คนเขาแอนตี้คุณเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ส่วนหนึ่งนั้น ก็เพราะเหตุนี้นี่เอง
จริงๆ ดูจากมุกตลกในหนังตัวอย่าง ผมค่อนข้างดีใจนะครับว่า มันคงไม่มีมุกลามกหรือคำหยาบคายอะไรแบบนั้น แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ เพราะสิ่งที่เรายังไม่ได้เห็นในตัวอย่าง มันเยอะแยะไปหมด และสังเกตดีๆ คำหยาบส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในบทพูดของกำนันแหยมทั้งนั้น แน่นอน ถึงตอนนี้ ใครที่กำลังคิดหรือว่าคิดไปแล้วว่าชื่อบทความของผมมันหยาบ ก็บอกไว้ตรงนี้เลยครับว่า นั่นคือหนึ่งในหลายๆ คำด่าที่หลุดออกมาจากปากของกำนันแหยม และผมเพียงแค่หยิบยืมมาใช้เพียงเพื่อให้คุณผู้อ่านที่อาจจะยังไม่ได้ดูได้รับรู้ร่วมกันเท่านั้นเองว่าความหยาบของหนังนั้นมันแค่ไหนยังไง และเหนืออื่นใด ผมไม่ได้มีเจตนาจะมาด่าหนังของคุณหม่ำด้วยถ้อยคำเช่นนั้นแต่อย่างใด
อันที่จริง จะว่าไป “สไตล์” และ “ตัวตน” ของหนังแหยมในภาคหนึ่งนั้น มันเป็นหนังที่ดูแล้วสบายอกสบายใจ หนังสามารถทำให้เรายิ้มแย้มได้เรื่อยๆ จากความน่ารักแบบซื่อๆ ของตัวละครและมุกตลกที่ไม่หยาบ ซึ่งผมก็เชื่อเหลือเกินว่า นั่นคือหนึ่งในความตั้งใจของคุณหม่ำเช่นกันตอนที่คิดสร้างหนังแหยมขึ้นมา แต่ทว่าพอมาถึงภาคที่สอง คุณหม่ำกลับทำให้มัน “มัวหมอง” ด้วยมือของคุณหม่ำเอง
ซึ่งก็น่าแปลกใจนะครับ เพราะขณะที่ตลกคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ในเรื่อง คุณหม่ำยังสามารถเขียน “บทตลก” ให้กับพวกเขาได้แบบไม่มีความหยาบคายอะไรเลย แต่ทำไม กับบทของคุณหม่ำ มันกลับมากมายด้วยคำด่าหยาบคายไปซะงั้น
โอเคล่ะ คำด่าในหนังตลกเรื่องอื่นๆ อาจจะทำให้คนดูขำได้ คือด่ากันแล้วขำ ซึ่งเป็นธรรมเนียมแย่ๆ ที่หนังตลกไทยเราฮิตกันมากในยุคหนึ่ง แต่สำหรับคำด่าใน “แหยม 2” ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพียงการ “พ่นๆๆ” ของกำนันแหยมที่ไม่ได้มีส่วนทำให้ความฮาของหนังเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด และพูดก็พูดเถอะ ถ้าผมเป็นคำผาน ผมก็คงไม่อยากพูดอีสานเหมือนกันแหละครับ เพราะถ้าพูดแล้ว มันจะต้องหยาบทุกๆ 2 นาทีเหมือนกับพ่อแบบนั้น!!
พ้นไปจากความฮาที่ปนเปื้อนด้วยคำหยาบ...ถ้าไม่นับรวมเรื่องของซับไตเติ้ลภาษาไทยที่ขาดๆ หายๆ ในหลายๆ ช่วง ซึ่งอาจทำให้คนดูที่ไม่รู้ภาษาอีสานอาจจะงงๆ ว่าตัวละครพูดอะไรกัน...สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจใน “แหยม 1” มากกว่า “แหยม 2” อีกอย่าง ก็คือบทหนังและเนื้อหาเรื่องราวที่ผมรู้สึกว่า มันมีความลงตัวมากกว่า
แน่นอนล่ะ ถึงแม้หนังจะพูดเรื่องเดียวกัน นั่นก็คือ เรื่องความรัก (เพียงแต่เป็นเรื่องรักของคนต่างยุคต่างสมัย) แต่ถ้าถามถึงความน่าจดจำ ผมว่าเรื่องราวระหว่างหนุ่มแหยมกับสาวเจ้ยเมื่อ 20 ปีก่อนนั้น มันเป็นทั้งโศกนาฏกรรมและความงดงามที่น่าจดจำมากกว่า ขณะที่เรื่องรักระหว่างสาวแว่กับปลัดหนุ่ม มันก็ยังดูเป็นเรื่องรักที่ “ง่ายๆ ธรรมดาๆ” ไปหน่อย และพูดก็พูดเถอะ ผมว่ามันถูกเนื้อหาในส่วนของกำนันแหยมกลบทับจนเกือบจะขาดลอยด้วยซ้ำไป เช่นเดียวกันกับเพลงประกอบ ที่พูดกันอย่างถึงที่สุด เพลง “กลับมาทำไม” ในภาคหนึ่งนั้น ดูจะลิงค์กับเนื้อหาได้ดีกว่าเพลง “แต่งงานกันเด้อ” และ “คืนอาลัย” ในภาค 2
แต่เอาเถอะ ไม่ว่าจะอย่างไร แต่สิ่งที่เดาได้แน่ๆ ก็คือ นี่เป็นหนังอีกเรื่องของคุณหม่ำที่จะทำเงินเท่าๆ กับที่มันมีโอกาสสูงมากเช่นกันที่จะเป็นหนังร้อยล้านอีกเรื่องของคุณหม่ำ และถึงตอนนั้น ไม่แน่ว่า คุณหม่ำอาจจะฮึดขึ้นมาอีกรอบและทำให้ “แหยม” กลายเป็นหนังไตรภาคไปเลย แต่ก่อนจะไปถึงวันนั้น ผมแนะนำให้คุณหม่ำกลับไปดูรากเหง้าและตัวตนของหนังแหยมให้ชัดๆ ก่อนนะครับว่า “เสน่ห์” ของหนังอย่างแหยม ยโสธร นั้นมี “จุดเด่น-จุดดี” ตรงไหนยังไง?
ถ้ายังนึกไม่ออก ผมจะบอกให้ก็ได้ครับ แบบคนที่หวังดีต่อกัน...คือถ้าไม่นับรวมเรื่องสไตล์งานด้านภาพ มันคือความตลกแบบซื่อๆ สะอาดๆ ดูแล้วสบายอกสบายใจครับ ไม่ใช่หนังตลกประเภท “พูดคำด่าคำ” อย่างที่คุณหม่ำอาจจะเผลอคิดเข้าใจไป...
...
***ปล.ปกติ ผมชอบไปดูหนังวันพฤหัสบดีกับศุกร์ที่เมเจอร์ใกล้ๆ บ้าน และราคาตั๋วหนังไทยจะอยู่ที่ 120 บาท แต่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตั๋วหนังของ “แหยม 2” เพิ่มเป็น 140 บาท ด้วยความสงสัย ผมก็ถามน้องเค้าไปว่าเพราะอะไร น้องเค้าบอกว่า “วันพฤหัสบดี ปกติก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ” ผมก็ถามกลับว่า อ้าว แล้วพฤหัสบดีที่ผ่านๆ มา ผมก็ดูหนังไทยในราคา 120 บาทนะครับ น้องเค้าก็ยิ้มๆ แล้วก็...“ขอให้มีความสุขกับการชมภาพยนตร์นะคะ”.....??!!!
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |