xs
xsm
sm
md
lg

"วันทนา บุญบันเทิง" นางเอกกบฏแก้...แล้วดังคนแรกของวงการ ชีวิตผกผันเร่ขายของตกงานไม่มีเงิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ฉากหวือหวา โป๊เปลือย ยั่วยวนพระเอกในละครและภาพยนตร์ หลายคนยึดติดว่าบทบาทเหล่านี้มีเพียงแค่นางร้าย ดาวโป๊เซ็กซี่เท่านั้นที่กล้าสลัดผ้าแสดง แต่ “วันทนา บุญบันเทิง” นางเอกหน้าใหม่ของวงการบันเทิงเมื่อเกือบ 40 ปีก่อน ได้ปฏิวัติวงการเป็นนางเอกกบฏแหกกฎเกณฑ์เหล่านี้ เป็นนางเอกแก้....แล้วดังคนแรก จากบทบาทโป๊เปลือยเลิฟซีนกระจายกับพระเอกมากถึง 6 คนในภาพยนตร์เรื่อง “ทองประกายแสด” ส่งผลทำให้ชื่อของเธอในขณะนั้นดังกระหึ่มหอมหวนไปทั่ววงการ

แต่ในขณะที่เส้นทางกำลังสวยหรูปูด้วยกลีบกุหลาบ มีงานรุมติดต่อเข้ามาไม่ขาดสาย “วันทนา” กลับตัดสินใจลาออกวงการบันเทิงกะทันหัน เพียงเพราะอยากไปใช้ชีวิตครอบครัวกับพระเอกราชานักบู๊ในสมัยนั้น “ลักษณ์ อภิชาติ” ที่ซุ่มเงียบคบหาและแอบแต่งงานกัน กระทั่งมีข่าวหลุดเธอถึงเฟดตัวออกมาเป็นแม่บ้านให้สามีโดยถาวร ซึ่งบทบาทในชีวิตจริงของ “วันทนา” เต็มไปด้วยความยากลำบาก เมื่อสามีล้มป่วยขาดเสาหลักหาเงิน เธอจึงออกมาเผชิญโลกภายนอกอีกครั้งด้วยการเป็นแม่ค้าเร่ขายของตามตลาดนัดพร้อมๆ กับขายข้าวแกง แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเศรษฐกิจไม่ดีทำให้เธอต้องเลิกขายของ ประสบกับปัญหาชีวิตตกต่ำถึงขีดสุด ซึ่ง “วันวาน...วันนี้” จะพาไปเจาะชีวิตที่น่าสงสารของผู้หญิงสู้ชีวิตที่ชื่อ “วันทนา บุญบันเทิง” กัน

"ดิฉันเริ่มเข้าวงการมาตั้งแต่ประมาณพ.ศ. 2515 ผลงานที่ออกมาชิ้นแรกคือ ถ่ายโฆษณาโทรทัศน์ยี่ห้อฮิตาชิ เปิดปุ๊บติดปั๊บ หลังจากนั้นคุณอาชาลีท่านสนใจ และติดต่อให้มาเป็นนางเอกละครจักรๆ วงศ์ๆ เรื่อง ช้างน้อย, ขุนดาบพยัคฆ์ดำ และเรื่องหลังสุดคือ ลูกคนยาก เล่นคู่กับคุณสุริยา ชินพันธ์ เป็นละครที่ดังมากอีกเรื่องหนึ่งในสมัยนั้น"

"จนกระทั่งคุณ รุจน์ รณภพ มาเห็นหน่วยก้านยังไงไม่ทราบ ก็ติดต่อให้มารับบทเป็น ทองประกายแสด ในภาพยนตร์เรื่องแรก ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอะไรที่ต้องแสดงพลิกบทบาทมากๆ เพราะในละครเรื่อง ลูกคนยาก ที่เราเคยเล่นจะเป็นนางเอกที่มีบุคลิกเรียบร้อย เป็นลูกผู้ดีรักนวลสงวนตัว ขนาดชอบพระเอกยังไม่กล้าที่จะบอกเขาเลย แต่บทบาทในเรื่อง ทองประกายแสด จะเป็นผู้หญิงที่ดูจัดจ้านกร้านโลกเป็นคนเก็บกด ในชีวิตจะผิดหวังเรื่องความรักมาตลอด ต้องเปลี่ยนสามีประมาณ 6-7 คน ที่สำคัญต้องถ่ายฉากหวือหวาโป๊ ชนิดที่ว่าไม่มีเสื้อผ้าเลยสักชิ้นเดียว"

"ในตอนนั้นที่คุณรุจน์ติดต่อมา เขาก็อธิบายบอกว่าจะต้องมีฉากแบบนี้ๆ ซึ่งพอฟังแล้วก็คิดหนักอยู่พอสมควร แต่ก็รับเล่น (หัวเราะ) ก็มีข้อแม้ว่าถ้าจะให้ถ่ายฉากโป๊แบบนี้ใจยังไม่กล้าพอ เราเพิ่งจะเข้าวงการมาได้ไม่นาน ขอให้ใช้แสตนด์อินได้ไหม เขาก็ตกลง แต่ว่าในสมัยนั้นจะมาออกข่าวบอกประชาชนไม่ได้ว่า ฉากโป๊เราใช้แสตนด์อินเล่น มันจะเหมือนไปหลอกลวงเขา ไม่เหมือนสมัยนี้ทุกอย่างจะเปิดเผยได้หมด"

"ฉะนั้นคนจะคิดว่าเราเล่นฉากโป๊จริง เป็นตัวเราเองมานั่งแก้ผ้าจริง แต่จริงๆ แล้วใช้แสตนด์อิน ส่วนฉากที่เล่นเองจะเป็นตอนที่ใส่ชุดใยแมงมุมเซ็กซี่สุดแล้ว บางครั้งไม่ใส่เสื้อชั้นใน แต่ก็แปะหัวนมไว้หรืออาจจะมีเห็นข้างๆ บ้าง เรื่องความหนักใจกับฉากหวือหวามันก็มี แต่ด้วยตัวบทแล้วเราจะเปลี่ยนแปลงมากไม่ได้ เขาก็อธิบายไปแล้วว่ามันเกี่ยวพันกัน และถ้าแสดงออกมาไม่ถึงตัวละครตัวนี้จะไม่เด่น”

“ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากจะต้องแสดงฉากเซ็กซี่หวือหวาแล้ว ยังต้องประกบกับพระเอกมากถึง6 คนเลย (หัวเราะ) มี หนิง นิรุตติ์ ศิริจรรยา, พี่ลักษณ์ อภิชาติ, อนันต์ สัมมาทรัพย์, จีรศักดิ์ ปิ่นสุวรรณ , สุริยา ชินพันธ์ , สายัณห์ จันทรวิบูลย์ ต้องบอกว่าบทหนังเรื่องนี้จะส่งนางเอกมากๆ ถ้าใครได้เล่นจะต้องดังทุกคน ตอนหลังเขานำหนังเรื่องนี้มาสร้างใหม่โดยมี คุณชุดาภา จันทเขตต์ เล่นเป็นนางเอกก็ดังอีก"

จากนางเอกหน้าใหม่วัยใสหันมาพลิกบทบาทครั้งยิ่งใหญ่ ใจกล้าโป๊เปลือยในภาพยนตร์เรื่องแรก ดังนั้นทันทีที่ภาพยนตร์เรื่อง “ทองประกายแสด” เข้าโรงฉาย ก็ทำให้ชื่อของ “วันทนา บุญบันเทิง” ดังเป็นพลุแตกขึ้นทำเนียบเป็นเซ็กซี่สตาร์ เจ้าของตำนานนางเอกแก้...แล้วดังคนแรกของวงการบันเทิง

“พอหนังออกฉายกระแสตอบรับดีมากๆ ขนาดเพื่อนในสมัยเรียนที่ไปเจอ เขายังบอกว่าฉันดูหนังที่เธอเล่นตั้งสามรอบเลยนะ (หัวเราะ)เป็นเพื่อนผู้หญิงด้วย บอกตรงๆ ว่าตอนแรกไม่รู้หรอกว่าตัวเองดังแค่ไหน มันเหมือนตอนนั้นเรายังเด็กอายุ 17-18 ปีเอง รู้แค่ว่ามีงานเยอะมีข่าวออกมาทางสื่อเยอะ ด้วยความเป็นเด็กยังไม่รู้อะไร เพิ่งจะมารู้ตอนหลังเริ่มมีครอบครัวแล้ว ใครที่มาเจอไม่ว่าจะเป็นเพื่อนแม่จะบอกว่า รู้หรือเปล่าตอนที่เล่นหนังเรื่องนี้ฉันชอบเธอมากๆ"

"ส่วนเรื่องความใจกล้าโป๊เปลือย จริงๆ เริ่มมีตั้งแต่นางเอกรุ่นพี่แล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นนางโกงนางร้ายมากกว่าที่กล้าแสดง ระดับนางเอกในยุคนั้นยังไม่กล้า พอมาเป็นรุ่นเราหนังเรื่องนี้บทบาทมันล่อแหลมอยู่แล้ว และเผอิญมันเป็นจังหวะที่เขาจะดูว่าคนดูรับได้ไหมในช่วงนั้น ก็เลยเหมือนเป็นนางเอกคนแรกที่ใจถึงตามที่โฆษณาเวลาที่ฉายหนัง เหมือนเป็นหนังที่เปลี่ยนแนวขายในความเซ็กซี่ของนางเอกเรื่องแรก และก็ได้ผลนะเพราะเราแจ้งเกิดจากหนังเรื่อง ทองประกายแสด นี่ล่ะ"

"จากนั้นก็มีหนังแนวๆ นี้ติดต่อมาอีกหลายต่อหลายเรื่องเหมือนกัน ที่รับเล่นเป็นเรื่อง กบฏหัวใจ เรื่องนี้เล่นคู่กับคุณ แอ๊ด สมบัติ เมทะนี ก็มีฉากเลิฟซีนกอดจูบบ้างแต่ไม่มาก ฉากเลิฟซีนสมัยนั้นเริ่มๆ มีเยอะแล้ว แต่บางครั้งมันก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องทุกฉาก ไปใช้เป็นมุมกล้องบังเอาบ้าง จูบก็จูบจริงหน่อยหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรมากมายถึงขนาดต้องแบบหนังฝรั่งเรตอาร์ อย่างเวลาที่ต้องถอดบราไม่ใส่ชุดชั้นใน ก็จะใช้พลาสเตอร์ที่แปะแผลมาแปะหัวนมเอาไว้ไม่ให้เห็นความดำ(หัวเราะ)ให้เห็นเป็นสีเนื้อๆ แทน"

นางเอกเซ็กซี่กับข่าวถูกโรคจิตคุกคามมักจะเป็นของคู่กัน ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใดเป็นต้องประสบพบเจอกับเรื่องนี้มากันทั้งนั้น

"เรื่องโรคจิตเจอเหมือนกันเคยโดนมาแล้ว มาเสนอเลยบอกว่าเอาไหมจะให้เงินเดือนๆ ละเท่านี้ๆ และอีกรายเอาไหมแค่ไปนั่งทานอาหารกับเจ้านายเขา เราก็ตอบใส่หน้าเขาไปเลยว่าฉันไม่ใช่คนขายตัว พูดไปแบบนี้เลย เขาก็ดีนะจากนั้นก็ไม่มายุ่งอีก บางครั้งก็มีมาแบบโทรศัพท์มาหาที่บ้าน เพราะตอนนั้นหนังสือพิมพ์บางฉบับเขาจะเขียนเบอร์โทรศัพท์ที่บ้านไปด้วยโอ้โหจะบ้าตาย (หัวเราะ) พอบอกแฟน(ลักษณ์ อภิชาติ) พี่เขาก็ช่วยด่าด้วย(หัวเราะ)"

แต่ขณะที่กำลังโด่งดังเป็นนางเอกเนื้อหอม มีงานหนังและละครหลายต่อหลายเรื่องรุมทาบ จู่ๆ "วันทนา บุญบันเทิง" ก็ตัดสินใจหักดิบหันหลังให้วงการบันเทิง เพื่อไปแต่งงานมีครอบครัวแบบเงียบๆ กับพระเอกที่ร่วมเล่นละครกันมาหลายเรื่องอย่าง “ลักษณ์ อภิชาติ”

"ตอนนั้นพอเล่นหนังเรื่อง ทองประกายแสด แล้วก็รับเล่นอีกประมาณ 4-5 เรื่อง จากนั้นก็ตัดสินใจแต่งงานแบบเงียบๆ กับพี่ลักษณ์ อภิชาติ คือเราเล่นละครด้วยกันหลายเรื่อง และเป็นแฟนกันมานานมาก แล้ว พอถ่ายหนังเรื่อง ทองประกายแสด เสร็จก็แอบแต่งงานกัน ด้วยความเป็นเด็กมีคนรัก ก็อยากที่จะแต่งงานมีครอบครัว ก็ไม่ได้คิดอะไรมากแล้วพี่ลักษณ์ก็อายุ 30 ปีแล้ว ในตอนนั้นผู้ใหญ่ผู้กำกับแต่ละคนก็เสียดาย แต่ก็ไม่กล้าที่จะบอกว่าเราแต่งงานเร็ว

“ตอนนั้นที่แต่งงานไม่ได้เปิดเผยนะ แอบแต่งกันในวงญาติให้ผู้ใหญ่รับรู้เท่านั้น เหมือนให้เกียรติพ่อแม่เราพ่อแม่เขา แต่มาตอนหลังๆนักข่าวเริ่มรู้ หนังสือพิมพ์เริ่มลงข่าวแซว ซึ่งสมัยก่อนนั้นยังไม่ยอมรับกันเท่าไหร่ พอเริ่มมีข่าวแต่งงานออกมางานก็ลดลงเลยเฟดตัวเองออกห่างจากวงการไป ส่วนพี่ลักษณ์กลายเป็นว่าช่วงนั้นเขาเริ่มดังมีชื่อเสียงขึ้นมา เพราะบทบาทที่เขากล้าแสดง ก็เลยมาสั่งว่าเธอไม่ต้องเล่นแล้ว(หัวเราะ)ให้อยู่บ้านเป็นแม่บ้าน เดี๋ยวเขาทำงานเลี้ยงเอง เธออยู่บ้านเลี้ยงลูกไป"

ซึ่งการลาออกจากวงการบันเทิงแบบกะทันหันเพื่อมาเป็นแม่บ้านดูแลสามี ชีวิตของ “วันทนา” ไม่ได้สวยหรูเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นนางเอก หากแต่ใช้ชีวิตแบบลุ่มๆ ดอนๆ ลำบาก แถมซ้ำร้ายสามียังมาล้มป่วยเป็นโรคมะเร็ง ไม่สามารถแสดงหาเงินมาจุนเจือครอบครัวได้ เมื่อขาดเสาหลักอดีตนางเอกแก้...แล้วดังจึงตัดสินใจออกมาเป็นแม่ค้าเร่ขายของตามตลาดนัด ไปพร้อมๆ กับขายข้าวราดแกง

"ตอนเป็นแม่บ้านดูแลลูกอยู่แต่บ้าน ชีวิตก็มีลุ่มๆ ดอนๆ บ้าง บางช่วงลำบากมากๆ พี่ลักษณ์ไม่สบายด้วยเหตุร่างกายตรากตรำเล่นบทบู๊มาเยอะทำให้รับงานแสดงไม่ได้ เราเองก็ไม่มีงาน เลยต้องพากันออกไปขายของขายเสื้อผ้าตามตลาดนัดเพื่อหารายได้มาใช้ในครอบครัว นอกจากไปขายของตลาดนัดแล้วยังไปขายข้าวราดแกงอยู่ที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว เราทำเองส่วนพี่ลักษณ์ก็ไปช่วยขาย จนเกือบปีเขาก็มาไม่สบายหนักเข้าโรงพยาบาล ซึ่งในตอนนั้นเพื่อนๆ ในวงการไม่ได้มาช่วย เพราะเขาไม่ทราบ อย่างที่บอกว่าเราอยู่กันมาแบบนี้จริงๆ อยู่แบบสันโดษจริงๆ มันไม่ได้ออกไปพบปะกับใคร อย่างพี่ต้อย เศรษฐา-พี่เปี๊ยก อรัญญา มาช่วยตอนที่พี่ลักษณ์ป่วย เขาก็บอกว่าเธอทำไมอยู่แต่บ้านต้องออกมานอกบ้านบ้าง คนอื่นจะได้รู้ว่ายังรับงานแสดงอยู่"



ชุดใยแมงมุมที่ต้องเปลือยอก


"เราก็ใช้ชีวิตกันตั้งแต่นั้นมา จนกระทั่งพี่ลักษณ์เสียชีวิตไปเมื่อตอนปี พ.ศ. 2547 ด้วยโรคมะเร็งที่ขั้วปอด ซึ่งตอนที่หมอตรวจนั้นตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าป่วยเป็นมะเร็ง เราไม่ได้บอกแต่เขาเห็นสีหน้าเราไม่ค่อยดี ก็ถามว่าตัวเขาเป็นอะไร ก็บอกไปว่าไม่เป็นอะไรแค่มีเนื้องอกเฉยๆ จากนั้นกลับมาบ้านเขาคิดมากเครียดจนเส้นโลหิตตีบ เราเองก็ไม่รู้ ถ้ารู้แล้วพาไปโรงพยาบาลจะช่วยได้ทัน กลายเป็นว่าทีนี้เป็นทั้งมะเร็งแล้วก็อัมพฤกษ์ด้วย ก็พยายามสู้กันทุกวิถีทางคิดว่าเขาต้องหาย"

“เรื่องค่าใช่จ่ายในการรักษา ตอนนั้นมีผู้ใหญ่ที่นับถือและญาติพี่น้องมาช่วยกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่มาได้อย่างไร (หัวเราะ) แถมโรคนี้ต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการรักษาเยอะมาก แต่เผอิญในช่วงนั้นเราย้ายไปที่โรงพยาบาลราชวิถี ใช้สิทธิ์บัตรสามสิบบาทมันช่วยได้บ้าง แต่ว่ามันจะมีค่าใช้จ่ายภายในบ้านอีก ค่ารถไปกลับดูแลคนป่วย ไหนลูกๆ ต้องไปโรงเรียนอีก ตอนนั้นเพิ่งจะจบ ม.6 ยังไม่มีงานกันสักคน มันเป็นอะไรที่สุดๆ ของชีวิตแล้วในตอนนั้น"

"ตัวเราเองก็จะไปทำอะไรไม่ได้เลย เพราะต้องดูแลเขาเข้าออกอยู่โรงพยาบาลมาได้ประมาณหนึ่งปี หลังจากที่พี่ลักษณ์เสียก็กลับไปขายข้าวราดแกงอีกประมาณ 6-7 เดือน แต่เศรษฐกิจไม่ดีก็ต้องหยุดสู้ ไม่ได้...มันเหนื่อยเปล่า ไม่คุ้มกับรายได้ ทั้งๆ ที่ทำงานทุกอย่างแล้ว แต่บางครั้งในช่วงค่าเทอมลูกๆ ก็ต้องเอาของในบ้านไปขายแลกเงินบ้าง มันต้องสู้กันไป เรื่องความลำบากไม่เคยกลัวไม่เคยอายที่จะต้องออกไปขายของ ถือว่ามันเป็นอาชีพที่เราทำโดยสุจริตไม่ได้ไปโกงใครให้เสียหาย เราทำเพื่อครอบครัวจริงๆ อยากที่จะขายอาหารมากกว่า เพราะถนัดทำอาหาร แต่หาสถานที่ขายยากเหลือเกินไม่รู้จะไปขายที่ไหน"

เจ้าตัวเผยทั้งน้ำตาช่วงที่ต้องเผชิญกับปัญหาชีวิตที่ยากลำบาก ลูกๆ ทุกคนต่างเข้าใจ และยังช่วยกันดูแลพ่อที่กำลังนอนป่วย อีกทั้งยังไม่เคยทำตัวมีปัญหาเรียกร้องอะไรมากมาย ส่วนตัวเองบางครั้งถึงท้อแท้ในชีวิตแต่ไม่คิดถอย หันเข้าปฏิบัติธรรมนำธรรมะมาเป็นที่พึ่ง

"ลูกๆ ก็ดีกับเรามาก ทุกคนเข้าใจถึงแม้เขาอาจจะไม่เข้าใจอะไรมากมายนัก เพราะตอนนั้นถือว่าเขายังเด็กอยู่ แต่ก็ดีกับเรา ทุกคนช่วยกัน (ร้องไห้สะอื้น) ช่วยกันดูแลพ่อเขาที่ป่วยอยู่ไม่ทำให้เราลำบากใจ อะไรก็ได้กินอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเราเลยทั้งสามคน"

"วันไหนที่เรารู้สึกเหนื่อยท้อแท้ก็จะเข้าวัดปฏิบัติธรรม มีเวลาหน่อยก็ไปทำบุญกับเพื่อนๆ จะไปทางด้านธรรมะไม่อย่างนั้นเราคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้แล้วล่ะ ถ้ายิ่งไปเครียดคิดมาก และอยู่ในกลุ่มที่เขาสังสรรค์เฮฮา เราอยู่ไม่ได้แน่ เพราะปัจจัยเราไม่มี เห็นคนอื่นมีแล้วไม่มีแบบเขาก็คิดมากอีก สู้เข้าวัดนั่งปฏิบัติธรรมภาวนาไปแผ่ส่วนกุศล เออมันก็รู้สึกดีบางทีชีวิตเราจะตกสุดๆ แต่ก็จะมีคนมาช่วยเอาไว้ เราก็คิดในแง่นี้มาตลอด”

เปรยอยากกลับมาเป็นนักแสดงอีกเพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว ส่วนลูกๆ จะเจริญรอยตามเข้าสู่วงการบันเทิงเหมือนพ่อกับแม่หรือไม่นั้น เจ้าตัวขอให้เป็นไปตามดวงไม่อยากที่จะผลักดันมาก

"บอกตรงๆ ดิฉันอยากกลับมาเล่นหนังเล่นละครอีก ตอนนี้ไม่มีงานเลย อยากฝากบอกทุกคนว่ายังรับงานแสดงอยู่นะ(หัวเราะ) ในช่วงที่ลำบากมากๆ มีน้อยใจนิดๆ ว่าทำไมไม่มีงานแสดงติดต่อมาเลย ในขณะที่เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันก็มีอยู่เรื่อยๆ แต่เราก็ไม่ได้เก็บเอามาเป็นเรื่องใหญ่มันจะทำให้เราไม่สู้ ก็รู้ว่าโลกมันเปลี่ยนไปสังคมเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ก็รู้ตัวเองสาเหตุที่ไม่มีงานแสดงเข้ามา เป็นเพราะเราไม่เข้าไปหาเขา แล้วใครจะมาหาเรา บางครั้งก็เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะลืม แต่ช่วงหลังๆ เริ่มปรับตัวมีโทรหาผู้ใหญ่ที่สนิทและเคารพบ้างแล้ว”

"ทุกวันนี้ถึงจะได้รับบทเป็นตัวประกอบหรือเป็นแม่ก็ต้องยอมรับ เพราะเขาเองก็คงไม่มีบทอะไรที่เหมาะกับเรามั้ง (หัวเราะ) คิดว่าไม่เป็นไร ยังไงก็มีงานออกมาให้คนอื่นเห็น บางเรื่องเล่นเป็นตัวประกอบแต่บทบาทมันสำคัญก็โอเค บางที่ไปเจอเพื่อนๆ ก็มาทักทายกันไม่เครียดเวลาทำงาน เราไม่ได้ไปยึดติดกับภาพสมัยก่อน ฉันเคยเป็นนางเอกโด่งดังจะมารับบทเป็นป้าเป็นแม่บ้านแบบนี้ไม่ได้ เราไม่เคยมีความคิดแบบนี้เลย แค่ทุกคนให้เกียรติเราแค่นี้ก็สบายใจแล้ว"

"ส่วนลูกๆ เคยมีความคิดที่จะให้เข้าวงการเหมือนกัน แต่สงสารลูกกลัวจะเป็นข่าวไม่ดี ที่ผ่านมาลูกๆ ตั้งใจเรียนแล้วสอบได้ที่ดีๆ เรียนดีสมที่เขาตั้งใจกัน ดังนั้นเราก็ไม่ได้ผลักดันเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นงานโฆษณาก็อยากจะผลักดัน เพราะมันเป็นงานที่ไม่ต้องไปเสียเวลามากมาย เราอยากที่จะให้เขาตั้งใจเรียนเยอะๆ ถ้าไปเล่นหนังเล่นละครตอนนี้จะเสียการเรียนหรือเปล่า อีกอย่างเรารู้อยู่แล้วว่าอาชีพงานแสดงมันเป็นอะไรที่ไม่มั่นคง เหมือนกับว่าตอนนี้อยากที่จะให้เขาเรียนไปก่อน"

"ถามว่าสนับสนุนไหม มันก็ไม่เชิงเอาเป็นว่าให้เขาเป็นไปตามดวงของเขามากกว่า จะไม่ผลักดันจริงๆ จังๆ ซึ่งทางลูกสาวคนเล็กไม่ค่อยชอบงานแบบนี้เท่าไหร่ ไม่ชอบการไปนั่งรอ แต่ว่าผู้ชายคนกลาง (ชัชพล กุลศิริวุฒิชัย) ตอนนี้เขาอยู่ในวงการเบื้องหลังเป็นสตั้นท์แมนให้กับบริษัทบาแรมยู รู้สึกกลัวและเป็นห่วงเขามาก แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะเขาชอบ เราคิดในใจว่าถ้ามีเงินจะไม่ให้ลูกทำ อยากให้ลูกเรียนและไปทำงานอย่างอื่นดีกว่า”

“ส่วนลูกชายคนคนโตก็เป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งใช้ชื่อว่า ชล อภิชาติ เคยออกอัลบั้มคู่กับ แมงปอ ชลธิชา แต่มาตอนนี้กำลังดูเพลงอยู่อัลบั้มแรกที่เขาดังคือ ไอ้หนุ่ม อบต.ของค่าย ซิลเวอร์โกลด์ พนม นพพร เราจะสอนลูกเสมอเรื่องความรับผิดชอบงาน เพราะที่ผ่านมาแม่กับพ่อไม่ยอมให้ใครมาว่าได้ เรื่องเวลาต้องมาที่หนึ่ง อย่างพี่ลักษณ์เป็นนักแสดงที่มีความรับผิดชอบดีมาก ขยัน อดทนสู้ชีวิตและรักศักดิ์ศรีตัวเองมากๆ แม้จะลำบากขนาดไหนก็ไม่เคยไปของานใคร ต้องมีอะไรที่แลกเปลี่ยนไม่เอาฟรีๆ อย่างตอนที่เริ่มป่วยมีคนติดต่องานมา เขาจะไม่รับเล่น เพราะกลัวทำงานให้ไม่เต็มที่ อยากได้เงินก็อยากนะ"

เปรียบเทียบการทำงานในวงการบันเทิงสมัยก่อนทุกคนจะมีความเกรงใจกัน ดารานักแสดงจะตรงต่อเวลา ผิดกับสมัยนี้ที่วิ่งรอกรับงานเยอะ มากองถ่ายสายและยังวีนทีมงานอีก

“สมัยก่อนการทำงานทุกคนจะเกรงใจกันมาก แต่ถ้าเทียบกับเด็กในสมัยนี้บอกได้เลยว่าจะไม่ค่อยเกรงใจ ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ที่ผู้จัดการเขาด้วยบางครั้งเอาผลประโยชน์มากไปแต่เราก็เข้าใจ เพราะยิ่งรับงานเยอะๆผู้จัดการเขาก็ได้รับผลประโยชน์ เด็กก็ต้องทำ แต่เด็กบางคนก็นิสัยไม่ดีเหมือนกัน บางคนขาดความรับผิดชอบมากๆ"

"ถ้าเป็นในสมัยนั้นไม่ได้เลยมาสายนิดหน่อย ผู้ใหญ่มองมาน้ำตาแทบจะร่วงเลย ไม่ต้องด่าแล้วต้องมากราบขอโทษไม่ทำอีก แต่เด็กสมัยนี้นัดกอง 10 โมงเช้าเขาไปถึง 4 โมงเย็น และยังนั่งหน้าตาเฉยแถมยังไปวีนคนที่คอยจัดเสื้อผ้าให้อีก ไม่เกรงใจใครเลยเฉพาะบางคนนะ เรื่องการทำงานในสมัยก่อนยากกว่านะ เพราะยังไม่มีเครื่องมือเครื่องไม้ที่จะอำนวยความสะดวกเหมือนสมัยนี้ อย่างสมัยก่อนเวลาจะส่องรีเฟล็กซ์ ดาราต้องมาช่วยกันยกส่องเอง (หัวเราะ) แต่ในสมัยนี้จะแบ่งเป็นส่วนๆเรื่องไฟก็มีบริษัทไฟมารับผิดชอบจัดกัน ดารานักแสดงแค่มานั่งคอยอย่างเดียว ถึงเวลาซ้อมหน้ากล้องหน่อยแล้วก็เล่น คุณแค่รับผิดชอบท่องบทของตัวเองมาแค่นั้นเอง"

ยังยืนยันถึงแม้ในวันนี้ลูกๆ จะมีงานทำมีรายได้เลี้ยงตัวเองแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังขอกัดฟันสู้หาช่องทางทำมาหากินต่อไป

"จริงอยู่ที่ลูกๆ มีรายได้กันบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่มากมาย แต่ละคนก็ไม่ได้ดังมีชื่อเสียงมากรายได้ยังไม่ค่อยดี แค่พอเลี้ยงตัวเองได้ เราก็เบาไปนิดแต่ก็ไม่มาก เพราะลูกสาวยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ยังต้องหาเงินกันอยู่ พอมีละครเข้ามาก็เริ่มหายใจคล่องหน่อย (หัวเราะ) แต่ถ้าไม่มีมาก็หนักนะ คิดว่าถ้าลูกสาวเรียนจบมีงานทำก็น่าจะโล่งแล้ว ทางด้านลูกชายสองคนก็มีช่วย แต่เขาก็ต้องช่วยตัวเองด้วย แค่เขาคิดแบ่งปันมาให้เราบ้างนิดหน่อยก็ดีใจแล้ว”

"ส่วนเรื่องขายของตอนนี้ยังขายไม่ได้ ขายแล้วมาตอนหลังเศรษฐกิจไม่ดี คนจะนิยมของถูกซะส่วนใหญ่ก็เลยขายไม่ค่อยดี มันไม่คุ้มกับทุนที่ลงไปเลยหยุด ก็คิดกับพี่ๆ น้องๆ ว่าจะทำอะไรดี ถึงได้บอกว่าอยากที่จะกลับมาเล่นละครในวงการบันเทิงอีก เพราะบอกตรงๆ ว่าอาชีพนี้เป็นอะไรที่มีรายได้ดี เคยโทรไปหาผู้ใหญ่เขาก็บอกว่าไม่ลืมๆ แต่เราไม่กล้าที่จะโทรไปหาแล้วกลัวเขารำคาญ บางทีก็โทรไปหาน้องๆ ที่ธุรกิจกองสนิทกันว่าอย่าลืมแม่นะอย่าลืมป้านะ"
วันทนากับ สายัณห์ จันทรวิบูลย์
วันทนา กับ สุริยา ชินพันธ์
วันทนา กับ ลักษณ์ อภิชาติสามีราชานักบู๊ที่ล่วงลับไปแล้ว
วันทนา กับ สายัณห์ จันทรวิบูลย์

กำลังโหลดความคิดเห็น