xs
xsm
sm
md
lg

เจาะใจ “จั๊กกะบุ๋ม” ในวันที่เกือบตายเพราะถูกตำรวจขี้เมาเอาปืนจ่อหัว สุดผิดหวังที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทำร้ายประชาชนซะเอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“จั๊กกะบุ๋ม เชิญยิ้ม” ตีแผ่ กรณีถูกตำรวจขี้เมาเอาปืนจ่อหัว หลังไม่พอใจที่ถูกพาดพิง เจ้าตัวสุดยัวะที่ตำรวจเห็นเป็นเรื่องโจ๊ก แถมยังอ้อนวอนให้ยอมความโดยดี สวนกลับ ถ้าเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ผิดกฎหมาย จะได้ซื้อปืนไว้ขู่คนที่ไม่ชอบขี้หน้าบ้าง แล้วห้ามจับกุมเช่นกัน ก่อนซัด เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แต่กลับมาทำร้ายประชาชนซะเอง แต่ยังใจกว้างไม่อคติกับตำรวจไทย มั่นใจยังเป็นที่พึ่งให้ได้

หลังจากถูก “ส.ต.ต.อุทิศ ทิพย์ศรี” ตำแหน่งผบ.หมู่งานป้องกันและปราบปราม สน.ดุสิต เอาปืนจ่อหัวทั้งยังกร่างจะเอาเรื่องกลางร้านอาหาร หลังไม่พอใจที่ถูกแซวพาดพิงบนเวที ทำเอาศิลปินตลกชื่อดังอย่าง “สมชาติ ทรงกลด” หรือ “จั๊กกะบุ๋ม เชิญยิ้ม” เดือดจัด โร่เข้าแจ้งความประกาศท้าชนกับตำรวจ ทั้งยังยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด จนหลายคนชื่นชมในความกล้าหาญที่เจ้าตัวกล้าต่อกรกับตำรวจแบบไม่เกรงกลัวอิทธิพลใดๆ

ซึ่งความคืบหน้าล่าสุด แม้ว่าตอนนี้นายตำรวจขี้เมาผู้นั้นจะถูกสั่งปลดออกจากราชการรับกรรมไปแล้วเรียบร้อย แต่ทว่าในแง่ของความรู้สึกที่ตลกชื่อดังมีต่อ “ตำรวจ” นั้น เจ้าตัวยอมรับ แม้จะไม่ได้ปักใจเจ็บ แต่ก็ผิดหวังไม่น้อยที่ตำรวจผู้ที่ได้ชื่อว่ามีหน้าที่ดูแลปกป้องประชาชน แต่กลับมาทำร้ายประชาชนซะเอง

“วันนั้นไปเล่นตลกที่ร้านอีสานจุ่มแซ่บ แถวตลิ่งชัน เป็นร้านที่เราไปเล่นกันประจำทุกๆ วันศุกร์-เสาร์ และอาทิตย์ และเป็นร้านที่เล่นตั้งแต่สมัยเล่นตลกคาเฟ่ การเล่นก็จะเป็นการเล่นตลกไป แล้วก็แซวลูกค้าไป ซึ่งเป็นการเล่นกับลูกค้าที่เป็นลูกค้าประจำซะส่วนมาก วันนั้นก็เป็นการเล่นปกติ แล้วตามนิสัยตลกทั่วไป มีอำมีแซวภาษาชาวบ้านเขาเรียกปากหมาไปเรื่อย แต่วันนั้นก็เล่นมุกเกี่ยวกับตำรวจ เพราะลูกค้าก็เริ่มเมากันแล้ว ก็เลยอำลูกค้าว่าเดี๋ยวออกไปเลี้ยวซ้ายมีด่านนะ ถ้าขับรถออกไปถ้าตำรวจจับเป่าให้จอดนอนหน้าด่านเลยนะ ซึ่งเป็นมุกที่พาดพิงเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่อยนึง”

“เล่นเสร็จแขกก็สนุกสนานหัวเราะ หลังจากนั้นก็เลยเดินลงมาจากเวที แต่ยังไม่เลิกนะ แค่ช่วงเบรกเฉยๆ ผมก็เลยเดินอ้อมทางด้านหลังเวทีเพื่อไปหาลูกค้า ก็เห็นตำรวจคนนึงยืนโยกเยกๆ อยู่ แล้วก็มาขวางหน้าเราไว้ แล้วก็ถามผมว่า เฮ้ย เมื่อกี้มึงเล่นมุกอะไรวะ มึงปากดีเหรอ มึงอยากตายเหรอ เดี๋ยวยิงกะบาลแม่งเลย แล้วเขาก็ควักปืนออกมาจ่อที่หัวเรา ห่างจากหัวแค่ 3 นิ้ว (จริงๆ ตอนแรกรู้รึเปล่าว่าเขาเป็นตำรวจ?) รู้ครับ เพราะเขาใส่กางเกงสีกากี เสื้อสีขาว เขาใส่ครึ่งท่อน ดูรู้ตั้งแต่แรกเลยว่าเป็นตำรวจ แต่ไม่คิดว่าเขาจะเมาขนาดนั้น เพราะปกติผู้ใหญ่ที่เป็นตำรวจไปนั่งที่ร้านก็มีอยู่ประจำ ซึ่งเราก็ให้ความเคารพนับถือด้วย แต่คนนี้ไม่คุ้นหน้า”

“ตอนแรกนึกว่าเขามาเล่น แต่เฮ้ยเอาจริงนี่หว่า แต่พยายามนับหนึ่งถึงสิบเพราะไม่อยากมีเรื่อง เพราะเห็นสภาพเขาคือเมาแล้ว ผมก็เลยปัดมือที่เขาเอาปืนจ่อหัวผม บอกว่าผมไม่คุยกับพี่หรอก พี่เมาแล้ว แล้วผมก็เดินหนี แต่ระหว่างนั้นเขาก็บ่นแพล่มตลอดทาง เอาแม่งให้ตายเลย ยิงกะบาลแม่งให้ตายเลย จนลูกค้าในร้านมาบอกเราว่าอย่าไปยอม ถ้ามันทำอย่างนี้กับเราได้มันก็ต้องทำกับคนอื่นได้ แล้วถ้าคนอื่นไม่มีปากเสียงไม่มีทางต่อสู้เรื่องก็จะเงียบไป เผลอๆ ถ้าเกิดปืนมันลั่นขึ้นมาอาจตายฟรี”

“พอเห็นเขากำลังจะถอยมอเตอร์ไซด์กลับในสภาพที่เมามาก ผมก็เลยหยิบขวดโซดาปาใส่ แต่ไม่ได้กะจะให้โดนตรงไหน แค่อยากทำยังไงก็ได้ให้เขาหยุด แต่ใจจริงๆ ตอนนั้นคือให้โดนเขาก็ได้หรือไม่โดนก็ได้เพราะแค่อยากหยุดเขาเท่านั้นเอง เพื่อเอาเขามาเคลียร์ แต่ไม่ได้ต้องการให้ขอโทษ เพราะมันขอโทษไม่ได้แล้ว เอาปืนจ่อหัวผมขนาดนั้นมันขอโทษไม่ได้แล้ว”

“เราก็ปาใส่ๆ ลงพื้น ตอนนั้นก็ขว้างขวดไปหลายใบเหมือนกัน เดินผ่านโต๊ะลูกค้าก็พี่ยืมหน่อยปา พี่ยืมหน่อยปา(ทำท่าทางให้ดู) ซึ่งลูกค้าก็โห่ร้องเชียร์ เพราะเขาก็คิดว่าการกระทำตรงนั้นมันแรงเกินไป แล้ววันนั้นเราก็แรงเหมือนกัน ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงเงียบไปแล้ว (เราเมารึเปล่า?) ดื่มแต่ไม่เมา รู้เรื่องเพราะมันเพิ่งหัวค่ำเอง ถ่ายละครบ้านนี้มีรักเสร็จประมาณสองทุ่มกว่าๆ ผมก็ไปทำงานต่อ ยังทำงานได้ปกติมีสติดีครับ แล้วจังหวะที่เขาถอยรถด้วยความที่เมามาก เขาก็ล้มเอง ซึ่งพอล้มเสร็จปั๊บทุกคนก็เข้าไปจับตัวเขาไว้ ตอนแรกไม่มีใครกล้าเข้าไปเพราะเขามีปืน หลังจากนั้นเราก็โทรแจ้งตำรวจที่สน.ตลิ่งชัน แล้วผมก็ตามไปที่โรงพัก”

“ตอนที่อยู่โรงพักผู้ใหญ่ทางเขาก็พยายามจะไกล่เกลี่ย แล้ววันนั้นกว่าจะรับแจ้งความก็นานมากเป็นชั่วโมง ซึ่งปกติลงบันทึกประจำวันเต็มที่ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จแล้ว แล้วเจ้าหน้าที่ก็เอาตัวเขาไปคุยในห้อง แล้วต้องรอผู้บังคับบัญชาเขามาเคลียร์อีกชั่วโมงกว่าๆ แต่โดยนิสัยผมก็ไม่อยากมีเรื่องกับใครอยู่แล้ว ซึ่งผมก็พยายามเล่าให้เขาฟังว่า ไอ้ปืนจ่อผมไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดมันลั่นขึ้นมาแล้วผมจะทำยังไง ซึ่งผมไม่แฮปปี้กับคำพูดคำนึงของเจ้าหน้าที่ในนั้นที่บอกว่า เออก็ดีแล้วที่รอดมาได้ เอ้า..ก็ใช่ไงผมโชคดี แล้วถ้าเกิดผมโชคไม่ดีล่ะ พี่ลองตอบคำถามผมหน่อยสิ เขาก็อึกๆ อักๆ กลายเป็นตลกโปกฮาไป กลายเป็นเรื่องสนุกสนานของเขาไป”

“แล้วตอนที่ไปถึงโรงพักเขาก็ไม่มีปืนแล้ว ไม่รู้ว่าหายไปไหนเหมือนกัน (คิดว่าเป็นแผนการหรือเปล่า?) มันจะคิดอย่างนั้นก็ได้ไงครับ แต่หนึ่งพยานแวดล้อมผมมี ถ้าเกิดคุณจะงัดกับผมแบบนี้ก็ได้ แต่กล้องวงจรปิดมี พยานแวดล้อมมี ฉะนั้นจะมาบอกว่าไม่มีปืนไม่ได้ ลูกค้าที่เห็นเหตุการณ์ตามไปเป็นพยานให้ผมที่โรงพัก ทุกคนให้กำลังใจอย่าไปยอมๆ อยู่ด้วยกันยันแจ้งความเสร็จ ซึ่งวันรุ่งขึ้นผมต้องไปเล่นที่ร้านนั้นอีก ลูกค้ามาให้กำลังใจเยอะมาก”

“เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ใช่เรื่องที่ตลกกัน ก็มีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่ แล้วผมไม่ชอบความไม่ถูกต้องอยู่แล้ว มันไม่ใช่ผมก็ไม่ยอม ผมอาจจะผิดที่มีคำพูดไปกระทบกระทั่งพาดพิงตำรวจ อันนี้ยอมรับผิด มีโอกาสผมต้องโทษอยู่แล้ว ผมกล้ายอมขอโทษ”

“แต่หลังจากวันที่แจ้งความไปแล้วผมก็จบนะ ซึ่งเราก็รอดูทิศทางว่ามันจะออกมายังไง โดยที่ไม่ได้ไปตามจิกตามจี้ว่าคุณจะเอายังไง รอดูอย่างเดียวว่าเขาจะโทรมาอะไรยังไงมั้ย แต่ปรากฏก็ไม่มี เงียบเป็นอาทิตย์มีแต่ให้คนอื่นโทรมาเคลียร์ขอให้จบ ซึ่งก็มีทั้งผู้ใหญ่ที่เป็นตำรวจและผู้ใหญ่ในวงการตลกที่เรานับถือ แต่เราก็บอกว่าถ้าพี่เจออย่างผมก็คงมีความรู้สึกเดียวกัน ซึ่งเขาก็เข้าใจ แต่ที่ผมรู้สึกคือทำไมไม่โทรมาเอง ทำไมไม่พยายามเอง ทำไมไม่กระตือรือร้นที่จะรับผิดชอบหน่อย ทำไมต้องผ่านคนอื่น”

ถ้าเกิดกับบางคนคงจะกลัวไม่กล้ามีเรื่องกับตำรวจ แต่เจ้าตัวบอกว่าถ้าไม่ผิดก็ไม่เห็นต้องกลัว ทั้งยังเผยความในใจที่มีต่อตำรวจว่า ก็เป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไปเพียงแต่ใส่เครื่องแบบ ฉะนั้นอำนาจที่มีก็ไม่ได้ล้นฟ้าขนาดที่จะทำอะไรกับใครก็ได้

“ผมไม่ได้ลบหลู่หรือไม่ได้อะไรนะ โอเคเวลาเล่นตลกบางทีคำพูดผมอาจจะพาดพิง อาจจะมีคำพูดที่แรงที่อาจจะไปกระทบจิตใจคนอื่น คุณสามารถเดินมาตักเตือนผมได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาปืนมาจ่อหัวผมไง ความรู้สึกลึกๆ ของผมตำรวจก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป เพียงแต่เขาใส่เครื่องแบบ เพราะฉะนั้นอำนาจที่เขามีมันก็ไม่ได้มากมายอะไรที่จะมาทำอะไรที่มันเยอะเกินไปได้ ถ้าผมไม่ผิดผมไม่กลัว ถ้าผมผิดผมจะกลัว ผมเป็นคนแบบนี้ หนึ่งผมเป็นศิลปินเป็นนักแสดง ผมไม่ได้ไปฆ่าคนตาย ไม่ได้ปล้นหรือค้ายา ฉะนั้นผมไม่มีความผิด ถ้าไม่พอใจก็ว่ากล่าวตักเตือนได้”

“ไอ้จ่อหัวผมไม่ได้กลัวหรอก ผมยังบอกเขาเลยว่าผมไม่คุยกับพี่หรอก พี่เลอะเทอะแล้วผมก็ปัดปืน แต่ในขณะนั้นถ้าปืนมันลั่นขึ้นมาแล้วผมตายล่ะ ผมจะไปต่อสู้อะไรกับใครได้ ผมจะตอบโต้ยังไงเพราะเราตายไปแล้ว เต็มที่ก็โดนตั้งคณะกรรมการสอบสวน แล้วก็ไปนั่งคุกเข่าไหว้แม่ผม ผิดไปแล้วแค่นั้นเอง”

นาทีนั้นคิดว่าเขาจะยิงเราจริงๆ มั้ย?
“มันอยู่ในระหว่างทำได้หมด มันเป็นปืนแมกกาซีน ถ้ากดก็ปั้งแล้ว (ตอนที่ปืนจ่อหัวเรานึกถึงพ่อแม่หรือว่าคิดอะไรอยู่?)ก็นึกครับ มันไม่ดีแล้ว ถึงได้ปัดปืนไง ไอ้กลัวมันไม่ได้กลัว แต่เพราะปืนอยู่ใกล้หัวมาก แต่ไม่อยากมีเรื่อง คือตอนนั้นผมจะพยายามแย่งปืนแล้วกระทืบเขาก็ได้ แต่ไม่ทำเพราะสภาพเขาเมามาก พยายามจะเดินหนี นับหนึ่งถึงสิบก็แล้ว แต่มันยอมไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องต่อสู้กันซักยกแล้วล่ะ”



ไปแจ้งความเพราะถูกตำรวจกระทำ แต่ตำรวจกลับมาอ้อนวอนให้ยอมความโดยง่ายดาย งานนี้ทำเอาเจ้าตัวของขึ้นสวนกลับเจ็บแสบ ถ้าการเอาปืนไปจ่อหัวคนอื่นเป็นเรื่องตลกสามารถทำได้ไม่ผิดกฎหมาย ถ้าอย่างนั้นต่อไปจะได้ซื้อปืนเอาไว้จ่อหัวคนที่ไม่ชอบขี้หน้าบ้าง แล้วห้ามมาจับกุมเหมือนกัน

“ผมไม่รู้จุดประสงค์ แต่โอเคคุณสีเดียวกันช่วยกันผมเข้าใจ แต่อยากให้เขาฟังผมก่อนได้รึเปล่า แต่นี่กลับกลายเป็นว่าเรื่องที่ผมถูกปืนจ่อหัวเป็นเรื่องตลกไป โอเคถ้าเป็นคนอื่นอาจจะขอโทษกันก็จบ ผมก็เลยบอกเขาว่าโอเคขอโทษผมได้ แต่ต่อไปถ้าผมเอาปืนจ่อหัวใครอย่าจับผมนะ ผมขอโทษแล้วจบโอเคป๊ะ ผมทำแบบนั้นกับใครก็ได้โอเคมั้ยล่ะ แล้วต่อไปตำรวจเอาปืนไปจ่อหัวใครแล้วบอกเฮ้ย..ยอมความกันเถอะ เป็นเรื่องตลกโปกฮากัน โอเคผมยอม ผมจะได้ซื้อปืน เวลาโกรธใคร ใครขับรถปาดหน้าผมจะได้เอาปืนจ่อหัวมันเลย แต่อย่าจับผมนะ คิดเป็นเรื่องตลกสนุกสนานกันไป โอเคป๊ะ”

“นานาจิตตังครับ แต่ผมคิดว่าในประเทศไทยทั้งหมดน่าจะรู้ว่าบ้านเราอยู่ในทิศทางอะไร ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก หลังจากที่เกิดเรื่องผมเข้าไปดูในกระทู้ ฉะนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว รู้ๆ กันอยู่”

“แต่ถ้าเหตุการณ์นี้มันทำให้เขาฉุกคิดได้ว่าไม่ควรทำแบบนี้กับใคร มันก็จะเป็นการดีกับตำรวจคนอื่น ในสถานะที่คุณออกนอกเวลาราชการอาวุธคุณไม่ควรพกแล้ว คุณไม่ควรแต่งตัวครึ่งท่อนแล้วพกปืนเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าคุณเป็นตำรวจ แล้วแจ๊กพ็อตก็คือวันที่เขามีเรื่องกับผมเป็นวันที่เขาประกาศพรก.ฉุกเฉิน ในเขตดุสิตซึ่งคุณประจำการที่นั่น คุณออกมานอกพื้นที่ได้ยังไง คุณออกมาเมาได้ยังไง คุณต้องตรึงกำลังไม่ใช่เหรอ”

เผย อย่างน้อยๆ ก็ยังรู้สึกดีที่หลังจากแจ้งความไปแล้วไม่ได้โดนคุกคามหรือข่มขู่ใดๆ เพราะไม่อย่างนั้นคงเป็นกองโจรดีๆ นี่เอง

“ไม่มีครับ ผมคิดว่าถ้าทำอย่างนั้นได้ก็ไม่ใช่ตำรวจแล้วล่ะ คงเป็นกองโจรๆ นึงแล้วล่ะ เพราะว่าไม่มีใครมาสะกิดบารมีเขาได้ จะทำอะไรกับคนอื่นก็ได้ พอเวลาตัวเองทำอะไรผิดแล้วไปคุกคามคนอื่นก็ไม่ใช่ตำรวจแล้ว คิดว่าเขาคงไม่กล้าทำอะไรให้มันเสื่อมเสียมากไปกว่านี้ ผมคิดว่าตำรวจดีมีเยอะ แต่ตำรวจไม่ดีก็มีเยอะเหมือนกัน”

ยืนยัน การที่กล้าลุกขึ้นมาต่อกรกับตำรวจแบบไม่เกรงกลัวไม่ใช่เพราะมีแบ็คอัพคอยหนุนหลัง แต่เพราะต้องการเรียกร้องความถูกต้องให้กับตัวเองเท่านั้นเอง

“ไม่มีครับ แม้กระทั่งตัวพี่เป็ด(เชิญยิ้ม)ผมก็ไม่เคยโทรหาเลยนะ วันนั้นผมไม่ได้โทรหาใครเลย เพราะความรู้สึกผม ถ้าคิดว่าตัวเองมีแบ็คหรือข้างหลังผมใหญ่มาก ชีวิตผมคงไม่มีความสุขหรอกครับ วันๆ คงไปหาเรื่องคนอื่นเพราะกร่าง เพราะกูมีแบ็ค ไม่ใช่หรอกครับ ผมก็เป็นคนธรรมดานี่แหละ แต่สิ่งที่ผมทำคือความถูกต้องเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย วันนั้นไม่ได้โทรหาใครเลยครับ”

“ถามว่ากลัวมั้ย ไม่กลัวครับ เพราะผมคิดว่าประเทศไทยถึงจะมีเรื่องราวแบบนี้ แต่ผมก็ยังมั่นใจส่วนหนึ่งว่าต้องมีความยุติธรรมอยู่ ที่ผมออกมาแบบนี้มันก็ต้องมีคนคิดเหมือนผมเหมือนกัน ที่น่าจะออกไปในทิศทางเดียวกันกับผม เพราะผมไม่ได้ทำไปเพื่อความคะนอง ถามว่ากลัวมั้ยไม่กลัว ผลจะออกมาเป็นยังไงก็ไม่รู้ คิดว่าถูกก็ทำเท่านั้นเอง”

แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ถึงกับยิ้มออก ที่ได้เห็นความยุติธรรมในบ้านเมือง เนื่องจากนายตำรวจขี้เมาคนนั้นถูกออกจากราชการ รับผิดชอบในสิ่งที่กระทำไปแล้ว

“ตอนนี้อยู่ในทิศทางของกฎหมาย แต่ ณ ตอนนี้เขาโดนคำสั่งออกจากราชการไปแล้ว มันก็น่าจะทำให้เขาสำนึกได้มากแล้วล่ะว่าโดนแล้ว ที่เหลือจะเป็นยังไงก็ให้เป็นเรื่องของกฎหมายไป บทลงโทษที่เขาได้รับเราก็พอใจแล้วในส่วนนั้น อย่างน้อยๆ ก็ได้เห็นว่าความยุติธรรมยังมีอยู่”

“ทุกวันนี้เขาคงสำนึกแล้วล่ะ ว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่ได้ทำลายแค่อนาคตเขาคนเดียว แต่มันเป็นลูกโซ่เลย ทั้งครอบครัวเขาและลูกเต้าเขา ที่คาดหวังว่าต่อไปเขาจะมีอนาคตในสายข้าราชการตำรวจที่ดี แต่มันกลับมาผิดพลาดเพราะความเมาของเขา”

ถามถึงความรู้สึกที่มีต่อตำรวจ ซึ่งได้ชื่อว่ามีหน้าที่ปกป้องดูแลประชาชน แต่กลับมาทำร้ายประชาชนซะเอง? เจ้าตัวซัดว่า....

“คำว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ คือเขาเป็นผู้พิทักษ์ดูแลทุกข์สุขของประชาชน แต่วันนั้นเขาไม่พร้อมที่จะดูแลประชาชนเลย เป็นประชาชนต้องดูแลเขาแทนเพราะเขาเมามาก ไม่เหมาะกับคำว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แล้วยิ่งมาทำแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่า เวลาที่คุณเลิกงานเวลาที่คุณถอดเครื่องแบบแล้ว คุณก็เป็นคนธรรมดาเหมือนผมนี่แหละ อำนาจบารมีคุณไม่มีแล้ว มันเป็นแค่ปลอกที่คุณสวมเอาไว้ ฉะนั้นคุณต้องใช้บารมีให้ถูกที่ ทุกคนเคารพกฎหมายเคารพตำรวจหมด แต่ขอให้อยู่ถูกที่ถูกเวลา คนมันเคารพกฎหมายทุกคนไม่มีใครอยากทำผิดกฎหมายหรอก”

“ผมว่าที่คนมองภาพตำรวจแย่ ตรงนี้คนเขาคิดมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าคนเขาก็รู้ว่าในส่วนดีมันก็มี แต่ไอ้ส่วนนี้มันแค่จุดเล็กๆ เท่านั้นเอง จะแก้ไขยังไง เพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ และเพื่อไม่ให้เป็นการทำลายชื่อเสียงสถาบันของเขาเอง มันต้องมีการแก้ไข ช่วยกันไปช่วยกันมามันก็แก้ไขไม่ได้หรอกครับ มันต้องมีบทลงโทษอะไรกันบ้างถึงจะได้หลาบจำ อย่างที่บอก มีอำนาจก็ใช้ให้มันถูกที่ถูกเวลาจบ”

พร้อมย้ำ เหตุการณ์นี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกกลัวหรือว่าเกลียดตำรวจ จนไม่อยากพึ่งพาอีกต่อไป

“ไม่ครับ ตำรวจที่ผมรักก็มีเยอะมาก เพราะผมต้องทำงานกับตำรวจเพราะผมอยู่กู้ภัยด้วย และทำงานเป็นอาสาสมัครร่วมกตัญญูด้วย ฉะนั้นแล้วไอ้ความรู้สึกเกลียดมันไม่มีหรอกครับ เพียงแต่ว่าผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ถูกก็ต้องว่าไปตามถูก ผมไม่ได้เคียดแค้นผมให้อภัย แต่มันก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการ”

“ยังมั่นใจครับว่าพึ่งพาได้ อย่างที่บอกตำรวจดีๆ ก็มี ฉะนั้นแล้วถ้าผมจะมัวไปนั่งคิดนั่งแค้นมันก็ไม่จบ เวลามีเรื่องมีราวก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยตำรวจซึ่งเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อยู่แล้ว เพราะเราไปปราบโจรไม่ได้หรอก เราไปจับโจรไม่ได้หรอก ยังไงก็ยังต้องพึ่งพาแน่นอน”

กำลังโหลดความคิดเห็น