xs
xsm
sm
md
lg

ตลกคะแนนดี : หอแต๋วแตก 2/อภินันท์

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


จะออกมาจากความรู้สึกจริงๆ หรือต้องการพูดแค่ขำๆ แต่ผมก็ค่อนข้างชอบกับถ้อยคำของคนใกล้ตัวบางคนที่บอกประมาณว่า ยุคนี้เดี๋ยวนี้ การตีตั๋วเข้าไปดูหนังไทยในโรงสักเรื่องนั้น มันเปรียบได้กับภารกิจเสี่ยงตายอย่างหนึ่งไปแล้ว

ที่บอกว่าเสี่ยงตาย ไม่ได้หมายถึงจะมีคนเอามีดมาไล่ฆ่าหรือว่าอะไรทำนองนั้น แต่ความหมายจริงๆ ของมันก็คือ ความกังวลว่าคุณภาพของหนังจะไม่คุ้มค่ากับเงินทองที่ต้องจ่าย นั่นยังไม่นับรวมถึงเรื่องของเวลา ทั้งจากการเดินทางไปโรงหนังแล้วนั่งดูซึ่งอย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้สอยไปแล้ว 3-4 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ (เพื่อดูหนังห่วยๆ เรื่องหนึ่งนี่แหละท่าน!!)

เพราะเหตุดังนี้นั้น ผมจึงไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด ที่มันจะเกิดมีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเชื่อว่าคงไม่ใช่น้อยๆ ที่ยึดมั่นอย่างหนักแน่นในอุดมการณ์ที่ว่า ถ้าเป็นหนังไทย รอดูในแผ่น (แผ่นจริงหรือแผ่นผีก็ว่ากันไป) หรือโหลดจากเว็บมาดู จะรู้สึกปลอดภัยเป็นที่สุด อย่างน้อยๆ ถ้าหนังเรื่องนั้นๆ มันดี ก็ถือเป็น "ลาภ" ของชีวิตไป แต่ถ้ามันห่วย ก็ไม่ต้องมานั่งรู้สึกแย่อะไรกับมันมาก เนื่องจาก "วิธีการที่ได้มา" มีราคาไม่แพงนัก (บางเว็บไซต์นี่ ได้ข่าวว่าโหลดฟรีด้วยซ้ำไป)

แน่นอนครับว่า เรื่องกลัวเสียดายตังค์อย่างนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาลอยๆ หากแต่เกี่ยวข้องอย่างสำคัญกับประสบการณ์ที่ได้ผ่านพบมา เพราะถ้าคุณเคย "เซ็ง" กับผลงานของคนทำหนังบางคนมาแล้ว เมื่อเขาคนนั้นมีงานชิ้นใหม่ คุณก็จะชั่งใจมากขึ้นเป็นธรรมดาว่า "ควรเสี่ยง" หรือ "ไม่ควรเสี่ยง"

เช่นเดียวกัน หลังจาก "เซ็งสุดๆ" มาแล้วกับ "แต๋วเตะตีนระเบิด" ผมก็เกิดอาการลังเลพอสมควรกับ "หอแต๋วแตก แหกกระเจิง" ผลงานเรื่องใหม่ของผู้กำกับพจน์ อานนท์ อย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่เดินเข้าโรงด้วยความรู้สึกโล่งๆ ไม่คิดหวังอะไรมาก ถือว่าเอาเงินร้อยกว่าบาทไป "ร่วมทำบุญ" สนับสนุนวงการหนังไทย แต่เมื่อได้ดูจริงๆ ผมกลับรู้สึกเซอร์ไพรส์กับ "คุณภาพ" หนังเรื่องนี้ของคุณพจน์ อานนท์...

ถ้ายอร์ช-ฤกษ์ชัย พวงเพชร์ มีหนังตระกูล "ส่ายหน้า" เป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา ทั้งคุณและผมก็คงเห็นว่า พจน์ อานนท์ เอง ก็มีหนังตระกูล "แต๋ว" เป็นเสมือนเครื่องหมายการค้าไม่ต่างกัน เพราะตลอดระยะทางที่ผ่านมา พจน์ อานนท์ ยังคงปักหลักอยู่กับเรื่องราวของตัวละครที่เป็นตุ๊ดแต๋วเกย์กะเทยมาโดยตลอด และส่วนใหญ่ก็ถูกนำเสนอออกมาด้วยท่าทีที่ "ตลกโปกฮา" ก่อนพจน์ อานนท์ จะลองพลิกความตลกของเพศที่สามให้มีความเป็นดราม่าใน "เพื่อน...กูรักมึงว่ะ"

แต่พูดก็พูดเถอะ ผมว่า พจน์ อานนท์ นั้นน่าจะเหมาะกับแนวทางของหนังตลกมากกว่า เพราะพอเขามาทำหนังดราม่าทีไร ผมสังเกตเห็นว่า น้ำหนักมันดูเบาๆ ลอยๆ อย่างไรไม่รู้ คือต่อให้ไม่นับรวม "เอ๋อเหรอ" ซึ่งจงใจจะบิวท์ให้ซึ้ง (แต่ดูเหมือนจะซึ้งแค่คุณผู้กำกับเพียงคนเดียว!!) หนังดราม่าของเขาอีกเรื่องอย่าง "เพื่อน...กูรักมึงว่ะ" ที่ได้รางวัลมาเยอะแยะจากหลายที่หลายแห่ง (ทั้งบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ฯลฯ) ผมเห็นว่ามันก็ยังมี "รูรั่ว" อยู่หลายที่หลายจุด และที่จะไม่พูดไม่ได้เลยก็คือ การหักมุมในตอนท้ายโดยใช้ความตายเป็นเครื่องมือนั้น บอกกันแบบจริงใจเลยครับว่า "เน่าสุดๆ" (โอเค พจน์ อานนท์ อาจติดอิทธิพลจากหนังเกาหลีมาบ้าง แต่ก็น่าที่จะใช้ "ความตาย" ให้มันดูเนียนๆ และ "น่าเชื่อถือ" กว่านี้สักหน่อย ไม่ใช่ปล่อยออกมาแบบละครน้ำเน่ายังไงยังงั้น)

และการที่ผมบอกว่า พจน์ อานนท์ เหมาะกับหนังตลก ก็ไม่ใช่สักแต่ว่าพูด หากแต่เมื่อลองมองย้อนกลับไปในเส้นทางการทำหนังของผู้กำกับคนนี้ เราจะเห็นว่างานของเขาที่คนส่วนใหญ่จดจำได้ ก็มักจะหนีไม่พ้นหนังแนวขำๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ปล้นนะยะ" กับ "เหยินเป๋เหล่ เซมากูเตะ" ที่แม้จะไม่ถึงขั้น "เยี่ยมยุทธ์" อะไรมาก แต่ก็พอจะกล่าวได้ว่าเป็นที่ถูกใจระดับหนึ่งสำหรับคนดูหนังซึ่งชอบอะไรๆ ที่ไม่เครียด

และไม่มากไม่มาย ผมคิดว่า หนังอย่าง "หอแต๋วแตกแหกกระเจิง" ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ตอกย้ำยืนยันได้ดีอีกอย่างว่า พจน์ อานนท์ เป็นคนที่มีเซ็นส์ในการทำหนังตลกได้เวิร์กคนหนึ่ง

มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมเห็นว่า หอแต๋วแตกแหกกระเจิง มี "พัฒนาการ" ที่ดีขึ้นจาก "หอแต๋วแตก" ซึ่งเป็นภาคแรกของหนังเรื่องนี้ อย่างแรกเลยที่น่าพูดถึงก็คือ เรื่องของบทหนังที่มีความต่อเนื่อง หนังเล่าเรื่องได้ลื่นไหล ไม่รู้สึกว่ามันสะดุดหรือกระโดดข้ามไปข้ามมาเหมือนหนังตลกห่วยๆ หลายๆ เรื่องที่สักแต่ว่าเอามุกฮามาร้อยต่อๆ กัน (ไม่เว้นแม้กระทั่งผลงานชิ้นก่อนหน้าของคุณพจน์ อานนท์ อย่าง "แต๋วเตะตีนระเบิด" ที่ทำให้การดูหนังของผม ไม่ต่างจากการทรมานตัวเองวิธีหนึ่ง!!)

จริงๆ เนื้อหาหนังก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความแค้นและอาฆาตแบบข้ามชาติภพ เพียงแต่วิธีการแตกช็อต การขยายเรื่องราว รวมไปจนถึงองค์ประกอบทุกๆ อย่างมันดูมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และที่สำคัญ สิ่งที่ผมคิดว่าคุณพจน์ อานนท์ คงอยากจะให้ถูกพูดถึงอยู่เหมือนกัน และถ้าเป็นเช่นนั้น ผมก็จะขอสนองนี้ดผู้กำกับด้วยการพูดถึงก็คือ สาระที่แฝงเร้นอยู่ในเรื่องราว ไม่มากมาย แต่จับต้องได้ชัดเจน

แน่นอนล่ะ ถ้าไม่นับรวมถ้อยคำจิกๆ กัดๆ โน่นนี่ (ตั้งแต่สังคมดาราบันเทิงไปจนถึงการเมืองและนักโทษการเมืองบางคน) ซึ่งคงเป็นผลมาจากความปากจัดของคุณผู้กำกับเอง ที่ผมชอบมากๆ ก็คือฉากที่ตัวละครสองฟาก (ดีกับร้าย) สลับสับเปลี่ยนกันเล่าเรื่องราวในอดีตชาติที่ทั้งๆ ที่เล่าเรื่องเดียวกัน แต่เนื้อหาของเรื่องเล่ากลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

ตรงจุดนี้ หนังไม่เพียงจะทำให้เรารับรู้ถึง "อานุภาพของเรื่องเล่า" หากแต่ยังกระทบชิ่งถึงสิ่งที่เป็นปัญหาของบ้านเราเมืองเรายุคนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะตัวละครต่างฝ่ายต่างก็มี "ชุดความจริง" เป็นของตัวเอง แต่ความจริงนั้นจะถูกบิดเบือนหรือไม่อย่างไรนั้นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็เหมือน "ชุดความจริง" ของคนส่วนหนึ่งในสังคมที่แต่งสีใส่กลิ่นจนไร้สิ้น "ความเป็นจริง"

ไม่ว่าพจน์ อานนท์ จะจงใจ หรือว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญและผมคิดไปเอง แต่ฉากที่ว่านั้นก็สะกิดสะเกาให้เรานึกไปถึงความเป็นจริงของสังคมไทยยุคปัจจุบันได้อย่างน่าประหลาด

ก็ไม่ใช่เพราะ "เรื่องเล่าผิดๆ" แบบนี้หรอกหรือครับที่ทำให้เกิด "การหลงผิด" แผ่ขยายมากมายอย่างที่เป็นอยู่??

และเพราะไม่ใช่คนเรา "หลงเชื่อเรื่องเล่า" กันง่ายๆ อย่างไร้การตรวจสอบแบบนี้หรอกหรือครับ จึงทำให้ปัญหาหลายๆ อย่างบานปลายไม่สิ้นสุด??...

เอาเถอะ ไม่ว่าจะอย่างไร พ้นไปจากเนื้อหาและวิธีการเล่าเรื่อง ผมว่าจุดแข็งของหอแต๋วแตกภาคนี้ก็คือ มุกฮาต่างๆ ที่กระจายอยู่แทบจะทุกๆ สองนาทีในหนัง ซึ่งมีทั้งมุกที่ได้ฮาออกมาแบบเต็มปากเต็มคำ และมุกที่ได้ขำ "หึๆ" ในลำคอ ขณะที่ตัวตลกในเรื่องก็ทำหน้าที่ในการรับส่งมุกกันได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ตุ๊กกี้" ที่บทหนังเรื่องนี้ดูเหมือนต้องการจะส่งเธอให้เป็นดาวตลกไปเลยจริงๆ หรืออย่างน้อยๆ บทของเธอในหนังเรื่องนี้ก็ดูดีขึ้นเยอะมากจากตอนที่เล่น "วงษ์คำเหลา"

ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ด้อย ทั้งโก๊ะตี๋ อารามบอย ทั้งจาตุรงค์ พลบูรณ์ หรือแม้แต่คุณติ๊ก กลิ่นสี เอกชัย ศรีวิชัย และยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฏาวงษ์ และอีกหลายๆ คนที่ต่างก็ได้รับการเฉลี่ยบทบาทในอัตราส่วนที่ไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน (แต่ที่น่าสงสารหน่อย ก็คงเป็นทีมหนุ่มน้อยนักแสดงหน้าใหม่ๆ เหล่านั้นนั่นแหละครับ เพราะทั้งๆ ที่ได้ข่าวว่าพจน์ อานนท์ จะพามาแจ้งเกิดในหนังเรื่องนี้ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ถูกรัศมีกองทัพตลกกลบทับจนไม่มีอันได้ผุดได้เกิดไปซะงั้น)

อย่างไรก็ดี ถ้าจะมีอะไรสักอย่างสองอย่างที่น่าติติงกันไว้บ้าง อะไรสักอย่างที่ว่านั้นก็คงเป็นเรื่องของคำหยาบ และคุณพจน์เองก็คงต้องปรับเช่นกัน เพราะอันที่จริง ดูๆ ไป ต่อให้ไม่มีคำหยาบ ศักยภาพความขำในหนังของคุณก็ไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน มันดูเหมือนจะยังมีฉากเกินๆ ประเภทที่ว่าเพิ่มเข้ามาเพื่อยิงมุกตลกกันอย่างเดียว แต่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเนื้อเรื่องอะไรเลย อย่างตอนที่ตัวละครตุ๊กกี้จะเอ๋กับคนหน้าผีตรงประตูลิฟท์ คือถ้าคุณพจน์สามารถที่จะร้อยฉากแบบนี้ให้ดูเนียนๆ ไปกับเรื่องราวได้ หนังจะเวิร์กขึ้นกว่านี้อีกเยอะมาก

ครับ ที่พูดมาทั้งหมด ไม่ได้จะบอกว่า พจน์ อานนท์ เป็นคนที่บรรลุธรรมในการทำหนังไปเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่กับงานชิ้นนี้ ผมมองว่าคนทำหนังคนนี้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นและมีความแม่นยำมากขึ้นในการผูกเรื่องและเล่าเรื่อง

เหนืออื่นใด ถ้าหนังแต่ละแนวมีเป้าหมายของมันที่คนทำต้องไปให้ถึง เช่น ถ้าเป็นแอ็กชั่นก็ต้องแอ็กชั่นให้มันระทึกถึงอกถึงใจ หรือถ้าเป็นหนังรัก ก็ต้องทำคนดูซึ้งให้ได้ จึงจะถือว่า "สอบผ่าน" ถ้าเป็นเช่นนั้น สำหรับหอแต๋วแตกแหกกระเจิง ที่จัดวางตัวเองไว้ให้อยู่ในหมวดหมู่หนังตลก ผมว่าหนังก็สอบไม่ตกแต่อย่างใดในเรื่องของความฮา






กำลังโหลดความคิดเห็น