โดย อภินันท์ บุญเรืองพะเนา
ในโลกนี้มีหนังภาคต่อหลายต่อหลายเรื่องที่ทำได้เจ๋งไม่แพ้ภาคแรก แต่นั่นย่อมไม่ใช่หนังผีคอเมดี้อย่างบุปผาราตรี เพราะถ้าพูดกันแบบคนที่ไม่ได้ถูกจ้างให้มานั่งเชียร์ใคร ทั้งผมและคุณก็คงมีความเห็นเหมือนๆ กันว่า บุปผาราตรี 3.1 ว่ากันอย่างถึงที่สุด ก็แทบไม่มีอะไรแตกต่างไปจากหนังผีตลกด้อยคุณภาพอีก 80-90 เปอร์เซ็นต์ที่มีอยู่เกลื่อนกลาดตลาดหนัง
อย่างไรก็ดี ถ้ามันจะมีอะไรที่ดูแตกต่างออกไปบ้างจากหนังขยะเรื่องอื่นๆ ก็น่าจะอยู่ที่ว่า บุปผาราตรีนั้นเริ่มแนะนำตัวเองได้ดีมากๆ ในภาคแรก ด้วยการเป็นหนังที่ผสมผสานความตลกเข้ากับความหลอนได้ค่อนข้างลงตัว ขณะเดียวกันก็มีประเด็นที่สร้างจุดสะเทือนใจให้กับคนดูผู้ชมได้เป็นอย่างดี
แน่นอนล่ะ ผมเชื่อว่าแทบทุกคนย่อมประทับใจกับบุปผาภาคแรก แต่ก็อีกนั่นแหละ จนถึงตอนนี้แล้ว ผมไม่แน่ใจเท่าไรนักว่าจะมีสักกี่คนที่เป็นปลื้มกับภาคที่สามนี้ (หลังจากรู้สึกทะแม่งๆ กับภาคที่สองมาแล้วก่อนหน้า) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันถูกแบ่งออกเป็นสองตอน คือ 3.1 กับ 3.2 ก็เลยกลายเป็นประเด็นที่มาของคำถามว่า จำเป็นแค่ไหนที่หนังต้องซอยตัวเองออกเป็นสองตอน (ตอน 3.2 จะฉายในราวๆ เดือนกรกฎาคมปีนี้)
ดูตามเนื้อผ้า ตอบได้เลยครับว่า ถ้าอ้าง “ความจำเป็น” ผมว่าไม่จำเป็นเลย
เพราะอะไรน่ะหรือ?
ผมว่า หนังเสียเวลาไปค่อนข้างมากกับการเล่นมุกตลกคาเฟ่ รวมไปจนถึงพวกมุกควายๆ ที่ลอกมาจากฟอร์เวิร์ดเมล์ แล้วหนังก็ขยี้ย้ำๆ อยู่นั่นมุกเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง จนทำให้เกิดอาการเฝือและมากเกินไป ซึ่งจริงๆ ผมคิดว่า ถ้าคุณจะเอาผลงานตลกคุณภาพเพียงแค่นี้นะครับ บางที ไม่ต้องถึงมือต้อม-ยุทธเลิศ สิปปภาค หรอกครับ เพราะให้ตลกคาเฟ่สักคนมาทำ อาจจะดูสมน้ำสมเนื้อและสมศักดิ์ศรีของหนังมากกว่า
ลืมกันแล้วหรือว่า ยุทธเลิศ สิปปภาค เคยแสดงหัวคิดในด้านการออกแบบมุกตลกใหม่ๆ ให้เราฮากันมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ อย่างใน มือปืน/โลก/พระ/จัน หรือแม้แต่ในบุปผาภาคหนึ่ง ดังนั้น ไม่น่าเห็นจำเป็นจะต้องไปพึ่งพามุกตลกคาเฟ่หรือมุกควายอะไรพวกนั้นเลย จริงไหม? หรือว่าฝีมือของยุทธเลิศที่เคยเป็นเลิศในด้านตลกจะตกไปแล้วจริงๆ? (แล้วความปากจัดตลกร้ายที่เคยแหลมคมของยุทธเลิศนั่นล่ะหายไปไหนซะแล้ว?)
แต่เอาล่ะ ไม่ว่าหนังจะเล่นมุกตลกตกยุคอะไรก็เถอะ แต่ผลลัพธ์ของมันก็คือ เสียเวลาครับ คือแทนที่หนังจะมีความกระชับและเดินไปข้างหน้า กลับต้องมาเจียดเวลาให้กับมุกตลกที่คนเขาเล่นกันตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อนโน้นแล้ว แถมมุกตลกเหล่านั้น ว่ากันอย่างตรงไปตรงมา ก็ไม่ได้มีส่วนส่งเสริมต่อการดำเนินเนื้อหาเรื่องราวของหนังเลยแม้แต่น้อย ประมาณว่าถ้าไม่มี ก็ไม่เสียหายอะไร
มากไปกว่านั้น ก็คือ การตัดต่อสลับฉากที่ดูเหมือนจะไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสมหรืออารมณ์ของเรื่องราวเลย (ประหนึ่งว่าใส่เข้ามาเพียงเพื่อทำให้หนังมันยาว จะได้ทำต่อเป็นสองภาค เท่านั้นเอง ถูกต้องมั้ย??) อย่างบางจังหวะที่เนื้อเรื่องดูเหมือนจะเริ่มเดินไปข้างหน้าได้ แต่จู่ๆ คุณพี่ก็ตัดสลับข้ามไปข้ามมาเพื่อไปยิงมุกควายเฉยเลย ดูง่ายๆ ครับ ช่วงท้ายๆ เรื่อง ที่คุณค่อม ชวนชื่น เล่นมุกตลกโง่ๆ กับกุมารทอง (อันที่จริง เราควรเรียกว่า “กุมารเฒ่า” น่าจะเข้าท่ากว่านะ หึหึ) เราจะเห็นการกระโดดข้ามไปข้ามมาแบบนี้ของหนังได้ชัดเจนมาก ซึ่งผมเองก็ไม่อยากจะคิดนะครับว่านั่นเป็นเทคนิคการ “ยืด” หนังให้ยาว แต่เมื่อคิดถึงความจำเป็นของฉากเหล่านี้แล้ว มันก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า คุณยุทธเลิศกำลังทำ “เรื่องสั้นๆ” ให้เป็น “เรื่องยาวๆ” โดยไม่จำเป็นหรือเปล่า?
ละครน้ำเน่านั้น ถ้าเรตติ้งดี เพิ่มฉากงี่เง่าเข้ามาอีกสักตอนสองตอนก็พอไหวครับ (ถ้าชาวบ้านยังยินดีจะดูต่อ) แต่กับบุปผาภาคนี้ ฉากตลกโง่ๆ ไม่ได้ทำให้หนังดูดีขึ้นแม้แต่นิดเดียวเลยครับ!!
ผมมองอย่างนี้นะครับว่า เวลาที่หนังทำเสียไปกับมุกควายๆ เหล่านั้น ถ้าขอคืนมาเพื่อใช้เล่าเรื่องให้เป็นเรื่องเป็นราว หนังก็คงจะไม่ยาวถึงขั้นต้องแบ่งเป็นสองตอนก็ได้นะครับ แต่ก็อย่างว่า ถ้านี่เป็นความต้องการของผู้กำกับเขาซะแล้ว ใครรึจะห้ามไหว?
พ้นไปจากนี้ นักแสดงคนใหม่ของหนังผีบุปผาอย่างมาริโอ้ เมาเร่อ (รับบท “หรั่ง”) ก็ยังทำได้ดีอยู่อย่างเดียว คือทำหน้าหล่อๆ ไม่รู้ผมรู้สึกไปเองคนเดียวหรือเปล่านะครับว่า เด็กหนุ่มคนนี้ยังไม่มีพัฒนาการอะไรมากนักในด้านการแสดง ทั้งๆ ที่เข้าวงการมานานพักใหญ่แล้ว สีหน้าแววตาของเขาเวลาเล่นหนังมันดูเรียบๆ ตลอดเวลา คือ ทั้งที่เขากำลังเล่นหนังผีอยู่ แต่ผมไม่ยักกะเห็นสีหน้าท่าทางของเขาจะแสดงความหวาดกลัวอะไรจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง (แต่เอาเถอะ ถ้าหนังจะหาความชอบธรรมให้กับหรั่งว่า ก็เขาเห็นผีมาตั้งแต่เด็ก เขาก็เลยไม่กลัวไง...อย่างงั้นก็ได้ครับ แต่ใครคนไหนรึ จะเชื่อ?)
ส่วนพลอย เฌอมาลย์ นั้นรักษามาตรฐานการแสดงของบทผีบุปผาได้ดีเหมือนที่เคยเป็นมา อย่างไรก็ตาม คนที่ต้องบอกว่า แสดงได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อกลับเป็นนักแสดงโนเนมรุ่นเยาว์อย่าง “น้องพูกัน” (ด.ญ.นัดตะวัน ศักดิ์ศิริ) ที่วาดลวดลายผีเด็กได้เฮี้ยนไม่แพ้ผีบุปผาเลยทีเดียว ขณะที่เมคอัพหน้าตาของน้องเขา (ปากฉีก) ก็ทำได้น่าติดตาตรึงใจ และลุคแบบนี้แหละครับที่จะเป็นเอกลักษณ์รอยจำซึ่งจะทำให้คนดูคิดถึงเธอไปอีกนาน
สรุปเลยครับว่า กล่าวสำหรับบุปผาราตรีภาคนี้ แม้เราจะต้องยอมรับในกึ๋นของผู้กำกับที่เข้าใจคิดค้นสร้างต้นตอรากเหง้าและที่มาของสาวบุปผาก่อนจะมาเป็นผีเฝ้าอพาร์ทเมนต์ ได้เจ๋งพอตัว เช่นเดียวกับเนื้อหาที่เกาะเกี่ยวอยู่กับการทารุณกรรมต่อผู้หญิงและเด็กที่ปูไว้ได้ดีแล้วและคงถูกขยายความให้เด่นชัดขึ้นในภาค 3.2 แต่ในแง่ของวิธีการดำเนินเรื่อง เล่าเรื่อง และการผสมผสานองค์ประกอบต่างๆ เข้าด้วยกัน ผมถือว่า บุปผาราตรีภาคนี้ เป็นภาคที่ด้อยที่สุดในบรรดาผีบุปผาทุกๆ ภาค
มันไม่ใช่แค่ความหลอนที่ลดระดับลงไปเยอะ แต่การปล่อยผีออกมาหลอกก็ดูจะลดเกรดตัวเองลงมาเป็นแค่ผีที่เล่นกับจังหวะและซาวด์ประกอบผ่างๆๆ ไม่ต่างจากผีตุ้งแช่ทั่วๆ ไปที่ถ้าไร้เสียงประกอบตึงๆๆ ก็หมดราคา (ระหว่างหนังผีที่ดูแล้วหลอนหรือขนลุก กับหนังผีที่ดูแล้วตกใจว้ายกรี๊ดนั้น มันคนละเรื่องกันครับ) นั่นยังไม่นับรวมถึงความฮาที่ถ้าไม่ได้มุกควายๆ มาช่วยไว้ ก็คงไม่มีอะไรให้ขำ...
“พี่ๆ สีอะไรโง่ที่สุด” คนหนุ่มบางคนในสำนักงานหนังสือพิมพ์บนถนนพระอาทิตย์ สะกิดแขนนักข่าวรุ่นพี่อย่างมีเลศนัย
“ไม่รุ แล้วสีอะไรล่ะ” เขาคนนั้น ตอบและถามกลับแบบขอไปที
“ก็สีหน้าอย่างพี่ ตอนที่หลงกลไปดูบุปผาราตรี 3.1 มาไง 555 เอิ๊กกกก...”
“?!?!”