ตำรวจยอมรับ รถ “จอย ศิริลักษณ์” ไม่ใช่คันในภาพถ่ายที่ขับฝ่าไฟแดง เพราะมีข้อแตกต่างกันหลายจุด โดยเฉพาะรุ่นรถดาราสาวนั้น เป็น VITZ ที่ใช้เรียกในญี่ปุ่นแทน “ยาริช” ระบุ เคยเกิดกรณีเดียวกันมา 2-3 กรณี เชื่อถูกสวมทะเบียน ซึ่งอาจเป็นรถหนีภาษี หรือรถที่ถูกโจรกรรมมา
ภายหลังจากที่ น.ส.ศิริลักษณ์ ผ่องโชค หรือ “จอย ศิริลักษณ์” อายุ 32 ปี ดารานักร้องชื่อดัง เข้าแจ้งความกับพบพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง หลังเจ้าตัวถูกหมายเรียกส่งถึงบ้านให้ไปเสียค่าปรับฐานขับรถฝ่าไฟแดง แต่เมื่อได้ตรวจสอบแล้ว กลับพบว่า รถเก๋งในภาพจากกล้องวงจรปิดนั้น มีจุดต้องสงสัยและไม่ตรงกับรถของตัวเองหลายจุด จึงอาจะเป็นไปได้ว่า รถของดาราสาวคนดังจะถูกสวมทะเบียนนั้น
วันนี้ (31 ส.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.น.ส.ศิริลักษณ์ ผ่องโชค ได้ขับรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า ยาริส สีแดง หมายเลขทะเบียน ศอ 6000 กทม.เดินทางมาที่กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.02) เพื่อเข้าพบ พล.ต.ต.วีระพัฒน์ ตันศรีสกุล ผบก.จร.ให้ช่วยตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับหมายเรียกดังกล่าวอีกครั้ง เนื่องจากรถโตโยต้า ยาริส คันที่ขับฝ่าไฟแดง กับรถของตัวเองนั้นมีหลายจุดที่ไม่ตรงกัน
พล.ต.ต.วีระพัฒน์ เปิดเผยว่า หลังจากตรวจสอบภาพรถโตโยต้า ยาริส สีแดง หมายเลขทะเบียน ศอ-6000 กทม. ซึ่งถูกกล้องวงจรปิดที่แยก นิด้า ถนนเสรีไทย แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม จับภาพเอาไว้ได้ขณะขับฝ่าไฟแดงที่แยกดังกล่าวเมื่อเวลา 10.28 น.ของวันที่ 16 ส.ค.2552 กับรถของ น.ส.ศิริลักษณ์ นั้น พบว่า มีจุดต้องสงสัยหลายจุดด้วยกัน เริ่มจากเรื่องหมายเลขทะเบียน โดยกรอบหมายเลขทะเบียนของรถในภาพนั้นอาจจะไปบังหางอักษรตัว “ศ” อยู่ จึงอาจเป็นไปได้ว่า รถคันดังกล่าวนั้นอาจจะใช้หมายเลขทะเบียน “คอ 6000 กทม.” แต่จากการตรวจสอบแล้วก็ไม่พบรถหมายเลขทะเบียนดังกล่าวอยู่ในสารบบแต่อย่างใด นอกจากนี้ ก็ได้ตรวจสอบหมายเลขทะเบียนอื่นๆ ที่หมวดอักษรที่ใกล้เคียงกัน ได้แก่ “ศฮ6000 กทม.” ก็พบว่าเป็นทะเบียนของรถเก๋ง ยี่ห้อมาสด้า 3 สีดำ และ “คฮ 6000 กทม.” ก็ไม่พบว่า มีอยู่ในสารบบแต่อย่างใด
พล.ต.ต.วีระพัฒน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ จากการตรวจสอบรถโตโยต้า ยาริส คันที่ขับฝ่าไฟแดง กับรถของ น.ส.ศิริลักษณ์ นั้นก็พบว่า มีอย่างน้อย 5 จุด ด้วยกันที่ไม่ตรงกัน เริ่มจากจุดแรก คือไฟท้ายไม่เหมือนกัน โดยรถของ น.ส.ศิริลักษณ์ นั้นเป็นไฟท้ายแต่งใหม่ ส่วนรถคันในภาพ เป็นแบบเดิม จุดที่สองคือ ชุดแต่งด้านหลังหรือสเกิร์ตหลังนั้นไม่เหมือนกัน โดยของ น.ส.ศิริลักษณ์ เป็นชุดแต่งแบบเต็ม ส่วนรถในภาพมีส่วนเปิดช่องว่างเอาไว้
พล.ต.ต.วีระพัฒน์ กล่าวต่อว่า ส่วนจุดที่ 3 คือ กรอบหมายเลขทะเบียนกรอบ โดยทะเบียนรถในหมายเรียกเป็นป้ายทะเบียนขาว มีกรอบล้อมรอบ แต่รถของ น.ส.ศิริลักษณ์ เป็นป้ายทะเบียนมีลายกราฟฟิก แต่ไม่มีกรอบ สำหรับจุดที่ 4 คือ ตัวอักษรรุ่นที่แต่งกันชัดเจน โดยรถในภาพใช้รุ่นยาริสเหมือนเดิม แต่ของ น.ส.ศิริลักษณ์ เปลี่ยนเป็นตัวอักษร “วิทช์ (VITZ)” ซึ่งเป็นชื่อรุ่นที่ประเทศญี่ปุ่นใช้เรียกแทน “ยาริส” และจุดที่ 5 คือเสาอากาศรถทั้ง 2 คันไม่เหมือนกัน โดยรถในภาพไม่มีเสาอากาศ ส่วนของ น.ส.ศิริลักษณ์ มีเสาอากาศ นอกจากนี้ ยังมีจุดอื่นๆ อีกเช่น สติกเกอร์ติดหลังรถ กับล้อแมกซ์ที่ลายไม่ตรงกัน
พล.ต.ต.วีระพัฒน์ เมื่อจากตรวจแล้วไม่ตรงกัน ก็น่าจะเป็นไปได้ว่า รถคันที่ขับฝ่าไฟแดงนั้น เป็นรถที่ถูกโจรกรรมมาแล้วนำมาสวมทะเบียน หรือเป็นรถที่หลบเลี่ยงภาษี ซึ่งทางตำรวจก็จะต้องอายัดหมายเรียกดังกล่าวคืนมาจาก น.ส.ศิริลักษณ์ พร้อมทั้งส่งข้อมูลเรื่องดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ ดำเนินการติดตามจับกุมรถคันดังกล่าวต่อไป แต่หากรถคันดังกล่าวถูกโจรกรรมมานั้น ขณะนี้เจ้าของก็น่าจะรู้ตัวและรีบนำไปเปลี่ยนหมายเลขทะเบียนแล้ว หรือหากเป็นการหลบหลบเลี่ยงภาษี เจ้าของรถก็อาจจะนำไปจดทะเบียนเพื่อให้ได้หมายเลขทะเบียนที่ถูกต้องมาใช้
พล.ต.ต.วีระพัฒน์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาหลังจากส่งหมายเรียกไปแล้วประมาณ 3 แสนใบ ก็เจอกรณีแบบนี้มาแล้วประมาณ 2-3 กรณีด้วยกัน เช่น เคยมีรถเก๋งยี่ห้อวอลโว่คันหนึ่งถูกกล้องวงจรปิดจับภาพได้ขณะขับฝ่าไฟแดง แต่เมื่อมาตรวจสอบแล้วพบว่า รถคันที่อยู่ในภาพ กับรถของผู้เสียหายนั้น มีท่อไอเสียอยู่คนละด้าน ส่วนอีกกรณีคือมีรถยี่ห้อ สี และหมายเลขทะเบียนเดียวกัน ถูกจับภาพขณะขับฝ่าไฟแดงที่แยกโชคชัย กับแยกประดิพัทธ์ ในระยะห่างกันเพียงแค่ 3 นาที ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน
ทั้งนี้ หากใครสงสัยว่าอาจมีการออกหมายเรียกผิดพลาดก็ สามารถมาตรวจสอบได้ที่ บก.จร.อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่า ก่อนจะออกหมายเรียกส่งไปที่บ้านของเจ้าของรถนั้น มีการตรวจสอบข้อมูลแล้วทุกครั้ง ไม่มีการมั่วแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้หากตรวจสอบพบว่า หากตำรวจออกหมายเรียกไป แล้วเจ้าของรถคันดังกล่าวนั้นนำรถไปดัดแปลงเพื่อไม่ให้ตรงกับภาพในหมายเรียก แล้วนำมาแจ้งกับตำรวจนั้น ก็จะต้องถูกดำเนินข้อหาแจ้งเท็จอีกด้วย
ด้าน น.ส.ศิริลักษณ์ กล่าวว่า รถคันนี้หลังจากซื้อมาวันที่ 26 มิ.ย.2549 ได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ก็นำไปแต่งเลย ไม่ได้เพิ่งเอาไปแต่งใหม่แต่อย่างใด ซึ่งตนก็รู้สึกสบายใจขึ้น ที่กรณีนี้เป็นการสวมทะเบียน เนื่องจากหากเป็นแค่การขับฝ่าไฟแดงนั้น ในส่วนของค่าปรับนั้นมันไม่ได้หนักอะไร แต่หากรถตนถูกสวมทะเบียนแล้วไปทำผิดร้ายแรงก็จะเป็นปัญหาในภายหลังได้ สำหรับกรณีของตนก็ถือว่าเป็นกรณีศึกษาของทางตำรวจและของประชาชน โดยส่วนของตำรวจนั้นก็ควรต้องตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียดก่อนส่งหมายเรียกไป ส่วนของประชาชนเองเมื่อมีหมายเรียกแจ้งมาก็ควรจะตรวจสอบข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ในภาพด้วยว่า ตรงกันกับรถของตัวเองหรือไม่ เพราะอาจจถูกสวมทะเบียนเหมือนกรณีของตนได้
ภายหลังจากที่ น.ส.ศิริลักษณ์ ผ่องโชค หรือ “จอย ศิริลักษณ์” อายุ 32 ปี ดารานักร้องชื่อดัง เข้าแจ้งความกับพบพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง หลังเจ้าตัวถูกหมายเรียกส่งถึงบ้านให้ไปเสียค่าปรับฐานขับรถฝ่าไฟแดง แต่เมื่อได้ตรวจสอบแล้ว กลับพบว่า รถเก๋งในภาพจากกล้องวงจรปิดนั้น มีจุดต้องสงสัยและไม่ตรงกับรถของตัวเองหลายจุด จึงอาจะเป็นไปได้ว่า รถของดาราสาวคนดังจะถูกสวมทะเบียนนั้น
วันนี้ (31 ส.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.น.ส.ศิริลักษณ์ ผ่องโชค ได้ขับรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า ยาริส สีแดง หมายเลขทะเบียน ศอ 6000 กทม.เดินทางมาที่กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.02) เพื่อเข้าพบ พล.ต.ต.วีระพัฒน์ ตันศรีสกุล ผบก.จร.ให้ช่วยตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับหมายเรียกดังกล่าวอีกครั้ง เนื่องจากรถโตโยต้า ยาริส คันที่ขับฝ่าไฟแดง กับรถของตัวเองนั้นมีหลายจุดที่ไม่ตรงกัน
พล.ต.ต.วีระพัฒน์ เปิดเผยว่า หลังจากตรวจสอบภาพรถโตโยต้า ยาริส สีแดง หมายเลขทะเบียน ศอ-6000 กทม. ซึ่งถูกกล้องวงจรปิดที่แยก นิด้า ถนนเสรีไทย แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม จับภาพเอาไว้ได้ขณะขับฝ่าไฟแดงที่แยกดังกล่าวเมื่อเวลา 10.28 น.ของวันที่ 16 ส.ค.2552 กับรถของ น.ส.ศิริลักษณ์ นั้น พบว่า มีจุดต้องสงสัยหลายจุดด้วยกัน เริ่มจากเรื่องหมายเลขทะเบียน โดยกรอบหมายเลขทะเบียนของรถในภาพนั้นอาจจะไปบังหางอักษรตัว “ศ” อยู่ จึงอาจเป็นไปได้ว่า รถคันดังกล่าวนั้นอาจจะใช้หมายเลขทะเบียน “คอ 6000 กทม.” แต่จากการตรวจสอบแล้วก็ไม่พบรถหมายเลขทะเบียนดังกล่าวอยู่ในสารบบแต่อย่างใด นอกจากนี้ ก็ได้ตรวจสอบหมายเลขทะเบียนอื่นๆ ที่หมวดอักษรที่ใกล้เคียงกัน ได้แก่ “ศฮ6000 กทม.” ก็พบว่าเป็นทะเบียนของรถเก๋ง ยี่ห้อมาสด้า 3 สีดำ และ “คฮ 6000 กทม.” ก็ไม่พบว่า มีอยู่ในสารบบแต่อย่างใด
พล.ต.ต.วีระพัฒน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ จากการตรวจสอบรถโตโยต้า ยาริส คันที่ขับฝ่าไฟแดง กับรถของ น.ส.ศิริลักษณ์ นั้นก็พบว่า มีอย่างน้อย 5 จุด ด้วยกันที่ไม่ตรงกัน เริ่มจากจุดแรก คือไฟท้ายไม่เหมือนกัน โดยรถของ น.ส.ศิริลักษณ์ นั้นเป็นไฟท้ายแต่งใหม่ ส่วนรถคันในภาพ เป็นแบบเดิม จุดที่สองคือ ชุดแต่งด้านหลังหรือสเกิร์ตหลังนั้นไม่เหมือนกัน โดยของ น.ส.ศิริลักษณ์ เป็นชุดแต่งแบบเต็ม ส่วนรถในภาพมีส่วนเปิดช่องว่างเอาไว้
พล.ต.ต.วีระพัฒน์ กล่าวต่อว่า ส่วนจุดที่ 3 คือ กรอบหมายเลขทะเบียนกรอบ โดยทะเบียนรถในหมายเรียกเป็นป้ายทะเบียนขาว มีกรอบล้อมรอบ แต่รถของ น.ส.ศิริลักษณ์ เป็นป้ายทะเบียนมีลายกราฟฟิก แต่ไม่มีกรอบ สำหรับจุดที่ 4 คือ ตัวอักษรรุ่นที่แต่งกันชัดเจน โดยรถในภาพใช้รุ่นยาริสเหมือนเดิม แต่ของ น.ส.ศิริลักษณ์ เปลี่ยนเป็นตัวอักษร “วิทช์ (VITZ)” ซึ่งเป็นชื่อรุ่นที่ประเทศญี่ปุ่นใช้เรียกแทน “ยาริส” และจุดที่ 5 คือเสาอากาศรถทั้ง 2 คันไม่เหมือนกัน โดยรถในภาพไม่มีเสาอากาศ ส่วนของ น.ส.ศิริลักษณ์ มีเสาอากาศ นอกจากนี้ ยังมีจุดอื่นๆ อีกเช่น สติกเกอร์ติดหลังรถ กับล้อแมกซ์ที่ลายไม่ตรงกัน
พล.ต.ต.วีระพัฒน์ เมื่อจากตรวจแล้วไม่ตรงกัน ก็น่าจะเป็นไปได้ว่า รถคันที่ขับฝ่าไฟแดงนั้น เป็นรถที่ถูกโจรกรรมมาแล้วนำมาสวมทะเบียน หรือเป็นรถที่หลบเลี่ยงภาษี ซึ่งทางตำรวจก็จะต้องอายัดหมายเรียกดังกล่าวคืนมาจาก น.ส.ศิริลักษณ์ พร้อมทั้งส่งข้อมูลเรื่องดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ ดำเนินการติดตามจับกุมรถคันดังกล่าวต่อไป แต่หากรถคันดังกล่าวถูกโจรกรรมมานั้น ขณะนี้เจ้าของก็น่าจะรู้ตัวและรีบนำไปเปลี่ยนหมายเลขทะเบียนแล้ว หรือหากเป็นการหลบหลบเลี่ยงภาษี เจ้าของรถก็อาจจะนำไปจดทะเบียนเพื่อให้ได้หมายเลขทะเบียนที่ถูกต้องมาใช้
พล.ต.ต.วีระพัฒน์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาหลังจากส่งหมายเรียกไปแล้วประมาณ 3 แสนใบ ก็เจอกรณีแบบนี้มาแล้วประมาณ 2-3 กรณีด้วยกัน เช่น เคยมีรถเก๋งยี่ห้อวอลโว่คันหนึ่งถูกกล้องวงจรปิดจับภาพได้ขณะขับฝ่าไฟแดง แต่เมื่อมาตรวจสอบแล้วพบว่า รถคันที่อยู่ในภาพ กับรถของผู้เสียหายนั้น มีท่อไอเสียอยู่คนละด้าน ส่วนอีกกรณีคือมีรถยี่ห้อ สี และหมายเลขทะเบียนเดียวกัน ถูกจับภาพขณะขับฝ่าไฟแดงที่แยกโชคชัย กับแยกประดิพัทธ์ ในระยะห่างกันเพียงแค่ 3 นาที ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน
ทั้งนี้ หากใครสงสัยว่าอาจมีการออกหมายเรียกผิดพลาดก็ สามารถมาตรวจสอบได้ที่ บก.จร.อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่า ก่อนจะออกหมายเรียกส่งไปที่บ้านของเจ้าของรถนั้น มีการตรวจสอบข้อมูลแล้วทุกครั้ง ไม่มีการมั่วแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้หากตรวจสอบพบว่า หากตำรวจออกหมายเรียกไป แล้วเจ้าของรถคันดังกล่าวนั้นนำรถไปดัดแปลงเพื่อไม่ให้ตรงกับภาพในหมายเรียก แล้วนำมาแจ้งกับตำรวจนั้น ก็จะต้องถูกดำเนินข้อหาแจ้งเท็จอีกด้วย
ด้าน น.ส.ศิริลักษณ์ กล่าวว่า รถคันนี้หลังจากซื้อมาวันที่ 26 มิ.ย.2549 ได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ก็นำไปแต่งเลย ไม่ได้เพิ่งเอาไปแต่งใหม่แต่อย่างใด ซึ่งตนก็รู้สึกสบายใจขึ้น ที่กรณีนี้เป็นการสวมทะเบียน เนื่องจากหากเป็นแค่การขับฝ่าไฟแดงนั้น ในส่วนของค่าปรับนั้นมันไม่ได้หนักอะไร แต่หากรถตนถูกสวมทะเบียนแล้วไปทำผิดร้ายแรงก็จะเป็นปัญหาในภายหลังได้ สำหรับกรณีของตนก็ถือว่าเป็นกรณีศึกษาของทางตำรวจและของประชาชน โดยส่วนของตำรวจนั้นก็ควรต้องตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียดก่อนส่งหมายเรียกไป ส่วนของประชาชนเองเมื่อมีหมายเรียกแจ้งมาก็ควรจะตรวจสอบข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ในภาพด้วยว่า ตรงกันกับรถของตัวเองหรือไม่ เพราะอาจจถูกสวมทะเบียนเหมือนกรณีของตนได้