xs
xsm
sm
md
lg

เห็นแก่ได้เกินไปหรือเปล่า?!?! : บุปผาราตรี 3/อภินันท์

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


ไม่ว่าคุณยุทธเลิศ สิปปภาค จะรับรู้หรือไม่ก็ตามกับเสียงของคนจำนวนหนึ่ง (ซึ่งผมเชื่อว่าคงไม่ใช่น้อยๆ) ที่ไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไรนักกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบุปผาราตรี 3.1 พร้อมกับมีคำถามสำคัญว่า เพราะอะไร ถึงต้องซอย “ผีบุปผา” ภาคสามออกเป็นสองตอน

ที่ว่าไม่แฮปปี้ ก็เพราะว่า...พูดกันอย่างตรงไปตรงมา เนื้อหาของบุปผา 3.1 นั้น แทบจะไม่มีอะไรจับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันเลย หนังหมดเวลาไปกับการลากพาพวกตัวละครตลกไปยิงมุกโน่นนี่อะไรเรื่อยเปื่อย แทนที่จะได้เล่าเรื่องอย่าง “เป็นเรื่องเป็นราว”

แน่นอน “คำถามสำคัญ” ที่ผมบอก ก็คือ นี่เป็นความจงใจของผู้สร้างผู้กำกับที่ต้องการจะยืดหนังให้ยาว เพื่อผลประโยชน์ทางด้าน “การค้าพาณิชย์” หรือไม่ พูดง่ายๆ ก็คือ คนทำ เห็นแก่ได้กันมากเกินไปหรือเปล่า???

ใจจริง ผมก็ไม่ได้อยากจะคิดอะไรที่เป็นอกุศลต่อผู้สร้างแบบนั้นหรอกนะครับ แต่มันก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้ดูบุปผาภาคสามครบทั้งสองตอนแล้ว

ไม่รู้สิครับ การทำความเข้าใจคำว่า “หนังภาคต่อ” ของผมกับของคุณยุทธเลิศ อาจคลาดเคลื่อนแตกต่างกันก็ได้ เพราะในความหมายของผม “หนังภาคต่อ” แต่ละภาค ก็ควรจะมีเนื้อหาเรื่องที่สรุปจบครบถ้วนในภาคนั้นๆ ไม่เห็นจะต้องไปรอดูตอนจบในอีกสามเดือนหรือสี่ปีข้างหน้าเลย ภาพยนตร์นะครับ ไม่ใช่ละครที่ดูตอนหนึ่งในคืนนี้ แล้วคืนต่อไปหรือสัปดาห์หน้าค่อยมาดูตอนสอง

โอเคล่ะ ที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าผมใจแคบ ไม่ยอม “เปิดพื้นที่” ให้กับอะไรเลย เพราะพูดก็พูดเถอะ บางที หนังหนึ่งเรื่องจะมีกี่ภาคกี่ตอนก็ได้ ถ้า “เนื้อหา” ของคุณ มัน “แน่น” จริงๆ แต่นี่ไม่ใช่ไงครับ เพราะพูดกันตามความจริงเลย ผมพบว่า เนื้อหาเรื่องราวของผีบุปผาภาคสามนั้น มันไหลมากองรวมกันอยู่ในตอน 3.2 ทั้งหมดเลย ส่วนตอน 3.1 ดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นเพียงอินโทรดักชั่น แนะนำตัวละครและอารัมภบทเกริ่นนำเนื้อเรื่องเท่านั้นเอง นอกเหนือจากนั้น เป็น “น้ำท่วมทุ่ง” ไปเสียหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มุกตลกจำพวกมุกคาเฟ่และมุกควายๆ ซึ่งกินพื้นที่ในหนังไปเกือบๆ 80 เปอร์เซ็นต์

ไม่แปลกอะไร ถ้าตัวละครในหนังบุปผาราตรี 3.2 ถูกบรรดาผีโน่นนี่โผล่มาหลอกเยอะแยะไปหมด แล้วในส่วนของคนดูหนังเองก็มีความชอบธรรมเต็มที่ที่จะรู้สึกว่า ตัวเองก็ถูกหลอกเช่นกัน...หลอกกินตังค์สองรอบ และที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ หลายๆ คนผู้บริโภค รู้สึกตัวเองว่า “ถูกเอาเปรียบ” ด้วยซ้ำไป!!

ไม่ผิดหรอกครับ ถ้าคุณจะยืดหนังให้ยาวเป็นหลายๆ ภาค ถ้าศักยภาพของ “เนื้อหา” มันเอื้ออำนวย แต่ถ้ามันจบในภาคเดียวได้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมีภาคต่อ และก็เชื่อเถอะครับว่า เมื่อฟังเสียงจากคนดูผู้ชมแล้ว คุณจะพบว่า ทุกๆ คนก็จะบอกเป็นเสียงเดียวกันหมด คือ ไม่เห็นจำเป็นต้องควักกระเป๋าหลายรอบแบบนี้เลย เพราะดูๆ ไป หนังมันจบภาคเดียวได้ ไม่น่าจะมีปัญหา

แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ถ้าคนทำหนังคิดถึงเรื่อง “ทำมาหากิน” ก่อน “คุณภาพของหนัง” ผมว่าเขาทำได้หมดแหละ และผมก็ไม่อยากจะคิดเลยครับว่า มันจะเป็นความเปล่าเปลืองและเจ็บปวดสำหรับคนดูแค่ไหน ถ้าหนังอย่าง “หลวงพี่ผีขนุน” เอย “กระสือฟัดปอบ” เอย จะลุกขึ้นมาเล่นเกมเดียวกันกับที่ผีบุปผาเล่นบ้าง คือ ลากให้ยาวสักสองภาค โดยมีมุกตลกบ้าๆ บอๆ เป็นเครื่องมือในการ “ยืด”

อันที่จริง ผมคิดว่าคนอย่างคุณต้อม-ยุทธเลิศ เป็นคนที่มีความสามารถมากยิ่งกว่าคนอีกหลายๆ คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “ผู้กำกับ” นะครับ ดูง่ายๆ ก็ได้ ขนาดว่า คุณทำให้ผีบุปผา “เข้าป่าเข้าดง” ไปไกลมากในภาคที่แล้ว แต่มาภาคนี้ 3.2 คุณยังสามารถ “พลิกกลับสถานการณ์” จากร้ายให้กลายเป็นดีได้ โอเคล่ะ ถึงแม้มันจะไม่ได้เลิศเลอเพอร์เฟคต์น่าประทับใจอะไรถึงเพียงนั้น แต่เชื่อผมเถอะว่า บุปผา 3.2 จะไม่ได้คำตำหนิแบบล้นๆ อย่าง 3.1 แน่นอน อย่างไรก็ดี ถ้าหากจะมีใครสักคนมาตะโกนใส่หน้าคุณยุทธเลิศว่า คุณเป็นนักการตลาดที่ชาญฉลาดในการ “ทำมาหากิน” กับการยืดหนัง ก็คงไม่มีใครช่วยคุณได้จริงๆ

เรื่องเวรเรื่องกรรมนั้นมีจริงครับ ก็อย่างที่คุณต้อม-ยุทธเลิศ พูดไว้ในบุปผาภาคนี้นั่นแหละ (ฉาก Threesome อันน่าเจ็บปวดหัวใจ อาจจะดู “แผลงๆ” บ้าง แต่ก็สะใจดีพิลึก เพราะบางที มนุษย์ห่วยๆ มันก็ต้องเจอบทลงโทษสนองกรรมอะไรแบบนี้กันบ้างล่ะ) และเมื่อเรื่องเวรเรื่องกรรมมีอยู่จริง ผมขอแนะนำว่า ถ้าคุณต้อม-ยุทธเลิศ จะทำหนังอีก ก็ไม่ควรทำแบบนี้นะครับ เพราะชาวบ้านชาวช่องเค้าดูออกครับว่า บุปผา 3.1 และ 3.2 มันคือการ “ยืด” โดยไม่จำเป็น และถ้าชาวบ้านเค้าจับทางได้ เข็ดหลาบกับสิ่งที่คุณทำ และพร้อมใจกันปฏิเสธผลงานของคุณ นั่นแหละครับ เวรกรรมก็จะเริ่มทำงานของมันแล้ว...ด้วยความหวังดี...

ทีนี้ มาถึงประเด็นที่ว่า ทำไม บุปผา 3.2 สมควรจะได้คำชมมากกว่าคำตำหนิ

แน่นอนครับ โดยภาพรวม ผมรู้สึกว่า บุปผาภาคนี้ทำออกมา “สมศักดิ์ศรี” แบบที่ซีรี่ส์ผีบุปผาควรจะเป็น นอกจากบรรยากาศของหนังซึ่งออกมาในโทนที่ใกล้เคียงกับบุปผาภาคหนึ่ง หนังยังเขย่ารวมองค์ประกอบต่างๆ ออกมาได้ค่อนข้างกลมกล่อม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเนื้อหาที่ชัดเจนว่าต้องการจะบอกอะไร และบอกเล่าได้ลุล่วง นั่นก็คือเรื่องของแรงแค้นความอาฆาต ตลอดจนแง่มุมความรักระหว่างผีบุปผา (พลอย เฌอมาลย์) กับ “หรั่ง” (มาริโอ้ เมาเร่อ) ขณะเดียวกัน อารมณ์ขันในเรื่อง ก็ไม่ได้เกิดจากมุกโง่ๆ ซ้ำซากวนเวียน อย่าง...อะไรเอ่ย?...อีกต่อไป แต่ยังมีมุกบางมุกที่เรียกได้ว่า “สดใหม่” จากสมองของยุทธเลิศได้เลย

สรุปสั้นๆ เลยก็คือว่า บุปผาภาคนี้ มันมีทั้งความเอนเตอร์เทนที่ทำให้เราติดตามเรื่องราวไปได้เรื่อยๆ ขณะที่ตัวเนื้อหาก็ไม่ขี้เหร่ และแน่นอน ตอนจบที่หนังทิ้งท้ายไว้ในลักษณะ “ปลายเปิด” ก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่า คงจะมีบุปผาภาคสี่ตามมาอีกแน่นอน ไม่เร็วก็ช้า

เหนืออื่นใด ผมก็ได้แต่หวังว่า ประวัติศาสตร์มันคงไม่ซ้ำรอย ประเภทที่ว่ามี 4.1 แล้วต่อด้วย 4.2 โอเคครับ คุณทำได้ ถ้ามีเนื้อหาของแต่ละภาคที่แน่นจริงๆ แต่ถ้าคุณยังคงดึงดันที่จะทำมันออกมาแบบ 3.1-3.2 สาบานได้เลยว่า ผมจะไม่ดู 4.1 แน่นอน แต่จะรอดู 4.2 ภาคเดียวเลย ถึงจะมีใครหน้าไหนมาตอแหลใส่ว่า ถ้าไม่ดูภาคหนึ่ง จะดูภาคสองไม่รู้เรื่อง...ก็ตามที...






กำลังโหลดความคิดเห็น