"ผมไม่รู้ว่าหนังที่ดี หนังที่มีอะไร มันคืออะไร แน่นอนมันเป็นหนังตลกจะให้ถ่ายออกมาเป็นสารคดีหรือไง หนังตลกนี่มันก็ต้องตลก ตลกก็ต้องเสนอในด้านของตลก จะให้มานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งมันก็ไม่ใช่..."
...
แม้จะค่อนข้างถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องคุณภาพของเนื้องาน ทว่าหากมองกันถึงรายได้แบบรวมๆ ไปยังภาพยนตร์ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยบรรดาผู้ที่มีอาชีพ "ตลก" ทั้งหลายแล้วต้องถือว่าไม่ได้ขี้เหร่สักเท่าไหร่นัก
ทั้งนี้ เหตุผลหลักๆ ก็คงจะมาจากรูปแบบของหนังที่ค่อนข้างถูกจริตกับคนไทยส่วนใหญ่ประกอบกับต้นทุนที่ไม่สูงนั่นเอง
ด้วยข้อเปรียบเทียบดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใดหากจะมีนายทุนพร้อมหนุนให้ตลกหลายต่อหลายคนได้ขึ้นมายืนอยู่ในตำแหน่งของผู้กำกับในระยะหลังๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้ง เทพ โพธิ์งาม, โน้ต เชิญยิ้ม, เป็ด เชิญยิ้ม, จตุรงค์ มกจ๊ก, หม่ำ จ๊กมก, เท่ง เถิดเทิง, โหน่ง ชะชะช่า ฯ
รวมถึงล่าสุด "โก๊ะตี๋ อารามบอย"(เจริญพร อ่อนละม้าย) ที่กำลังจะมีผลงาน เรื่อง "หัวหลุดแฟมิลี่" ออกมาเร็ววันนี้ในสังกัดของพระนครฟิล์ม..."อาโน้ตเขาถามผม อยากกำกับหนังมั๊ย ผมบอกว่าอยากครับ พี่รงค์ก็เลยเขียนบทให้ เราก็เข้าไปช่วยในการเขียนบท พอพี่รงค์เขียนมาเราก็บอกพี่รงค์ขอปรับนะพี่ พี่รงค์ก็บอกว่าเออ" โก๊ะตี๋บอกถึงที่มาของการเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าว
"ตอนแรกจะทำผีหัวขาดสาม แต่ผมคิดว่าคนอาจจะเดาทางถูกว่าเรื่องจะเป็นยังไง ผมเลยไม่เอาดีกว่า เพราะออริจินัลของเขาดีอยู่แล้ว เราก็เลยเปลี่ยนจากหัวขาดมาเป็นหัวหลุด(หัวเราะ) ไม่เกี่ยวกับผีหัวขาดเลย เพราะหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังแบบใสๆ ผมรู้สึกว่าพอทำหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกเป็นสไตล์เรา"
"สไตล์ของผมจะแบบน่ารัก ผมไม่ด่าพ่อล่อแม่ ไม่โป๊ ซึ่งเป็นอะไรที่ผมอยากจะบอกออกมาผ่านหนัง อยากจะบอกคนดูว่าตัวผู้กำกับเองเป็นคนแบบไหน เพราะฉะนั้นผมก็เลยคิดว่าจะทำหนังให้ออกมาเป็นแฟมิลี่จริงๆ เพราะผมเป็นคนรักครับครัวอยู่แล้ว"
"ก่อนทำก็คิดว่ายากนะ เพราะว่ามันก็ยากอยู่แล้ว เคยเห็นเคยเจออะไรมาตลอด อย่างพี่รงค์ในด้านผู้กำกับ ผมรู้ว่ามันยากอยู่แล้ว แต่ผมก็อยากทำ และพอทำออกมาได้แล้วนะรู้สึกว่าภูมิใจ เหมือนได้ปลดปล่อยว่าเออเราทำได้"
ออกปากยอมรับไม่เคยร่ำเรียนศาสตร์ทางด้านภาพยนตร์มาก่อนหรือแม้กระทั่งการทำงานเบื้องหลังก็ไม่มี แต่ทั้งนี้เจ้าตัวก็เชื่อว่าด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปีของการทำงานเบื้องหน้าก็เป็นอะไรที่ไม่น่าจะด้อยไปกว่าการเรียนทฤษฎีอยู่ในห้องเรียน
"ผมทำหนังจากประสบการณ์ ผมไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษาอะไรมา ไม่ได้ผ่านวงการกำกับหนังมา ซึ่งมันหมายความว่าผมไม่ได้อยู่เบื้องหลังผมอยู่เบื้องหน้า แต่ผมเชื่อว่าการที่ผมได้อยู่ในวงการมาสิบห้าปีเนี่ย ผมเชื่อว่าในห้องเรียนก็ไม่สามารถหาแบบนี้ได้"
"ผมรู้สึกว่ามันได้ต่างกัน ผมได้ปฏิบัติ ส่วนเขาได้ทฤษฎี มันต่างกันตรงที่ว่าคือต่างคนต่างก็ได้ แต่ว่าส่วนของผมได้ปฏิบัติซึ่งการที่เคยได้ทำมาแล้วมันช่วยได้เยอะมาก และเราควรให้เกียรติซึ่งกันและกัน คือถ้าเขาทำงานเก่งผมก็ให้เกียรติเขาว่าเขาทำงานเก่ง และแน่นอนคุณก็ต้องให้เกียรติตลกคาเฟ่ที่มาจากบ้านนอก"
"อย่างป๋า(โน้ต เชิญยิ้ม)ทำหนังได้ร้อยสี่สิบเอ็ดล้าน คือมันมีผู้กำกับน้อยคนที่ทำหนังได้ร้อยล้าน เพราะฉะนั้นต้องให้เกียรติตลกคาเฟ่ ถามว่าเขาได้เรียนตลกมามั๊ยก็ไม่ได้เรียน การที่ป๋าอยู่ในวงการบันเทิงมากี่สิบปี ผมว่ามันรวมอะไรอยู่ในหนังแน่นอน"
ไม่ปฏิเสธหากจะมีใครมองว่าเป็นอีกหนึ่งที่อยู่ในกระแสของ "ตลกทำหนัง"
"ถ้าคิดว่าจะตามกระแสก็ได้ไม่ได้ว่าอะไร อย่างมีคนบอกโอ๊ยตามกระแส ตลกมาทำหนังกันเยอะเราก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่าเรามามองดีกว่าว่าหนังแต่ละเรื่องที่ทำออกมาเป็นอย่างไร ผมเชื่อว่าหนังแต่ละเรื่องมันมีลายเซ็นของคนๆ นั้นอยู่"
"แล้วผมไม่ได้คิดที่จะเอาชนะใคร ไม่ใช่ว่าเราจะทำแล้วเราจะไปทับถมคนอื่น มันไม่ใช่ เหมือนเขามีปลาหมึกอยู่แล้วแผงหนึ่ง แล้วตัวเราก็เป็นตัวหนึ่งที่เข้าไปเสียบอยู่ในนั้น ซึ่งไม่ใช่ว่าพอไปเสียบแล้วมึงต้องกินของกูมันไม่ใช่ แนวความคิดมันไม่เหมือนกัน คือคุณสามารถเลือกได้"
"หนังของผมไม่ได้ไปเหมือนกับหนังเรื่องอื่น ไม่เหมือนกับป๋าไม่เหมือนกับพี่รงค์ หนังพี่หม่ำเขาก็ต้องแอ็กชั่น หนังของผมก็จะเป็นครอบครัว ครอบครัวดูได้ แต่ว่าก็สามารถจูงแฟนไปดูได้"
สำหรับความคาดหวังกับงานที่จะออกมานั้นโก๊ะตี๋บอกว่าขอแค่ไม่ให้ขาดทุน 20 ล้านบาทก็พอใจแล้ว นอกจากนี้เจ้าตัวก็ยังพร้อมรับอย่างเต็มที่กับเสียงวิจารณ์ที่จะมีเข้ามา เพียงแต่คำวิจารณ์นั้นจะต้องเป็นการวิจารณ์ที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความมีอคติ
"คนเราอย่าตัดสินกันแค่รูปลักษณ์ คนหน้าตาดีอาจจะจิตใจเลวก็ได้ คนหน้าตาไม่ดีอาจจะจิตใจดีก็ได้ เพราะฉะนั้นเหมือนกัน ดูแค่คนกำกับแล้วจะบอกว่าหนังมันไม่มีอะไรหรอกไม่ต้องไปดูเลย ไม่ใช่ ควรจะไปดูในเนื้อเรื่องก่อนว่ามันมีอะไรหรือเปล่า"
"พร้อมครับพร้อม พร้อมกับคำวิจารณ์ คือผมทำด้วยความตั้งใจ ส่วนคำวิจารณ์จะวิจารณ์แบบไหนผมรับได้อยู่แล้ว แต่ว่าต้องวิจารณ์อย่างเที่ยงธรรมนะ อย่าวิจารณ์อย่างอคติ บางคนมี อย่างวิจารณ์อย่างอคตินะ ทำไมต้องวิจารณ์ว่าหนังไม่มีอะไร แต่ทำไมมีคนดู มันต้องมีอะไรสิ"
"เราต้องเอาเส้นชัยมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินดีกว่า อย่างหนังของป๋าเนี่ยได้ร้อยแล้ว ถูกมั๊ย แล้วคุณเอาอะไรมาการันตีว่าหนังของเขาไม่ดี ไม่ดีแล้วคนจะดูได้ไงร้อยกว่าล้าน เพราะฉะนั้นเราจะมาวัดกันระหว่างทางไม่ได้ เราต้องมาวัดกันที่ปลายทางว่าใครจะคว้าธงจะคว้าเส้นชัยได้"
"อยากให้ทุกคนเปิดใจกับหนังตลกบ้าง อย่าอคติ ไม่ใช่หนังออกมาแล้วจะบอกว่าเนี่ยหนังไม่ได้ตังค์ คนชอบพูดแบบเนี้ย แต่ผมรู้สึกว่าควรวัดกันที่เส้นชัยดีกว่า ระหว่างทางอย่ามาวัดเลย คุณอาจจะแรงตอนต้น แต่ตอนปลายคุณอาจจะแผ่วก็ได้"
"ผมอยากให้ทุกคนให้เกียรติกับตลกคาเฟ่บ้าง จะวิจารณ์ผม ผมยอมรับอยู่แล้ว ยอมรับทุกอย่าง เพราะว่าผมเนี่ยก็เต็มที่กับการทำงานแล้ว อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด โอเคถ้าวิจารณ์ดีก็โอเค ผมต้องขอขอบคุณ แต่ถ้าวิจารณ์มาไม่ดีผมก็ต้องดูอีกว่ามันตรงหรือเปล่า ถ้าวิจารณ์มาแล้วรู้สึกว่ามันตรง เราก็จะกลับมาปรับปรุงว่าเขาพูดถูกนะ"
"ผมไม่รู้ว่าหนังที่ดีหนังที่มีอะไร มันคืออะไร แน่นอนมันเป็นหนังตลกจะให้ถ่ายออกมาเป็นสารคดีหรือไง หนังตลกนี่มันก็ต้องตลก ตลกก็ต้องเสนอในด้านของตลก จะให้มานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งมันก็ไม่ใช่..."
...
แม้จะค่อนข้างถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องคุณภาพของเนื้องาน ทว่าหากมองกันถึงรายได้แบบรวมๆ ไปยังภาพยนตร์ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยบรรดาผู้ที่มีอาชีพ "ตลก" ทั้งหลายแล้วต้องถือว่าไม่ได้ขี้เหร่สักเท่าไหร่นัก
ทั้งนี้ เหตุผลหลักๆ ก็คงจะมาจากรูปแบบของหนังที่ค่อนข้างถูกจริตกับคนไทยส่วนใหญ่ประกอบกับต้นทุนที่ไม่สูงนั่นเอง
ด้วยข้อเปรียบเทียบดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใดหากจะมีนายทุนพร้อมหนุนให้ตลกหลายต่อหลายคนได้ขึ้นมายืนอยู่ในตำแหน่งของผู้กำกับในระยะหลังๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้ง เทพ โพธิ์งาม, โน้ต เชิญยิ้ม, เป็ด เชิญยิ้ม, จตุรงค์ มกจ๊ก, หม่ำ จ๊กมก, เท่ง เถิดเทิง, โหน่ง ชะชะช่า ฯ
รวมถึงล่าสุด "โก๊ะตี๋ อารามบอย"(เจริญพร อ่อนละม้าย) ที่กำลังจะมีผลงาน เรื่อง "หัวหลุดแฟมิลี่" ออกมาเร็ววันนี้ในสังกัดของพระนครฟิล์ม..."อาโน้ตเขาถามผม อยากกำกับหนังมั๊ย ผมบอกว่าอยากครับ พี่รงค์ก็เลยเขียนบทให้ เราก็เข้าไปช่วยในการเขียนบท พอพี่รงค์เขียนมาเราก็บอกพี่รงค์ขอปรับนะพี่ พี่รงค์ก็บอกว่าเออ" โก๊ะตี๋บอกถึงที่มาของการเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าว
"ตอนแรกจะทำผีหัวขาดสาม แต่ผมคิดว่าคนอาจจะเดาทางถูกว่าเรื่องจะเป็นยังไง ผมเลยไม่เอาดีกว่า เพราะออริจินัลของเขาดีอยู่แล้ว เราก็เลยเปลี่ยนจากหัวขาดมาเป็นหัวหลุด(หัวเราะ) ไม่เกี่ยวกับผีหัวขาดเลย เพราะหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังแบบใสๆ ผมรู้สึกว่าพอทำหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกเป็นสไตล์เรา"
"สไตล์ของผมจะแบบน่ารัก ผมไม่ด่าพ่อล่อแม่ ไม่โป๊ ซึ่งเป็นอะไรที่ผมอยากจะบอกออกมาผ่านหนัง อยากจะบอกคนดูว่าตัวผู้กำกับเองเป็นคนแบบไหน เพราะฉะนั้นผมก็เลยคิดว่าจะทำหนังให้ออกมาเป็นแฟมิลี่จริงๆ เพราะผมเป็นคนรักครับครัวอยู่แล้ว"
"ก่อนทำก็คิดว่ายากนะ เพราะว่ามันก็ยากอยู่แล้ว เคยเห็นเคยเจออะไรมาตลอด อย่างพี่รงค์ในด้านผู้กำกับ ผมรู้ว่ามันยากอยู่แล้ว แต่ผมก็อยากทำ และพอทำออกมาได้แล้วนะรู้สึกว่าภูมิใจ เหมือนได้ปลดปล่อยว่าเออเราทำได้"
ออกปากยอมรับไม่เคยร่ำเรียนศาสตร์ทางด้านภาพยนตร์มาก่อนหรือแม้กระทั่งการทำงานเบื้องหลังก็ไม่มี แต่ทั้งนี้เจ้าตัวก็เชื่อว่าด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปีของการทำงานเบื้องหน้าก็เป็นอะไรที่ไม่น่าจะด้อยไปกว่าการเรียนทฤษฎีอยู่ในห้องเรียน
"ผมทำหนังจากประสบการณ์ ผมไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษาอะไรมา ไม่ได้ผ่านวงการกำกับหนังมา ซึ่งมันหมายความว่าผมไม่ได้อยู่เบื้องหลังผมอยู่เบื้องหน้า แต่ผมเชื่อว่าการที่ผมได้อยู่ในวงการมาสิบห้าปีเนี่ย ผมเชื่อว่าในห้องเรียนก็ไม่สามารถหาแบบนี้ได้"
"ผมรู้สึกว่ามันได้ต่างกัน ผมได้ปฏิบัติ ส่วนเขาได้ทฤษฎี มันต่างกันตรงที่ว่าคือต่างคนต่างก็ได้ แต่ว่าส่วนของผมได้ปฏิบัติซึ่งการที่เคยได้ทำมาแล้วมันช่วยได้เยอะมาก และเราควรให้เกียรติซึ่งกันและกัน คือถ้าเขาทำงานเก่งผมก็ให้เกียรติเขาว่าเขาทำงานเก่ง และแน่นอนคุณก็ต้องให้เกียรติตลกคาเฟ่ที่มาจากบ้านนอก"
"อย่างป๋า(โน้ต เชิญยิ้ม)ทำหนังได้ร้อยสี่สิบเอ็ดล้าน คือมันมีผู้กำกับน้อยคนที่ทำหนังได้ร้อยล้าน เพราะฉะนั้นต้องให้เกียรติตลกคาเฟ่ ถามว่าเขาได้เรียนตลกมามั๊ยก็ไม่ได้เรียน การที่ป๋าอยู่ในวงการบันเทิงมากี่สิบปี ผมว่ามันรวมอะไรอยู่ในหนังแน่นอน"
ไม่ปฏิเสธหากจะมีใครมองว่าเป็นอีกหนึ่งที่อยู่ในกระแสของ "ตลกทำหนัง"
"ถ้าคิดว่าจะตามกระแสก็ได้ไม่ได้ว่าอะไร อย่างมีคนบอกโอ๊ยตามกระแส ตลกมาทำหนังกันเยอะเราก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่าเรามามองดีกว่าว่าหนังแต่ละเรื่องที่ทำออกมาเป็นอย่างไร ผมเชื่อว่าหนังแต่ละเรื่องมันมีลายเซ็นของคนๆ นั้นอยู่"
"แล้วผมไม่ได้คิดที่จะเอาชนะใคร ไม่ใช่ว่าเราจะทำแล้วเราจะไปทับถมคนอื่น มันไม่ใช่ เหมือนเขามีปลาหมึกอยู่แล้วแผงหนึ่ง แล้วตัวเราก็เป็นตัวหนึ่งที่เข้าไปเสียบอยู่ในนั้น ซึ่งไม่ใช่ว่าพอไปเสียบแล้วมึงต้องกินของกูมันไม่ใช่ แนวความคิดมันไม่เหมือนกัน คือคุณสามารถเลือกได้"
"หนังของผมไม่ได้ไปเหมือนกับหนังเรื่องอื่น ไม่เหมือนกับป๋าไม่เหมือนกับพี่รงค์ หนังพี่หม่ำเขาก็ต้องแอ็กชั่น หนังของผมก็จะเป็นครอบครัว ครอบครัวดูได้ แต่ว่าก็สามารถจูงแฟนไปดูได้"
สำหรับความคาดหวังกับงานที่จะออกมานั้นโก๊ะตี๋บอกว่าขอแค่ไม่ให้ขาดทุน 20 ล้านบาทก็พอใจแล้ว นอกจากนี้เจ้าตัวก็ยังพร้อมรับอย่างเต็มที่กับเสียงวิจารณ์ที่จะมีเข้ามา เพียงแต่คำวิจารณ์นั้นจะต้องเป็นการวิจารณ์ที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความมีอคติ
"คนเราอย่าตัดสินกันแค่รูปลักษณ์ คนหน้าตาดีอาจจะจิตใจเลวก็ได้ คนหน้าตาไม่ดีอาจจะจิตใจดีก็ได้ เพราะฉะนั้นเหมือนกัน ดูแค่คนกำกับแล้วจะบอกว่าหนังมันไม่มีอะไรหรอกไม่ต้องไปดูเลย ไม่ใช่ ควรจะไปดูในเนื้อเรื่องก่อนว่ามันมีอะไรหรือเปล่า"
"พร้อมครับพร้อม พร้อมกับคำวิจารณ์ คือผมทำด้วยความตั้งใจ ส่วนคำวิจารณ์จะวิจารณ์แบบไหนผมรับได้อยู่แล้ว แต่ว่าต้องวิจารณ์อย่างเที่ยงธรรมนะ อย่าวิจารณ์อย่างอคติ บางคนมี อย่างวิจารณ์อย่างอคตินะ ทำไมต้องวิจารณ์ว่าหนังไม่มีอะไร แต่ทำไมมีคนดู มันต้องมีอะไรสิ"
"เราต้องเอาเส้นชัยมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินดีกว่า อย่างหนังของป๋าเนี่ยได้ร้อยแล้ว ถูกมั๊ย แล้วคุณเอาอะไรมาการันตีว่าหนังของเขาไม่ดี ไม่ดีแล้วคนจะดูได้ไงร้อยกว่าล้าน เพราะฉะนั้นเราจะมาวัดกันระหว่างทางไม่ได้ เราต้องมาวัดกันที่ปลายทางว่าใครจะคว้าธงจะคว้าเส้นชัยได้"
"อยากให้ทุกคนเปิดใจกับหนังตลกบ้าง อย่าอคติ ไม่ใช่หนังออกมาแล้วจะบอกว่าเนี่ยหนังไม่ได้ตังค์ คนชอบพูดแบบเนี้ย แต่ผมรู้สึกว่าควรวัดกันที่เส้นชัยดีกว่า ระหว่างทางอย่ามาวัดเลย คุณอาจจะแรงตอนต้น แต่ตอนปลายคุณอาจจะแผ่วก็ได้"
"ผมอยากให้ทุกคนให้เกียรติกับตลกคาเฟ่บ้าง จะวิจารณ์ผม ผมยอมรับอยู่แล้ว ยอมรับทุกอย่าง เพราะว่าผมเนี่ยก็เต็มที่กับการทำงานแล้ว อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด โอเคถ้าวิจารณ์ดีก็โอเค ผมต้องขอขอบคุณ แต่ถ้าวิจารณ์มาไม่ดีผมก็ต้องดูอีกว่ามันตรงหรือเปล่า ถ้าวิจารณ์มาแล้วรู้สึกว่ามันตรง เราก็จะกลับมาปรับปรุงว่าเขาพูดถูกนะ"
"ผมไม่รู้ว่าหนังที่ดีหนังที่มีอะไร มันคืออะไร แน่นอนมันเป็นหนังตลกจะให้ถ่ายออกมาเป็นสารคดีหรือไง หนังตลกนี่มันก็ต้องตลก ตลกก็ต้องเสนอในด้านของตลก จะให้มานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งมันก็ไม่ใช่..."