"หมอกฤษณ์” สู้ไม่ถอย เตรียมยื่นอุทธรณ์ฟ้อง “ลีเดีย-แมทธิว” หมิ่นต่อ ปัดดอดแอบเจรจาลับกับทนายนักร้องสาว ส่วนเรื่องขอโทษโบ้ยให้ทนายจัดการ ด้านทนาย “สาคร” เผยจะฟ้อง “ลีเดีย-แมทธิว” เพิ่มในคดีแพ่ง เรียกค่าเสียหายอีก 100 ล้าน ลั่นจะยอมให้ “หมอกฤษณ์” ขอโทษ หากนักร้องสาวยอมจบทุกคดี โดยไม่เรียกค่าเสียหายเลยสักบาท
เกี่ยวกับกรณีที่หมอดูชื่อดัง “ หมอกฤษณ์ คอมเฟิร์ม” หรือนาย “ศุภกฤษณ์ ปทุมศรีวิโรจน์” ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนักร้องสาว “ลีเดีย ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา” กับแฟนหนุ่ม “แมทธิว ดีน” คดีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายรวมทั้งสิ้น 100 ล้านบาท จากนั้นศาลได้มีคำสั่งตัดสินไม่รับฟ้องในคดีดังกล่าว เนื่องจากได้รับการยกเว้นตามกฏหมายอาญามาตรา 329 ที่ว่าด้วยการติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ นั่นคือการที่สาวลีเดียถูกหมอกฤษณ์กล่าวว่าโดยตรง หมายความว่าตัวนักร้องสาวกับแฟนหนุ่มแมทธิว ก็มีสิทธิ์ที่จะออกมาตอบโต้ได้เช่นกัน
ดังนั้นผู้สื่อข่าว “ASTV ผู้จัดการออนไลน์” จึงได้ต่อสายตรงไปสอบถามความรู้สึกของหมอดูชื่อดัง หลังทราบคำตัดสินของศาล ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้มีท่าทีท้อแท้หรือเสียใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับเตรียมการเดินหน้ายื่นอุทธรณ์ฟ้องสาวลีเดียต่อ ยันคดีดังกล่าวกินเวลายาวนานแน่นอน
“ที่ศาลไม่รับฟ้องผมไม่เสียเซลฟ์เลย ความจริงเราก็ต้องสู้กันไป ที่ผมฟ้องไปเป็นการฟ้องในลักษณะว่า มันเป็นสิ่งที่เขาพูดจริงๆ คำที่เขาบอกว่าผมไปทายเขาจะท้องไม่มีพ่อ ศาลท่านอาจจะมองเห็นว่าเป็นการติชมด้วยใจเป็นธรรมตามมาตรา 329 เป็นการติชมมาจากทางเขามาก็ได้ ผมเองก็ไม่รู้ มันก็คงเป็นความเห็นของศาล ซึ่งตรงนี้ผมก็ยกให้เป็นเรื่องทางทนาย ผมไม่ได้สนใจอยู่แล้ว”
“ผมจะดำเนินการยังไงต่อ โอ้โห!มันยังอีกยาว มันยังมีอุทธรณ์ ยังมีฎีกาอีก ถึงแม้ศาลชั้นต้นท่านจะรับแล้ว เราไปไต่สวนแล้วถ้ายกฟ้องมันก็ต้องอุทธรณ์อยู่ดี ยังไงมันก็มีความหมายเดียวกัน หรือถึงแม้ศาลจะตัดสินว่าฝั่งของเขาผิด เขาก็ต้องยื่นอุทธรณ์อยู่ดี จริงๆแล้วมันไม่ได้มีอะไร คือบอกแล้วว่ามันต้องเสนอฎีกาครับ ผมบอกได้แค่นี้ว่า 6-7ปีถึงจะรู้ผล ผมก็คงเดินหน้าต่อไม่ได้ซีเรียสอยู่แล้ว อย่างคดี 100 ล้านที่ผมฟ้องคุณแม่เขา ศาลท่านก็รับไว้อยู่แล้ว”
“ส่วนจะยื่นอุทธรณ์เมื่อไหร่ คงแล้วแต่ทนาย สำหรับตัวผมแล้วไม่ได้ยุ่งเรื่องคดีนานแล้ว ตั้งแต่เดือนเม.ย.ก็ยกให้ทนายจัดการ ถ้าทนายบอกให้พอผมก็พอครับ แล้วแต่ทนายจะตัดสินใจเลย อย่างในปีหน้ามันจะมีสืบพยานที่เขาฟ้องผม ที่หาว่าผมไปหมิ่นประมาท 1 คดี แล้วก็จะมีคดีของผมที่สืบว่า แม่เขาบุกขึ้นไปบนเวที ทำให้ผมเกิดความเสียหายอีกคดีนึง คือมันเหมือนต่างคนต่างมีกันคนละคดี ถ้าไม่ยอมกันมันก็ต้องสู้กันไปยังฎีกา ซึ่งมันต้องใช้ระยะเวลานานอยู่แล้ว ต่ำๆก็ต้องเป็น 3-4ปี ยืนยันได้เลยว่าต้องอีกหลายปีแน่ๆ”
ไม่ซีเรียสเรื่องตัวเลข ยิ่งคดียืดเยื้อยิ่งต้องมีค่าใช้จ่ายเยอะ
“ตัวผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องตรงนั้นเลย ก็ถือซะว่าเรื่องมันเกิดไปแล้ว กับคดีตรงนี้ผมไม่ได้มองว่าใครจะเป็นต่อใคร โดยตามหลักแล้วมันไม่มีใครที่เป็นต่อทั้งนั้น เพราะทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล ซึ่งเราก็ต้องเคารพการตัดสินใจของศาล ผมถือว่าเรื่องวันนี้มันเกิดขึ้นแล้ว เราเองก็ต้องเดินหน้าต่อไปในสิ่งที่เราจะทำ ก็ไม่รู้ว่าจุดจบทั้งหมดของเรื่องจะลงเอยยังไง เพียงแต่ผมก็ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ผมก็มุ่งหน้าทำงานของผมอย่างเดียว ประชาชนคนไทยรู้สึกดีกับเราก็พอแล้ว”
ส่วนที่นักร้องสาวต้องการคำขอโทษจะยอมจบเรื่อง เจ้าตัวโบ้ยให้เป็นการตัดสินใจของทนาย ออกอาการงงที่อีกฝ่ายแฉตนแอบดอดไปเจรจาลับกับทนายฝั่งตรงข้าม
“ไม่รู้เหมือนกัน ตรงนี้ก็คงแล้วแต่ทนาย ผมต้องเรียนตรงๆว่าตรงนี้ผมให้ทนายเป็นคนจัดการทุกอย่าง ก็ให้เป็นไปตามที่ทนายตัดสินใจทั้งหมดเลยว่าเขาจะเอายังไง ตัวผมเองยังไงก็ได้ ถ้าทนายบอกให้ผมไปขอโทษ เพื่อให้เรื่องทุกอย่างมันจบ ผมเองก็ยินดีทำตามที่เขาพูด”
“ที่เขาบอกว่าผมไปเจราจากับทนายเขา ไม่มีเลยนะครับ ตอนไหนออกมาได้ยังไงผมงง ก็เหมือนข่าวของน้องเพชร (ภัควรรธน์ พิสิษวุฒิรัชต์ ลูกชายพุ่มพวง) ที่บอกว่าผมจะไปแถลงข่าวกับเขาด้วย ผมยังงงอยู่เลยว่าจะไปตอนไหน จริงๆเรื่องของเรื่องคือน้องเพชรกำลังมีคดีอยู่เหมือนกัน เขาก็เลยโทรมาคุยกับผม ผมก็ดูดวงให้เขาแล้วก็แนะนำว่าเวลาโดนฟ้องจะต้องทำยังไง"
"ผมก็แนะนำเขาไปว่าถ้าจะไปฟ้องฝั่งนั้น ผมเองก็ไม่เห็นด้วย แต่ตอนนี้น้องเขาถูกฟ้องอยู่ แล้วดันไปถูกฟ้องที่เชียงใหม่ ผมก็เลยแนะนำน้องเขาแล้วก็ฝากฝังให้คุณทนาย ช่วยว่าความให้น้องเขาด้วยก็เท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรเลย เท่าที่รู้จักเพชรก็เป็นคนที่น่าสงสารคนนึง ผมรู้สึกเห็นใจเขา เพราะตัวผมเองเคยผ่านจุดนั้นมา ผมเข้าใจว่าเขารู้สึกยังไง”
บอกไม่สนใจเรื่องคดีแล้ว เนื่องจากไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตนแล้ว แต่มิวายยังฟุ้งดวงชะตาของตนกับ “ลีเดีย” เหมือนกัน ลั่นไม่อยากตกเป็นข่าวอีก เพราะดังจนถึงจุดอิ่มตัวแล้ว
“ความจริงน้องเขาเป็นคนที่เกิดราศีเดียวกับผม ฤกษ์ในการเกิดของน้องเขาก็เป็นฤกษ์เดียวกับผม เรียกว่าถ้าผูกดวงออกมาแล้วดวงก็กึ่งๆเดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้าจะมีอะไรดีๆก็จะมีเหมือนๆหรือคล้ายๆกัน ตอนนี้ผมเองก็เชื่อว่า ชีวิตน้องเขาตอนนี้ก็คงจะดีขึ้นเป็นไปตามสเต็ป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการงาน รวมถึงรายได้ของน้องเขาที่มีเข้ามาค่อนข้างจะสูง อย่างที่ผ่านมาน้องเขาก็มีข่าวที่ค่อนข้างเป็นไปในแง่บวกเยอะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการซื้อบ้าน หรืองานที่เกี่ยวกับการเป็นพรีเซนเตอร์ ผมเลยเชื่อว่ามันไม่มีใครจะมาเสียเปรียบใคร จริงๆแล้วถ้าผมดูดวงน้องเขา ก็เท่ากับว่าผมดูดวงของตัวเอง”
“ช่วงนี้ผมไม่อยากจะตกเป็นข่าวอะไรอีกแล้ว หลังๆผมพยายามที่จะไม่ออกสื่อ เพราะรู้สึกว่ามันอิ่มตัวแล้ว คือตอนนี้ผมก็อยู่ในเกณฑ์ที่มีลูกค้าเข้ามาเยอะ ทุกวันนี้ผมพอใจไม่ต้องการจะดังอีกแล้ว ทุกอย่างมันเป็นแค่ภาพลวงตา เงินทองก็เป็นแค่ภาพลวงตา แต่ว่าในชีวิตจริงของคนเรา ควรจะต้องใช้ชีวิตให้มีความสุข ความสุขของผมคือการได้ช่วยเหลือดูดวงให้กับประชาชน ช่วงหลังๆผมก็ดูให้เขาฟรีบ้าง จริงๆมันไม่ได้เกี่ยวกับการที่ผมมีเรื่องคดีเลย มันเหมือนกับว่าผมมีเท่าที่เป็นอยู่ผมพอใจแล้ว”
ด้านทนายชื่อดัง “สาคร ศิริชัย” เผยเคารพการวินิฉัยของศาล แต่ไม่ท้อเดินหน้าให้ลูกความเตรียมยื่นอุทธรณ์ ทั้งให้ฟ้องร้องคดีแพ่งเพิ่ม เรียกค่าสินไหมทดแทนอีก 100 ล้านแทนคดีอาญาที่ศาลไม่รับฟ้อง
“ตัวผมเองก็เคารพความคิดเห็นของศาล แต่ประเด็นนี้ผมยังต้องอุทธรณ์อยู่ เพราะมองว่าถึงแม้จะเป็นการตอบโต้ก็จริง แต่เป็นการตอบโต้ที่เกินความจริงกว่าที่เรากระทำ ก็คิดว่าจะยื่นอุทธรณ์ให้เร็วที่สุด คิดว่าคงภายในเดือนต.ค.นี้แหละ แล้วอีกประเด็นนึงผมอาจจะต้องยื่นฟ้องใหม่ เรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายในส่วนของทางแพ่งอีกต่างหาก เรียกค่าเสียหาย 100ล้านเท่าเดิม ตรงนี้เรายังไม่หยุด”
“ผมปรึกษากับหมอกฤษณ์แล้ว ถึงแม้เขาจะไม่มีความผิดในทางอาญา แต่เราเองก็ยังได้รับความเสียหายในทางแพ่งอยู่ เพราะในส่วนอาญาเขาได้รับข้อยกเว้นตามกฎหมาย แต่ในส่วนของชื่อเสียงและเกียรติคุณต่างๆเรายังได้รับความเสียหายอยู่ เราก็ยังมีสิทธิ์เรียกฟ้องค่าสินไหมทดแทนความเสียหายทางแพ่งได้ ยังไงเราคงไม่ยอมแน่นอน”
ลั่นจะยอมให้หมอดูคอนเฟิร์มขอโทษ หาก “ลีเดีย” ทำให้คดีจบจริง โดยไม่เรียกค่าเสียหายแต่อย่างใด
“ถ้าเป็นอย่างที่เขาพูด ก็ให้คุณลีเดียไปคุยกับทางทนายเขาให้ดี เรื่องมันจะจบได้มันน่าจะอยู่ที่คุณลีเดีย ถ้าจะให้หมอกฤษณ์ยอมขอโทษเพียงอย่างเดียว ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเหนือวิสัย ที่จะทำให้ทุกอย่างมันจบ ถ้าขอโทษแล้วจบหมดทุกคดีที่เราฟ้อง ผมคิดว่าน่าจะคุยกับหมอกฤษณ์ได้ ไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่ถ้าขอโทษแล้วยังมีเรื่องของค่าเสียหายหรือว่าอะไรต่างๆตรงนี้ คงไม่ได้ เพราะทางเราเองก็เสียหายเหมือนกัน”
“ตั้งแต่เริ่มฟ้องผมก็แสดงเจตนามาโดยตลอดว่า คดีนี้มันน่าจะตกลงกันได้ และศาลเองก็มองเห็นว่ามันน่าจะตกลงกันได้ แต่ที่ผ่านมาที่มันไม่จบ เป็นเพราะคุณลีเดียเองไม่มีความประสงค์ที่จะคุยกับหมอกฤษณ์ด้วยตัวเอง ล่าสุดหมอกฤษณ์ยังเรียนผู้พิพากษาด้วยว่า ถ้าหากระหว่างตัวเขากับคุณลีเดีย ได้คุยกันตัวต่อตัวต่อหน้าศาล โดยไม่มีทนายทั้งสองฝ่ายมาเกี่ยว แล้วเขาได้ปรับความเข้าใจกัน ก็คิดว่าเรื่องมันน่าจะจบ ผมว่าในเรื่องของการไกล่เกลี่ย เป็นเรื่องของตัวความที่จะต้องตัดสินใจสุดท้าย แต่ถ้ามองว่าให้หมอกฤษณ์ขอโทษแล้วจบ มันก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับอนาคตของทั้ง 2 ฝ่าย เพราะจริงๆแล้วมันเป็นประสงค์ของทางศาลอยู่แล้วด้วย”
นอกจากนี้ทางทนายสาครยังได้เปิดเผยเพิ่มเติม ถึงรายจ่ายโดยประมาณที่ลูกความของตน ต้องจ่ายให้กับทางศาล เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1 ล้านบาท โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายในส่วนของทนาย ส่วนค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้ทนายนั้น เจ้าตัวไม่ขอเปิดเผย เนื่องจากเป็นเรื่องที่ตกลงเจรจากันเองระหว่างลูกความ