“อ้อย” ของขึ้น ประกาศทวงเงินกว่า 2 แสนคืนจากผู้กำกับ “เปิงมางฯ” ไม่งั้นโดนขุดคุ้ยสาวไส้เละเทะแน่ บอกมีหลักฐานทุกอย่างครบ ควรสำนึกบุญคุณที่เคยช่วยเหลือ พร้อมขู่พยานฝ่ายตรงข้าม ระวังจะซวยฐานสมรู้ร่วมคิดโดยไม่รู้ตัว ด้านผู้กำกับ “เชนทร์” ลั่นไม่เคยคิดไกล่เกลี่ย บอกไม่พอใจถูกยัดข้อหาฉ้อโกง
เกิดการทะเลาะถึงขั้นชี้หน้าว่ากันต่อหน้าศาลเลยทีเดียว สำหรับคู่อริที่เคยเปิดศึกทะเลาะกันนัวมาก่อนหน้านี้ ระหว่าง “อ้อย ธิดารัตน์ อรรถรัตน์” หรือชื่อใหม่ “ฐิติรัตน์ รักบุณยเกียรติ์” แฟนสาวของทายาทราชินีลูกทุ่ง “เพชร สรภพ ลีละเมฆินทร์” หรือ “ภัควรรธน์ พิสิษวุฒิรัชต์” กับผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “เปิงมางฯ” “เชนทร์ ณัฐพีระ ชมศรี” ที่ฝ่ายหญิงได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้กำกับคนดัง ฐานฉ้อโกงเงินจำนวน 250,000 บาท เพื่อนำไปเปิดบริษัทตัดต่อหนัง แต่กลับเชิดเงินหายไปติดต่อไม่ได้
โดยวันนี้(31 ส.ค.) ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ได้มีการนัดคู่ความทั้งสองฝ่ายมาเจรจาไกล่เกลี่ย แต่ขณะที่กำลังเจรจากันอยู่นั้น ทั้งคู่ได้มีการโต้เถียงขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ถึงขึ้นผู้พิพากษาที่รับผิดชอบคดีนี้ต้องเรียก “เชนทร์” ออกมาสงบสติอารมณ์นอกห้อง จากนั้นเมื่อเห็นว่าตกลงกันไม่ได้
ศาลจึงเรียกทั้งสองฝ่ายขึ้นไปที่บัลลังก์เพื่อทำการไกล่เกลี่ยอย่างจริงจัง แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ โดยทายาทราชินีลูกทุ่งได้เผยว่า ขณะที่ทำการไกล่เกลี่ยอยู่นั้น โดนผู้กำกับ “เปิงมาง” ชี้หน้าต่อว่า ไม่ใช่เรื่องของตน เพราะฉะนั้นอย่ามายุ่ง
“วันนี้ทางอัยการนัดมาไกล่เกลี่ย แต่ก็เกิดปากเสียงกันนั่นแหละ ทั้งตอนชั้นล่างและชั้นบนเลย วันนี้ก็ยังไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ คือเวลาผมหรือคุณยายพูดอะไรออกไป เขาก็บอกว่าผมเป็นคนนอก ชี้หน้าว่าผมกับยายในศาล"
"สำหรับผมคือทุกคนมีเหตุผล ผมก็มีเหตุผลที่ผมจะพูดตรงนั้น ผมเจออะไรผมก็ต้องพูดแบบนั้น และทางคุณเชนทร์เองก็คงมีเหตุผลที่เขาจะพูด ตกลงตอนนี้ก็ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลไป”
“ตอนแรกที่เกิดคดีนี้ขึ้นมา เขาบอกจะฟ้องหมิ่นประมาทผมด้วย เพราะผมไปชี้ตัวเขา คือจะไม่ชี้ก็ไม่ได้ เพราะเขาเป็นผู้ต้องหา ถูกออกหมายจับแล้ว ซึ่งเขาจะฟ้องหรือไม่ฟ้องผมไม่รู้ เพราะยังไม่มีการพูดคุยกัน ตอนนี้ทางศาลอยากให้ไกล่เกลี่ยเรื่องที่เขาฉ้อโกงเงินไปก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันไปเป็นอีกคดีหนึ่ง ส่วนที่มีคนส่งแมสเซจมาขู่ฆ่าผม ตอนนั้นผมไม่ได้แจ้งความว่าเป็นคุณณัฐพีระ ทางตำรวจถามว่าผมมีเรื่องกับใคร ผมก็ต้องตอบว่ามีเรื่องกับคุณเชนทร์ ซึ่งแมสเซจผมก็ยังมีอยู่ครับ”
ด้านสาว “อ้อย” เผยว่าคดีนี้ “เพชร” มีส่วนเอี่ยวด้วยแน่นอน ในฐานะหนึ่งในหุ้นส่วน ไม่ใช่คนนอกอย่างที่ “เชนทร์” กล่าวหา
“คือถ้าเขายอมจ่ายเงิน เราก็จะยอมทุกอย่าง ที่เราเสียค่าเช่าตึก ค่าอุปกรณ์ทุกอย่าง ค่าเสียเวลา เสียการเสียงานเราไม่คิด ถือว่าทำทานไปแล้วกัน ก็ช่างมันเถอะยกตรงนั้นไป แต่วันนี้เขาพูดว่าเขากำลังทำงานนะ เขาได้เงินเดือน 3 แสน แต่พอออกไปอีกสักพักนึงเขากลับเข้ามา บอกว่ารายได้เขา 5 แสน"
"ซึ่งจริงๆ ก็อยากถามเขาว่า ถ้าได้ 5 แสนหรือ 3 แสนจริง เขาจะให้เราเปิดบริษัทให้ทำไม ทำไมเขาไม่เปิดเอง (หัวเราะ) แล้ววันนี้เขาก็ไม่ยอมค่ะ ไม่ยอมจ่ายเงิน แล้วยังจะมาเรียกเงินเราอีก เขาบอกว่าเขาเสียเวลา เขาเป็นผู้กำกับที่มีงานเยอะ เดือนนึงเขาได้ตั้ง 5 แสนนะ เราต้องจ่ายเขา 5 แสนก่อน เขาถึงจะจ่ายเรา 250,000”
“ที่เขาไม่ยอมจ่าย เขาให้เหตุผลว่าเขาทำงาน เหมือนกับว่าเขาไม่ผิด เขาไม่ได้หลอกเรา ที่เขาบอกว่าจะไปซื้อเครื่องตัดต่อที่ห้องบันทึกเสียงรามอินทรา แต่ทางเจ้าของออกมาบอกว่า เขาไม่ได้ไปติดต่อซื้อ วันนั้นที่เขาพาเราไปเดินดู คือเขาแค่ขอไปดูเฉยๆ แล้ววันนี้ที่ทะเลาะกันคือทางเขาชี้หน้าคุณแม่ ชี้หน้าเพชร ชี้หน้าคุณยาย บอกว่าเพชรกับคุณยายเป็นคนนอกไม่เกี่ยวอีก”
เพชร : “ผมก็พยายามที่จะบอกว่า ถ้าพี่คืนเงินมันก็จบ เขาก็หาว่าเพชรกับยายเป็นคนนอกอย่ามาพูด เขาก็ชี้หน้าว่าพวกเรา ผมก็โอเคๆ”
อ้อย : “จริงๆ แล้วงานนี้เพชรคือหนึ่งในหุ้นส่วนเหมือนกัน แล้วเขามาบอกว่าเป็นคนนอกได้ยังไง ในเมื่อวันนี้เคลียร์กันไม่จบ ก็คงต้องดำเนินคดีตามขั้นตอนไป ทางเราเองก็ไม่อยากให้เป็นเยี่ยงอย่างว่า พอเขาไม่จบก็เลิกๆ ไป เพราะความรำคาญ จริงๆ แล้วคุณแม่ยังพูดเลยว่า เงินแค่นี้ปล่อยๆ ไปเลยดีมั้ย แม่เหนื่อยแล้ว ต้องมาพูดกับคนไม่รู้เรื่อง ทางเขาเองก็พยายามจะยืดเยื้อมาก เราก็ไม่เข้าใจว่าเงินแค่นี้เองจะยืดเยื้อทำไม ซึ่งศาลก็ได้นัดอีกทีวันที่ 22-23 มิถุนายนปีหน้า”
เพชร : “ผมมองว่าถ้ายิ่งยืดเยื้อ เขาก็จะยิ่งเสียเงินมากกว่า 2 แสนอยู่แล้ว ก็ไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไรถึงจะยืดเยื้อกันต่อไป”
ไม่หวั่นถูกฟ้องหมิ่นประมาทกลับ บอกอยากให้สำนึกผิด แล้วคืนเงินมาดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา พร้อมยันเปล่าจงใจทำลายชื่อเสียง ด้วยการยัดข้อหาฉ้อโกง
อ้อย : “เรื่องเขาจะฟ้องหมิ่นประมาทอันนี้ไม่ทราบเหมือนกัน ถ้าเขาจะฟ้องเรา แต่เรามีสิ่งที่จะฟ้องเขาเยอะกว่าอีก วันแถลงข่าวเขาก็พูดเรื่องไม่จริงทั้งนั้นเลย เขายืนยันว่าทำงานโมเดลลิ่ง ทั้งที่บริษัทยังไม่เปิด ก็ไม่รู้จะว่ายังไงค่ะ (หัวเราะ) ส่วนเสียงที่บันทึกไว้ ที่เคยนำมาเปิดเผยต่อสื่อ ศาลบอกว่าต้องใช้ในขั้นตอนฟ้อง ซึ่งศาลก็ไม่ได้สั่งห้ามเราว่า อย่าพูดอะไร จริงๆ เราก็พูดทุกเรื่องแล้วนะ แต่เขาพูดกี่ครั้งๆ ไม่เคยพูดเหมือนเดิมเลย”
“วันนี้ศาลก็พยายามจะเจรจากับทางเขาว่า ให้คืนเงินไกล่เกลี่ยเรามาเถอะ มันจะได้จบๆ ไปซะ ท่านอัยการพูดประมาณว่า ถ้าเกิดเรื่องนี้ดำเนินต่อไป สมมติว่าเขาผิดขึ้นมา เขาจะยิ่งแย่กว่านี้นะ ภาพพจน์เขาจะเสียเยอะกว่านี้ แต่เขาก็ยังยืนยันว่าเขาถูก”
“ส่วนตัวอยากให้เขาสำนึกผิดแล้วก็เอาเงินมาคืนดีกว่า เพราะว่าเสียเวลาเรามาก จริงๆ แล้วการเดินทางไปแจ้งความ การไปทำอะไรทุกอย่างคือตัวเงินทั้งนั้น เราเสียเวลากับเขา เสียเงินกับเขา อีกอย่างนึงเขาน่าจะสำนึกบ้างว่า บ้านเรามีบุญคุณกับเขายังไง ซึ่งถ้าเขาบอกว่าไม่พอใจกับคำว่าฉ้อโกง แล้วจะให้แจ้งความว่ายังไงล่ะคะ ก็ไม่รู้จะแจ้งข้อหาอะไร เพราะเขาฉ้อโกง”
“มันเป็นชื่อข้อหา จะให้ไปแต่งชื่อข้อหาใหม่ก็คงไม่ได้(หัวเราะ) ก่อนไปแจ้งความเราไม่รู้ว่าเป็นคดีอะไร พอไปเล่าเหตุการณ์ให้คุณตำรวจฟัง เขาก็บอกว่าอ๋อมันเป็นคดีฉ้อโกง เราก็แจ้งความตามนั้น สมมติว่าถ้าเราต้องการจะทำลายชื่อเสียงเขา เราคงจะแจ้งสื่อตั้งแต่วันแรกที่ไปแจ้งความแล้ว แล้วทีเขาเอาประเด็นของเพชรมาพูดเสริมเข้าไปด้วยล่ะ มันก็ทำให้เราเสียหายเหมือนกัน”
บอกอีกฝ่ายให้ยอมจ่ายเงินคืนดีๆ เพราะไม่อยากขุดคุค้ยไปมากกว่านี้ พร้อมเตือนไปถึงคนที่จะมาเป็นพยานให้ “เชนทร์” ว่าอย่ายุ่ง เพราะจะซวยไม่รู้ตัว
อ้อย : “อยากให้ทางเขาจ่ายเงินมาเถอะ อย่าให้ต้องขุดคุ้ยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือถึงขั้นเอาสลิปเงินที่เคยโอนให้เขายืมจำนวนหลักพันออกมาเลย แม้กระทั่งของเพชรเขาก็ไม่เคยคืน อย่าให้ต้องขุดคุ้ยถึงขนาดนั้น”
“เขาเคยส่งอีเมล์มาเจรจาว่า ตอนนี้ยังไม่มีเงิน ขออย่าบอกเรื่องนี้กับพี่ๆ นักข่าว ขอให้เป็นเรื่องระหว่างเรา แต่ในเมื่อวันนี้เขาไม่ได้ทำตามสัญญาที่ส่งเมล์มา เราก็ขอบอกสื่อเลยแล้วกันว่า เขาเคยส่งเมล์มาบอกว่า จะให้ไปหาที่บ้านก็ได้ เขาพูดประมาณนั้นเลย”
“มันเหมือนเขากลัวเสียหน้า เพราะเอาเงินไปใช้หมดแล้วหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ก็ไม่อยากจะพูดอะไร แต่เรามีหลักฐานหมดตั้งแต่แรก แม้กระทั่งตอนที่เขาไปเซ็นสัญญาเช่าตึก เขาบอกจะเอาเงินมาให้เจ้าของตึก และก็มีพยานเป็นเพื่อนเขา และภรรยาเขา แต่ภรรยาเขาลงนามสกุลปลอม ซึ่งก็สื่อเจตนาไม่ดีแล้วว่า ทำไมคุณถึงไม่ลงชื่อกับนามสกุลจริง ที่ตรงกับสำเนาทะเบียนราษฏร์ อันนี้เราเพิ่งรู้ตอนที่ทางตำรวจเช็คให้”
“และสำหรับคนที่ออกมาเป็นพยานให้เขาวันแถลงข่าว ก็ฝากเตือนคุณไว้ด้วยว่า คุณเคยพูดอะไรกับเราไว้ เราก็เก็บของคุณเหมือนกัน และอีกคนนึงที่เป็นผู้หญิง เราไม่รู้จักคุณเลย คุณเป็นใคร ถ้าเกิดว่าวันนึงเขาพิสูจน์มาแล้วทางโน้นผิด คุณก็เหมือนร่วมด้วยช่วยกันนะคะ เตือนไว้ก่อน”
ด้านผู้กำกับ “เชนทร์” เผยถึงเรื่องนี้ว่าตนไม่อยากไกล่เกลี่ยอยู่แล้ว และคำว่า ฉ้อโกง สำหรับตน ถือเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงที่สุด
“วันนี้ไม่ได้เชิงเป็นการไกล่เกลี่ยรอบแรก มันเป็นการพูดคุยกันมากกว่าว่า หลังจากนี้จะดำเนินการยังไงต่อไป ซึ่งผมก็ตั้งมาแล้วว่า คงจะต้องสู้ความกันต่อไป เพราะเราไกล่เกลี่ยกันไม่ลงตัวอยู่แล้ว การพูดอะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้รู้สึกว่าเจตนาฉ้อโกง มันรุนแรงมากสำหรับอาชีพผม”
“ประเด็นเรื่องเงินค่อยว่ากันทีหลังว่ามันคืออะไร แต่ก่อนหน้านั้นสิ่งที่ผมเสียหายมันมากมายกว่านั้นเยอะ มันเลยจำเป็นที่จะต้องชี้แจงแบบเคลียร์ๆ คือด้วยคำพูดหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่มันออกมาจากสื่อ มันไม่สามารถมาตัดสินได้ว่า ผมผิดหรือไม่ผิด หรือว่าใครผิด มันต้องดูกันด้วยหลักฐาน และความเป็นจริงของข้อเท็จจริง ซึ่งไม่มีใครที่จะชี้แจงให้ชัดเจนได้เท่าท่านอัยการหรือผู้พิพากษา”
“ผมมั่นใจในเจตนาตัวเอง และสิ่งที่จะเป็นยังไงหลังจากนี้ผมก็จะยอมรับมัน แต่เรื่องรายละเอียดขอให้เป็นเรื่องของทางศาลหรืออัยการดีกว่า ที่ไกล่เกลี่ยไม่ได้คือมันมีข้อกล่าวหาว่าฉ้อโกงอยู่ ก็ต้องเคลียร์กันให้ชัดเจน ถามว่าผมจะฟ้องเขากลับมั้ย ขออุบไว้ก่อนดีกว่า เรายังไม่สามารถพูดอะไรได้มากมาย เอาเป็นว่าถ้าเกิดมีอะไรชัดเจนขึ้นมาตามกฎหมาย เดี๋ยวผมจะแจ้งข่าวให้ทราบกัน”