xs
xsm
sm
md
lg

“ผกก.เปิงมาง” ยันไม่ผิด ไม่คืนเงิน ซ้ำเรียกเพิ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“เชนทร์” ผกก.หนังเปิงมาง ยันไม่ผิดไม่คืนเงิน "แม่บุญธรรมและแฟนเพชร” ซ้ำเรียกเงินเพิ่มเพื่อจะเอาไปซื้อเครื่องตัดต่อมาให้ตามสัญญาต่อหน้าสื่อ เจ้าตัวโวย เงินที่เอาไปแค่ 2.5 แสน ไม่ใช่ 3 แสน พูดสับสนตอนแรกบอกข่าวมีผลกระทบด้านการงานครอบครัวแตกเมียหนี แต่ตอนหลังบอกไม่มีผลกระทบครอบครัวเข้าใจ ตั้งข้อสังเกตสองแม่ลูกแจ้งความเพราะอยากทำลายชื่อเสียงตนมากกว่า ท้าให้ออกมาชี้แจงพูดความจริง

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ “เชนทร์ ณัฐพีระ ชมศรี” ผู้กำกับหนังเรื่องเปิงมาง ได้ออกมาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา กรณีที่ “นางสุพรรณี สุประการ” และ “อ้อย ธิดารัตน์ อรรถรัตน์” แม่บุญธรรมและแฟนสาวของ “เพชร สรภพ” เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดี ในข้อหาฉ้อโกงเงิน 2.5 แสน ไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา กรณีโอนเงินให้เพื่อไปเปิดบริษัทรับตัดต่อหนัง แต่กลับเชิดเงินหนีติดต่อไม่ได้ ว่าไม่เป็นความจริง ซ้ำยังแฉกลับ “อ้อย” และ แม่ซะเละ ว่าเปิดโมเดลลิ่งเถื่อนรีดเงินลูกค้า จนกลายเป็นเรื่องฉาวกระฉ่อนอยู่ในขณะนี้

ล่าสุด เชนทร์ก็ได้เปิดแถลงข่าวชี้แจงเรื่องนี้อีกครั้งที่ร้านอาหารทำฟัน ย่านวังหิน โดยได้เดินทางมาพร้อมกับทนาย “อัชฌาห์วุฒิ นาคนัตถ์” และ “พินิจ สุทธิเนตร” โค-โปรดิวเซอร์ของหนังเรื่อง “หนูกันต์ภัย ศึกมหายันต์ ยิงกันสนั่นจอ” ที่เจ้าตัวกำลังทำหน้าที่กำกับหนังให้ ทั้งนี้ก่อนที่จะมีการแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจากพีอาร์ว่า ผู้กำกับคนดังจะแถลงข่าวฟ้องเพชรในข้อหาหมิ่นประมาท พร้อมกับยอมคืนเงิน 2.5 แสน ให้กับแม่บุญธรรมและอ้อยแฟนเพชร

แต่ปรากฏว่าจู่ๆ ผู้กำกับคนดังกลับพลิกลิ้นไม่ยอมคืนเงิน อ้างว่าเงินส่วนนั้นตนมีสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง เนื่องจากทำงานให้สองแม่ลูกร่วม 4 เดือน แต่ไม่ได้ค่าจ้างสักบาทเดียว พร้อมกับยื่นข้อเสนอจะคืนให้ก็ต่อเมื่อคู่กรณีโอนเงินมาให้ครบ และจะซื้อคืนเป็นเครื่องตัดต่อแทน ซึ่งผู้กำกับคนดังได้แจกแจงเหตุผลปมขัดแย้งที่ต้องลุกขึ้นมาฟ้องร้อง และแถลงข่าวอีกครั้งว่า...

“เงิน 2.5 แสน เขาโอนมาให้ผมจริง แต่ที่ไม่ได้ซื้อเครื่องตัด ก็เพราะคุณให้เงินผมมาไม่ครบ แล้วผมจะซื้อได้ยังไง เงินนั้นจริงๆ ก็ยังอยู่ครบถ้วนไม่ได้ไปไหน เขาโอนเงินมาให้ผม ผมซื้อได้แต่หน้าจอตัวเดียวสามารถเอามายืนยันได้ ให้ผมไปเอาบิลมาให้ดูได้เลย ทางเจ้าหน้าที่สอบสวนสามารถหาข้อมูลหลักฐานมาให้ผมยืนยันได้ ซึ่งตรงนี้ก็มีแล้วว่าซื้อได้แค่หน้าจอ เพราะอย่างอื่นผมไม่มีความรู้ในเรื่องเครื่องตัด ก็ต้องให้รุ่นพี่คอยดูคอยซื้อให้ แล้วตอนนั้นเขายังมีการบอกด้วย ว่าเชนทร์จะได้ค่าตัวแล้วเชนทร์ออกให้ก่อนสิ ผมต้องออกอีกเหรอเงินแสนนึง”

“คือที่ผมพาเขาไปดูเพราะเขาบอกว่าอยากดูเหลือเกิน ว่าเครื่องตัดต่อมันเป็นยังไง ผมก็พาเขาเข้าไปดูไม่ได้บอกเลยว่าจะซื้อที่นี่ มันเป็นวิธีการของเขาที่ว่ามีปัญหาโมโหกันก็เอาไปยำผมทางนั้นทางนี้มากกว่า ผมไม่เคยบอกว่าผมจะซื้อที่นี่ แล้วที่นั้นก็ไม่ใช่สถานที่ขายเครื่องตัดอยู่แล้วคุณน่าจะคิดได้ ไม่ได้เจตนาจะล่อลวงเขาไปดู เขาเป็นคนออกปากเองให้ผมเอาไปดู โดยปกติแล้วการทำงานแบบนี้ มันไม่มีใครหรอกที่จะต้องพากันไปดูขนาดนั้น ผมก็ยังพาเขาไป หลักความเป็นจริงแล้วคุณจะลงทุนกับผม คุณยังจะต้องให้ผมพาไปดูตรงนั้นตรงนี้อีกเหรอ ผมเห็นว่าเป็นเพื่อนกันก็พาไปดูแล้วไง ถ้าผมมีเจตนาจะโกงคุณจริงๆ ผมจะพาคุณไปหาต้นตอทำไมเพื่อให้คุณตามผมไปได้”

“แล้ววันที่ตกลงกันว่าจะซื้อเครื่องตัดต่อผมได้นัดไว้แล้วว่าเครื่องตัดจะได้วันที่10 ก็คืออีกระยะเวลาเกือบครึ่งเดือน เขาโอนเงินมาให้ผมแค่ 2 วัน หลังจากนั้นผมก็ทำงานหนัก ผมก็เหนื่อยเลยปิดเครื่องเพื่อจะนอน เขาโทรหาผมไม่ติดวันเดียว เขาโทรหาคนโน้นคนนี้ไปทั่วว่าเชนทร์โกงเงินเขา เชนทร์เอาเงินไปแล้วไม่ยอมซื้อเครื่องตัด มันแค่ 2 วันผ่านไปเอง ตรงนี้มีพยานยืนยันได้ว่าเขาโทรไปป่วน โทรไปว่าผมสารพัดแค่ 2 วันผ่านไป เรายังไม่ได้พูดถึงว่าถ้าผมยังไม่ได้ทำงานให้คุณจนครบกำหนด คือถ้าวันที่ 10 ผมยังไม่เอาเครื่องตัดต่อมาให้คุณ คุณก็แจ้งข้อหาผมมาได้เลย คุณมาว่าผมโกงได้เลย แต่นี่มันเหมือนว่าเขาไม่ไว้ใจกันตั้งแต่แรกแล้วมาชวนผมทำธุรกิจทำไม ผมก็เสียหายมาตั้งแต่บัดนั้น ใจผมเริ่มแกว่งแล้วว่าคนแบบนี้จะทำงานด้วยได้ไงวะ แต่ผมก็ยังเก็บ ก็ไม่เป็นไรไม่ว่าก็ยังจะทำงานให้ต่อ”

“มันมาแตกหักกันจริงๆ ตรงที่ว่าผมไม่ยอมรับกับข้อเสนอตรงที่ว่า จะเปิดโรงเรียนสอนการแสดง มีพยานที่สามารถยืนยันได้หลายคนว่ามันหักมาตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งตอนนั้นมันก็ยังไม่ถึงกำหนดส่งเครื่องตัดด้วยนะ คือเขาไม่เคยพูดกับผมมาก่อนว่าจะทำ แล้วอยู่ๆ มาบอกว่าเราจะเปิดโรงเรียนสอนการแสดง เราจะเก็บเด็กคนละ 2 หมื่น แล้วเด็กทุกคนจะได้เล่นหนังของเชนทร์ ผมทุบโต๊ะเลยนะ ผมไม่เห็นด้วย แต่ผมก็ยังพูดกับเขาว่างั้นถ้าจะทำจริงๆ ผมไม่ว่า ก็ไปเชิญอาดวงดาวหรือใครก็ได้ที่เป็นนักแสดงกิตติมศักดิ์มาสอนเด็ก เด็กจะได้ได้ประโยชน์หน่อยกับเงิน 2 หมื่นที่เขาเสียไปเขาก็ไม่เอา จะสอนกันเอง ซึ่งมันเป็นข้อขัดแย้งที่ผมไม่เห็นด้วยอย่างแรง แล้วออฟฟิศยังจะไม่ยอมจดทะเบียนอีก ซึ่งมันเป็นข้อขัดแย้งที่รุนแรงมาก แล้วก็มาเกิดข้อผิดพลาดของเงิน 2.5 แสน หลังจากนั้นมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่เขามาอะไรหลายๆ อย่างมากมาย”

“แล้วอีกข้อนึงเลยที่เป็นประเด็นสำคัญคือ เรายังไม่ได้จะดำเนินการกันเลย งานแรกคุณก็ไม่โปร่งใสแล้ว อันนี้มีบุคคลมาเป็นพยานได้คือหนึ่งออฟฟิศเรายังไม่ทันเปิด เครื่องตัดต่อเรายังไม่ทันซื้อ คุณได้มีการให้ผมติดต่อจัดหานักแสดงชื่อดังพอสมควร แต่ผมยังไม่ขอเปิดเผยตอนนี้ เพื่อเอาไปโชว์ตัวที่กาฬสิน ผมก็ติดต่องานให้ปกติตามหน้าที่ของผมที่ได้รับมอบหมายงานกันมา พอได้โชว์ตัวอะไรกันแล้ว มีการจ่ายเงินกันแล้ว แต่คุณไม่จ่ายค่าตัวคนที่ติดต่อดาราให้ คือจากตรงนี้มันก็เริ่มมาเรื่อยๆ ที่ทำให้ความมั่นใจในการทำงานมันเริ่มลดลงแล้ว”

“คือไม่คิดว่าจะต้องมาเล่นงานกับคนแบบนี้ ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เตรียมการเลยว่าจะต้องมาชี้แจงอะไรให้มันตรงเป๊ะๆ เพราะเราไม่ได้เตรียมการไว้ว่าจะเอาผิดคุณ แต่ในเมื่อมันมีเรื่องเกิดมาแล้วเราก็จะต้องชี้แจง ไม่ว่าจะเอาเหตุผลอะไรมาอ้างว่าผมไม่ได้ติดต่อไป ผมแสดงความบริสุทธิ์กับสื่อมวลชนไปแล้วตั้งแต่วันที่ 6 ถ้าคุณบอกว่าคุณไม่รู้ว่าคุณมีเจตจำนงแล้วคุณมาออกข่าวโต้แย้งผมได้อย่างไร”

บอกที่ต้องลุกขึ้นมาฟ้องและชี้แจงในวันนี้ก็เพราะข่าวที่ออกไปสร้างความเสียหายให้กับตน และมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหลายอย่าง จึงอยากเรียกร้องความยุติธรรมให้ตนเอง
“เรื่องที่มีข่าวว่ารวบจับมันแรงมาก ตำรวจไปเชิญผมมาคุย แล้วที่หาว่าผมไปฉ้อโกง หลังจากที่เราเปิดแถลงข่าวไปเพื่อให้คุณมาเคลียร์เรื่องที่หาว่าผมฉ้อโกงเงิน 2.5 แสน แล้วคุณก็หายเงียบไป จนกระทั่งวันนี้วันที่ 10 แล้ว ผมแถลงข่าวไปตั้งแต่วันที่ 4 (ก.ค.)ซึ่งวันที่ 4 ผมได้ขึ้นโรงพัก และมีการชี้แจงกับทางตำรวจไปแล้ว วันที่ 5 ผมติดถ่ายหนังมันก็เลยต้องยุ่งวุ่นวาย จริงๆ ผมจะแถลงข่าวตั้งแต่วันที่ 5 แล้ว ก็เลยจำเป็นที่จะต้องแถลงในวันถัดมาก็คือวันที่ 6 ซึ่งตอนนี้ผมยังไม่ได้รับการติดต่อจากคู่กรณีมาเลย ผมถึงบอกแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องกรณีเกี่ยวกับเงินหรอก มันเป็นกรณีที่จงใจทำลายชื่อเสียงกัน นี่ 6-7 วันเข้ามาแล้วก็ไม่มีการติดต่อเข้ามาเอาเงินคืน”

“แล้วที่คุณบอกว่าผมเอาไป 3 แสน แต่จริงๆ ผมเอาไปแค่ 2.5 แสน ผมต้องการคืนต่อหน้าสาธารณชน ให้รู้เลยว่ามันไม่ใช่ 3 แสน ผมก็แจ้งไปแล้วให้คุณมาเอาเงินคืนสิ แล้วคุณก็ต้องมาชี้แจงค่าเสียหายทั้งหมดด้วยนะ เพราะคดีหมิ่นประมาทผมเสียชื่อเสียง ทำให้คนอื่นติฉินนินทาผมไปทั่ว มันเป็นกรณีที่เกิดขึ้นจากคุณทั้งสิ้น”

“เขาลงข่าวว่าโอนเงินมาให้ผม 3 แสน ความเป็นจริงเขาเอามาแค่ 2.5 แสน นี่เป็นการตกลงกันแค่สองคน ผมต้องการให้คุณเคลียร์ ว่าเงิน 3 แสนที่ลงข่าวไปในหลายฉบับมันคืออะไร นี่คือแจ้งความเท็จแล้วนะ คุณอย่ามาพูดหลักฐานมันก็มี ในเมื่อคุณโอนเงินมาให้เท่าไหร่ เราตกลงกันไว้ว่าผมจะทำงานให้คุณจนเสร็จลุล่วงตามป้าหมาย ถ้าคุณผิดสัญญาเองผมไม่สามารถทำงานให้คุณ ลุล่วงตามเป้าหมายได้ เพราะคุณทำผิดสัญญาตรงนี้ มันก็ไม่มีความชัดเจน”

“ฉะนั้นวันนี้สิ่งที่ต้องการเรียกร้องก็คือ ขอให้เขาเข้ามาเคลียร์ทุกอย่าง ให้ชัดเจนต่อหน้าผม หรือตรงไหนก็ได้ แต่ขอให้มันชัดเจนและถูกต้อง และขอให้พูดกันในเรื่องของคดีความเท่านั้น ผมไม่เคยไปพาดพิงถึงอะไรทั้งสิ้น ผมแค่พูดว่าเราเดือดร้อนตรงไหน ผมเดือดร้อนตรงไหน คุณเดือดร้อนตรงไหนคุณก็ว่ามา ผมเดือดร้อนตรงไหนเสียหายตรงไหนผมก็จะว่าไป”

ด้านทนายออกตัวชี้แจงเรื่องที่ผู้กำกับเชนทร์ถูกออหมายจับก็เพราะว่ามีคู่กรณีแจ้งความ ซึ่งตอนนี้เป็นแค่ผู้ถูกกล่าวหา แต่ยังไม่ได้ตัดสินว่าทำความผิด
ทนาย “แล้วผมก็จะขอชี้แจงในส่วนที่ว่าเพราะอะไรถึงมีหมายจับออกมา ที่มีหมายจับไม่ใช่ในฐานะที่ว่าคุณเชนทร์เป็นคนกระทำความผิดเพียงแต่เป็นแค่ขั้นตอนของพนักงานสอบสวนเท่านั้น ที่ว่าหลังจากที่มีคนมาแจ้งข้อกล่าวหาแล้วจะต้องออกหมายเรียกให้กับฝ่ายคู่กรณีเข้ามาแก้ข้อกล่าวหาอีกที แล้วก็ต่อสู้คดี เพียงแต่ว่าหมายที่ทางพนักงานบังคับคดีส่งไปส่งไปที่บ้านที่อยู่ที่ชลบุรี มันจึงเป็นเหตุให้ว่าต่อมามีการออกหมายจับแล้วก็เชิญตัวคุณเชนทร์มาให้การ”

“จะมีอีกส่วนนึงในเรื่องของการประกันตัว คือบางทีทางชาวบ้านอาจจะไม่ทราบว่ากรณีที่มีการประกันตัว ตอนนี้มันไม่ใช่ว่าทางคุณเชนทร์เป็นคนกระทำความผิดแล้วถึงต้องมีการประกันตัวออกมา อีกส่วนนึงมันก็เป็นเรื่องของขั้นตอนตามกฎหมายเพราะถ้าเกิดว่าเราไม่ได้รับหมาย แล้วมีการออกหมายจับมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปถ้าเราเข้าไปให้การต่อสู้คดี เราก็ต้องทำเรื่องประกันตัวเพราะว่าขั้นตอนนี้มันเป็นขั้นตอนของกฏหมายอยู่แล้ว ถ้าเกิดเป็นกรณีที่ว่าได้รับหมาย เราได้รับหมายแล้วเราเข้าไปให้การต่อสู้คดีเลยตรงนั้นก็อาจจะไม่ต้องมีการประกันตัว”

“ส่วนกรณีที่ว่าหลังจากที่มีการออกหมายจับ ตอนนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการสืบสวนสอบสวนของพนักงานตำรวจ ซึ่งทางคุณเชนทร์ จะเป็นผู้กระทำผิดจริงหรือไม่ ตรงนี้ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ ในส่วนของเราก็มีส่วนที่เสียหายเกิดขึ้นเหมือนกัน ตรงที่เขาพยายามออกไปให้ข่าว ในการทำลายชื่อเสียง หลังจากที่มีการแถลงข่าวออกไป เราก็มีพยานว่าเงินเราพร้อมที่จะคืนให้อยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ติดต่ออะไรมาทั้งสิ้น ซึ่งปกติแล้วความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกง มันเป็นความผิดส่วนตัว ถ้าเกิดว่าเจตนาที่จะเอาเงินคืน ให้เข้ามาติดต่อเข้ามาเจรจากันตรงนี้ก็สามารถจบได้"






ทั้งนี้ผู้กำกับคนดังยังบอกอีกว่า ปัญหาที่ไม่ได้เคลียร์กันให้จบที่โรงพักตั้งแต่วันที่ถูกเชิญตัว เพราะอยากให้มีการเคลียร์ผ่านสื่อมากกว่า แต่ปรากฎว่ากลับมีข่าวแต่ของทางคู่กรณี
“เคลียร์ทีโรงพักมันก็ได้ แต่มันก็คือไม่ทางสื่อไง เพราะเขาได้ประกาศทางสื่อ ผมก็ต้องการให้ชี้แจงทางสื่อเหมือนกัน ก็วันนั้นสื่อก็ไปแต่ทางโน้น(คู่กรณี) จึงไม่ได้มีการชี้แจงทางนี้ ผมเข้าใจว่าสื่อสามารถไปได้ทุกที่ แล้วก็ผมก็สามารถไปชี้แจงได้ทุกที่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเชิญผมไปชี้แจงต่อหน้าเขา หรือว่าจะที่ไหนผมก็ไป”

ปัดที่จะติดต่อกลับคู่กรณี บอกอีกฝ่ายต้องเป็นคนติดต่อมาเอง เพราะถือว่าตนได้ประกาศเจตนาออกสื่อไปแล้ว
“ผมไม่จำเป็นต้องติดต่อไปหาเขานี่ครับ เขาดำเนินการกับผมแล้ว จริงๆ ก็ให้ตำรวจติดต่อมาเลย วันไหนยังไงก็ว่ากันมาสิ ผมได้ออกสื่อไปแล้วนะว่าให้มาชี้แจง แล้วทำไมคุณถึงเลือกที่จะไปให้ข่าวกับนักข่าวมากกว่าที่จะมาชี้แจงกับผม เพราะผมเองก็พร้อมที่จะชี้แจงกับคุณอยู่แล้วตั้งหลายวัน มันหมายความว่ายังไงช่วยชี้แจงตรงนี้ด้วย คุณประกาศเองว่าเอาเงินมาคืนก็จบ ผมก็แสดงเจตนา แล้วว่าผมจะเอาเงินมาคืนให้ต่อเมื่อคุณมาชี้แจงว่าที่มันเป็นอย่างนี้เพราะอะไร เพราะอะไรที่คุณมาทำลายผมอย่างนี้”

“ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นคุณเดือดร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะผมเอาเงินไปแล้วไม่เอาเงินมาคืน แต่คุณต้องเคลียร์กับนักข่าวว่าคุณเอาเงินมาให้ผมเท่าไหร่กันแน่ เข้าใจมั้ยตรงนี้คือสิ่งที่ผมเดือดร้อน ก็ต้องฟังกันด้วย ผมเป็นคนทำงานเบื้องหลัง บางทีงานผมก็ยุ่งพอสมควรเหมือนกัน ผมไม่ใช่คนว่างงานนะ ผมเห็นใจพี่ๆ นักข่าวทุกคน ที่จะต้องไปตามแถลงข่าวที่นั่นที่นี่ ทำไมไม่รวมกันแล้วชี้แจง พร้อมกันเลยก็ได้ ตรงนี้คือสิ่งที่ผมจับใจความ”

บอกสาเหตุที่เลือกมาคืนเงินวันนี้เพราะต้องการเรียกศักดิ์ศรีคืน และหากตนคืนเงินไปก่อนอาจจะเป็นการเสียเปรียบเท่ากับตนไม่ได้อะไรเลย ส่วนที่ไม่เอาเงินคืนตั้งแต่ทีแรกเนื่องจากอยากให้สื่อมวลชนและทุกคนทราบความจริง แจงไม่ทราบมาก่อนว่าเก็บเงินไว้จัดเข้าข่ายว่าฉ้อโกง

เชนทร์ “ก็ผมถึงบอกไงว่ามันไม่ใช่ที่เรื่องของเงิน มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี ถ้าผมจะคืนเงินให้ไปตั้งแต่วันแรกผมเสียเปรียบ ผมได้อะไรครับกับการที่ผมทำงานไป 4 เดือนผมได้อะไร ผมถูกคุณล่อลวงไปเปิดออฟฟิศแล้วใช้เครดิตผมหากิน 4 เดือนกว่า ผมถามว่าถ้าคุณต้องมาทำงานให้คนอื่น 4 เดือนแล้วคุณจะไปเก็บตรงนี้เอาไว้เลยเหรอเพื่อให้เขามาชี้แจงในส่วนค่าเสียหายของผมบ้าง ถ้าผมคืนเขาไปหมดแล้ว ผมจะเหลืออะไรครับ 4 เดือนที่ผมเหนื่อยมา 4 เดือนที่ผมเอาน้องๆ ทีมงานเข้าไปทำงาน ผมได้อะไร แล้วผมต้องมาเสียชื่อเสียงตรงนี้อีก แล้วลูกเมียผมต้องหนีผมไป เพราะคุณมาทำลายตรงนี้ผม ผมจะได้อะไร”

“4 เดือนที่ผ่านมาไม่ได้รับค่าจ้างเลยทั้งสิ้น มันเป็นการตกลงกันไว้ด้วยการทำธุรกรรมร่วมกันเป็นการร่วมหุ้นโอเคผมไม่ว่า แต่ในเมื่อพอมันถึงเวลาที่ทุกอย่างมันพลิกไปในทางที่ไม่ดี มันเป็นเพราะผมผิดสัญญาเหรอ มันเป็นเพราะคุณทำไม่ถูกต้อง ผมผิดเหรอ แล้วคุณก็มาโจมตีผมอย่างนี้มนุษยธรรมมีกันบ้างรึเปล่า ผมถึงบอกว่าผมสามารถชี้แจงได้ทั้งหมด ครอบครัวผมพัง การงานผมพัง เพราะผมหวังดีที่จะทำธุรกิจให้คุณ นี่ผมผิดรึเปล่าครับ”

“ถ้าไม่มีเรื่องทุกคนก็จะไม่รู้ความจริง เพราะเขาต้องการมีเรื่องอยู่แล้วไง สุดท้ายผมไปนั่งคืนเงินกันโดยที่ให้สื่อประโคมข่าวทางเขาฝ่ายเดียว ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน เพราะเราเองก็พร้อมที่จะคืนเงินอยู่แล้ว แล้วผมก็ไม่เคยทราบเลยว่าที่ผมเก็บเงินไว้จะเจอข้อหาฉ้อโกง มาทราบทีหลังตอนที่เขาแจ้งความแล้ว ที่เก็บเอาไว้เพราะรู้สึกว่าเราไม่ได้รับความยุติธรรมแค่นั้นเอง สาเหตุที่เก็บเงินไว้เพื่อที่ต้องการให้คุณมาชี้แจ้งความยุติธรรมกับเราตรงนั้น”

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่บอกว่าเป็นการร่วมลงทุนกัน แล้วจะมาหักค่าจ้างได้อย่างไร? ผู้กำกับคนดังรีบแย้งว่า...
“ใช่ครับจริงอยู่ว่าเราตกลงกันว่าคุณลงทุน ผมลงแรง แต่นั่นหมายความว่าธุรกิจต้องดำเนินไปโดยใสสะอาด แล้วมีผลกำไรมาแล้ว ผมก็จะต้องได้ผมประโยชน์ถูกไหม แต่ว่าการลงแรงของผมทั้งหมด 4 เดือนที่ผ่านมา ผมก็ต้องหวังที่จะได้ผมประโยชน์ ได้ผลกำไรจากตรงนั้น ผมถึงลงแรง เขาหวังผลกำไรเขาถึงลงเงิน แต่ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มีการทำธุรกิจที่เกิดผลกำไรขึ้นมา ใครเสียหาย เพราะผมก็ลงแรงมา 4 เดือนเหมือนกัน มันเป็นการที่หวังผลกำไรด้วยกันทั้งคู่ ณ เมื่องานสำเร็จลุล่วงแล้ว ได้กำไรแล้ว แต่เมื่องานดำเนินมาผมเสียแรง คุณเสียเงินแล้วงานมันสะดุดเพราะคุณ แล้วที่ผ่านมาผมทำแล้วได้อะไรครับ”

กลับคำพูด จะไม่ยอมคืนเงินสด 2.5 แสน ที่ซื้อการ์ดจอไปแล้วให้กับคู่กรณี ทั้งยังเล่นแง่ หากจะให้คืนต้องโอนเงินส่วนที่ต้องใช้ซื้อเครื่องตัดต่อมาให้ตนให้ครบต่อหน้าสื่อมวลชนก่อน ส่วนอื่นกรณีอื่นๆ ค่อยว่ากันอีกที

“ผมไม่คืนเงินอยู่แล้ว เพราะในเมื่อคุณสั่งให้ผมเอาเงิน 2.5 แสนมาดำเนินการ ผมได้มีการติดต่อซื้อเครื่องตัดต่อจากพรรคพวกเพื่อนฝูงในวงการ ผมก็อายเป็นเหมือนกันที่จู่ๆ จะมาบอกว่าไม่เอาแล้ว ไม่ซื้อแล้ว ไม่ทำแล้ว ทุกคนในวงการรู้หมดว่าผมกำลังจะเปิดบริษัท แล้วอีกอย่างเงิน 2.5 แสนที่ซื้อเครื่องตัดต่อผมมีสิทธิ์ในส่วนตรงนั้น 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะว่ามันเป็นการลงทุนร่วมกัน มีการติดต่อพูดคุยกันไว้ตั้งแต่แรก ว่าถ้าผมทำเครื่องตัดต่อทุกอย่างจะต้องรับผิดชอบกันคนละครึ่งนะ 3.7 แสน ตรงนี้ครึ่งนึง ของมันเป็นสิทธิ์ของผมไม่อย่างนั้นผมจะทำงานให้คุณฟรี ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้”

“เอาเงินคืนมันก็ยังไม่แสดงเจตนานะว่าผมถูกต้อง แต่ให้คุณเอาเงินมาให้ผมดีกว่าเพราะเราคุยกันไว้แล้วไงว่าจะซื้อเครื่องตัด เอาเงินมาให้ครบแล้วผมจะซื้อเครื่องตัดมาวางกองกับสื่อมวลชนเลย ถ้าคุณเอาเงินคืนไปก็เท่ากับว่าผมผิดสิ ชี้แจงมาว่าคุณจะเอายังไงเพราะผมก็มีสิทธิ์อยู่ 50 เหมือนกัน ในเมื่อคุณบอกว่าคุณโอนเงินมา3 แสนก็เอาหลักฐานออกมาดูหน่อยว่าจริงรึเปล่า ผมก็จะเอาเงินมาวางให้ดูว่าตรงนี้ยังมีอยู่ แม้กระทั้งว่าผมซื้อหน้าจอไปแล้วก็ตาม ผมเอาไว้เองก็ได้แต่คุณเอาเงินมาให้ครบ ผมจะไปซื้อมาให้เลยเครื่องตัดต่อ ถ้าเขาต้องการให้เอาเงินมาคืนผมก็พร้อม แต่ต้องชี้แจงต่อหน้าสื่อมวลชนด้วย ว่าตกลงใครเป็นคนออกข่าวกันแน่ ว่าโอนเงินมาให้ผม 3 แสน”

“มันมีผลประโยชน์อยู่ในนั้นร่วมกัน แล้วอยู่ๆ ผมจะมานั่งเสียเปรียบคืนเงินให้คุณไปทั้งหมด โดยที่ผมทำงานให้คุณเป็นเวลา 4 เดือนแล้วผมก็ว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับผมเหมือนกัน หลังจากนั้นเขาก็มีโทรมา แต่คือมันเหมือนไม่ถูกกันไปแล้ว เขาบอกว่าเลยไปคุยกันที่สน.ดีกว่าผมก็ยังบอกว่าคุยกันในชั้นศาลดีกว่า คุณแจ้งความจับผมได้เลย ผมต้องการสู้”

เชนทร์มั่นใจที่คู่กรณีแจ้งความจับ ไม่ได้ต้องการเงินคืน แต่เพราะแค้นที่ไม่สานต่อความฝันเปิดบริษัทให้สำเร็จ ก็อยากทำลายชื่อเสียงกันมากกว่า
เชน “คือเขาโอนเงินมาให้ผม 2 เดือนได้ก่อนที่จะมีเรื่องมีราวกัน ซึ่งจะบอกว่าถ้าผมโกงคุณจริงๆ คุณต้องแจ้งความตั้งแต่แรกแล้ว ผมถึงบอกว่ากรณีนี้มันไม่ใช่กรณีเรื่องของเงินหรอก มันเป็นเรื่องของการทำลายกันเพราะว่าผมไม่ทำธุรกิจร่วมกับเขา มันเหมือนไปดับฝันของเขา ไปทำลายทุกอย่างของเขาเลยนะ เพราะว่าผมไม่ได้ทำลายคุณด้วยเจตนา แต่ถ้าคุณทำสิ่งที่ถูกต้องผมช่วยเสิร์ฟคุณได้เต็มที่ เราเป็นเพื่อนกันมาก่อน เรามีความสัมพันธ์กันมาก่อนมันก็เลยต้องมีกรณีแบบนี้ขึ้นมาบ้าง คุณเล่นเกมผมก็เล่นเกมเป็นเหมือนกัน แต่ต้องถูกต้อง”

“คือในลักษณะของการเข้ามาเป็นหุ้นส่วนกัน มีการไปดำเนินการจนมีรายได้เข้ามาตรงนี้ก็มีผลผูกพันแล้ว ตามกฏหมายก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องทำเป็นหนังสือเสมอไปนอกจากว่าจะมาจัดตั้งทำเป็นนิติบุคคลอีกทีนึง ก็หมายถึงว่าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนสามัญธรรมดามันก็คือผู้ที่ลงหุ้นตั้งแต่ 2 คนเข้ามาดำเนินกิจการร่วมกันแล้วก็ได้รายได้แล้วก็มาแบ่งผลกำไรกัน ตรงนี้ก็คือจบ แล้วที่ยังไม่เคยตกลงในรูปแบบของสัญญาเพราะว่าบริษัทยังไม่มีการจดทะเบียน ผมก็เลยไม่กล้าที่จะไปจดไปเซ็นสัญญาอะไรทั้งสิ้น”

สอบถามทางทนายว่าในเมื่อคู่กรณีไม่มีการเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรจะสามารถฟ้องร้องในข้อหาล่อลวงได้หรือ? ทนายชี้แจงว่า แม้เป็นแค่การพูดคุยปากเปล่า แต่ว่าในเรื่องของกฎหมาย มันก็มีผลทางกฎหมายอยู่แล้ว เพราะมันทำให้เกิดการร่วมทุน แล้วมีการดำเนินงานร่วมกันเกิดขึ้นแล้ว เหมือนเป็นการรับผิดชอบกันคนละครึ่ง

ทนาย “คือเริ่มต้นมีลักษณะเป็นหุ้นส่วนกันในการที่จะทำธุรกิจ เพียงแต่ว่าในขั้นตอนช่วงในการเตรียมงาน 4 เดือนที่ผ่านมาก็ยังไม่มีการจัดตั้งบริษัทให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา แต่ว่างานทางฝ่ายคุณเชนทร์ได้เข้าไปดำเนินการตรงนี้มาแล้ว ซึ่งในส่วนตรงนี้มีข้อที่ตกลงกันว่าทางฝ่ายเขาจะเป็นคนจ่ายเงินซื้ออุปกรณ์ในส่วนของเครื่องตัดต่อ แต่ว่าจ่ายมาไม่ครบ มันก็เลยเป็นปัญหาว่าทำไมถึงไม่สามารถซื้อเครื่องตัดต่อได้ เราก็เลยไปซื้อในส่วนของหน้าจอมาก่อน”

“ในส่วนของการล่อลวงตรงนี้คือโดยหลักแล้วมันไม่ได้ เพราะว่าตอนที่เริ่มทำธุรกิจกันมันเป็นลักษณะของบุคคลโดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะทำร่วมกันเป็นหุ้นส่วน ซึ่งมันไม่จำเป็นที่จะต้องมีหลักฐานหรือว่าสัญญาก็ได้ นอกจากว่าจะมาจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลกันในภายหลังอีกที ถ้าเกิดว่าคนสองคนตกลงจะทำธุรกิจร่วมกันไปดำเนินธุรกิจแล้วก็แบ่งรายได้ด้วยกันตรงนี้ก็คือว่าสมบูรณ์แล้ว แล้วนั่นก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเรายังไม่ยอมคืนเงินเขาเพราะว่าในส่วนของการที่ตกลงเขาจะเป็นคนจ่ายทุนแล้วเราเป็นคนลงแรง คือมันมีการทำในลักษณะของสัญญาหุ้นส่วนเรียบร้อยแล้ว สัญญาตรงนี้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือแต่มันก็มีผลทางกฎหมายแล้ว แม้จะเป็นแค่การคุยกันก็ตามเพราะว่ามันเริ่มดำเนินการแล้วก็มีการกระทำในงานนั้นจริงๆ แล้ว”

ทั้งยังลั่นไม่ต้องการคำขอโทษจากฝ่ายคู่กรณีแต่อย่างใด
เชนทร์ “คำขอโทษจำเป็นด้วยเหรอในเมื่อคุณทำลงไปแล้วในขณะที่คุณไม่คิดอะไรเลย คุณจะมาขอโทษตอนนี้มันก็ไม่เป็นประโยชน์หรอกแค่คำสั้นๆ 2 คำ ชี้แจงรายละเอียดให้ชัดเจนต่อหน้าสื่อมวลชนผมก็พอใจแล้ว ว่าคุณออกมาให้ข่าวแบบนี้เพราะอะไรยังไง คำขอโทษมันไม่สำคัญเลย คนเราถ้าจะขอโทษกันคิดตั้งแต่แรกดีกว่าว่าอย่าทำเลย”

พร้อมเผยเตรียมการดำเนินคดีกับเพชรและอ้อยในข้อหาหมิ่นประมาท แจ้งความเท็จ ส่วนเรื่องจะเรียกค่าเสียหายนั้นตนของดูอีกที

เชน “ผมจะดำเนินคดีกับเพชรผมจะเอาเรื่องครับ เพราะว่าตามพฤตินัยหรือว่าตามหลักฐานแล้วผมไม่ได้ลงทุนกับเขา เขาจะมาแจ้งความจับผมได้ยังไง คนที่ควรจะออกมาคือคุณธิดารัตน์ อรรถรัตน์ไม่ใช่ เพชร สรภพ แต่ถึงเขาจะสามารถทำได้ แต่ผมก็สามารถที่จะโต้แย้งได้ ว่าผมไม่ได้ทำธุรกิจกับคุณ เป็นสิทธิของผมเหมือนกัน ประชาชนทุกคนมีสิทธิเท้าเทียมกัน เขามีสิทธิตรงนี้ผมก็มีสิทธิตรงนี้ ซึ่งตามขั้นตอนของกฎหมาย รอกันหน่อยสิ อยู่ๆ คุณก็ทะลึ่งพรวดเขามาชี้ผมได้ยังไงในเมื่อ คุณเพชร สรภพ ไม่ใช่คู่กรณีของผมนะ”

“บอกไว้เลยผมฟ้องแน่ แต่จะด้วยคดีใดนั้นผมยังไม่บอก ขออุบไว้ก่อนอย่างน้อยก็ต้องมีหมิ่นประมาท ต้องการให้ฟ้องเพื่อให้เขารับผิดชอบในสิ่งที่เขากระทำ เพื่อให้คุณออกมาชี้แจงแล้วคุณต้องรับด้วย ว่าอยู่ๆ คุณมาแจ้งความผมโดยที่ผมไม่ได้ทำธุรกรรมร่วมกับคุณมันคืออะไร ถึงเขาจะเป็นอะไรกันมาก็แล้วแต่ แต่เราพูดถึงการที่เราคุยกันไว้ตั้งแต่แรก ว่าผมติดต่อลงทุนกับใครผมรู้ดี ตัวเพชรเขาก็รู้ดีว่าเขาไม่ได้ลงทุนกับผม”

“ผมจะฟ้องทั้งเพชรแล้วก็คุณธิดารัตน์ด้วย ในเรื่องของการหมิ่นประมาท แจ้งความเท็จ ส่วนเรื่องความเสียหายคุณก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะบอกตรงๆ ผมไม่ได้เป็นคนทำผิดสัญญาทำให้ธุรกิจตรงนั้นล้มเหลว จะเรียกเป็นเงินเป็นทองด้วยไหมตรงนี้ผมขอดูอีกที เรื่องเงินทองไม่ใช่ประเด็นบางทีผมยังถามตัวเองเลย ว่าได้เงินมาแล้วผมจะเอาไปทำอะไร ผมต้องการศักดิ์ศรี ผมต้องการจรรยาบรรณของคนทำหนังคืนมา ว่าคุณทำแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่เคยคิดหรอกว่าจะเรียกร้องคุณมาเป็นเงินทอง ผมเรียกร้องให้คุณออกมารับผิดชอบ แล้วให้คุณออกมาชี้แจงมากกว่า ว่าสิ่งที่คุณทำคืออะไร ผมไม่อยากได้เงินคุณเลยจริงๆ”

“ส่วนเรื่องที่ผมจะเสียหายอะไรบ้างนั้นไม่บอก ไม่อยากบอก มันประเมินเป็นมูลค่าไม่ได้หรอก เพราะผมไม่ได้อยากจะได้ตรงนี้มาตั้งแต่แรก ความต้องการของผมคือตอนนี้ไม่ต้องการที่จะนั่งทำลายอะไรคุณหรอก จะฟ้องเรียกเงินคุณเป็นล้านผมจะเอาไปทำไม ผมต้องการความชัดเจนมากกว่า”

ทนาย “ในส่วนของขั้นตอนที่จะดำเนินคดีทางฝ่ายเราอยู่ในระหว่างการรวบรวมหลักฐานตรงนี้อยู่ แล้วก็ยังดูท่าทีของฝ่ายนั้นด้วยว่าจะตกลงเข้ามาเจรจากับเราไหม คงต้องขอสงวนไว้ก่อนเพราะว่าเขายังคงให้ข่าวอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด”

ยันที่ออกมาแถลงข่าวอีกครั้งมีเจตนาแอบแฝงโฆษณาภาพยนตร์ของตนด้วย พูดจาสับสนตอนแรกบอกข่าวนี้มีผลกระทบกับหน้าที่การงานและครอบครัว แต่ตอนหลังบอกไม่มี
เชนทร์ “ไม่ได้ต้องการโฆษณาแฝงแต่ตั้งใจเต็มที่ เพราะว่าไหนๆ ก็ออกสื่อแล้ว คราวที่แล้วผมก็ออกไปแล้วเรื่องกรณีพิพาทตรงนี้ ตอนนี้ก็ออกมาชี้แจงว่าให้มาเอาเงินคืนนะ ตอนนี้ผมกำลังทำอะไรอยู่ คุณก็น่าจะเห็น มีเรื่องอะไรตั้งนานไม่มีเรื่องตรงนี้ออกมา พอผมเปิดกล้องถ่ายหนังขึ้นมาก็มาเป็นเรื่อง บอกให้มาเอาเงินคืนคุณก็ไม่เอา 6 วันแล้วคุณก็ไม่ติดต่อมา จะบอกว่าจังหวะมันเหมาะเกินไปไหม”

“คือเขาต้องการทำลายชื่อเสียงผม คงไม่เกี่ยวกับหนัง ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะทราบไหมว่าผมกำลังจะมีงาน แต่ผมรู้ว่าเขาทาบว่าผมทำงานอะไร แล้วผมก็มีหนังที่ผมกำลังทำอยู่”

“ที่เสียหายอย่างชัดเจนเลยคือหนึ่ง ชื่อเสียงผมสองคืองานที่ผมติดต่อไว้ ณ ตอนนั้นที่กำลังจะทำ แล้วก็ไม่ได้ทำเพราะว่าผมได้ใช้ปากของผมพูดไปต่อๆๆกับเพื่อนๆพี่ๆที่อยู่ในวงการด้วยกัน ว่าผมเปิดออฟฟิศนะ เอางานเข้ามาเลย ซึ่งไม่สามารถดำเนินการให้เขาต่อได้เพราะออฟฟิศไม่ได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย เสียหายนะ ทีมงานเข้าไปทำงานมาแล้ว เพื่อที่จะทำงานให้คุณแต่ไม่สามารถวางบิลได้”

ส่วนข่าวที่ออกมาก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับตัวผม หนังผมก็ยังถ่ายต่อเรื่องต่อไปผมก็ยังถ่ายต่อด้วยแต่แค่ต้องการชี้แจงในฐานะผู้ชายคนนึงและคนที่ทำงานในวงการ ชื่อและนามสกุลของผมเสียหาย พ่อแม่ผมนั่งร้อนก้นอยู่ไม่ติดเสียหาย เรื่องผลของการงานผมไม่เอามาเป็นประเด็น ผมก็ยังทำงานของผมอยู่ตลอดเวลาเรื่อยๆ ครอบครัวก็ไม่มีปัญหานะ แต่ก็นิดนึงคนอื่นไม่รู้ คนอื่นไม่ทราบว่าครอบครัวของผมเป็นยังไง นามสกุลของผมยังไง คือคุณต้องชี้แจงไง”

“ความต้องการของผมในวันนี้คืออยากได้ความเป็นกลางและความเป็นธรรมอย่างชัดเจน ไม่ต้องการให้ใครมานั่งซักไซ้ผม ต้องให้ผมมานั่งพูดอะไรเยอะแยะมากมายซึ่งมันไม่เกี่ยวกับคดี สรุปก็คือติดต่อมาซะ แล้วก็มาชี้แจงซะมาพูดมาว่ากันตรงๆด้วยเหตุผลด้วยเรื่องจริง พร้อมเอาเงินคืนแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะคืนกันง่ายๆ จะให้โอเคลงตัวผมต้องได้ศักดิ์ศรีของผมคืนมาในเงินก้อนนี้ ต้องเคลียร์ให้ผมโปร่งใสให้ได้ ต้องเคลียร์ให้ได้ว่าผมไม่ได้ฉ้อโกงคุณ”

หลังจากเสร็จสิ้นการแถลงข่าวแล้ว ทางด้านประธานบริหารบริษัทโอมมหารวยก็ได้ออกมาชี้แจงถึงเรื่องราวที่โรงพักว่ามีคนชื่อดำที่เป็นเพื่อนของเชนทร์ได้ไปมีปากเสียงกับผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ชื่อดังไทยรัฐ ซึ่งก็ชี้แจงว่าไม่ใช่คนของบริษัทตน แต่เป็นแค่เพื่อนของเชนทร์ที่เกิดโมโหบันดาลโทสะขึ้นมาส่วนตัว ด้านเชนทร์ก็ออกปากขอโทษสื่อมวลชนแทนเพื่อน พร้อมชี้แจงเพื่อแค่ต้องการปกป้องเพื่อน ด้านสื่อมวลชนที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่ดำอาละวาด ชี้แจงถึงเรื่องราวดังกล่าวว่า ดำไปชี้มือกราดด่า ซึ่งตนก็ทำตามหน้าที่ของสื่อมวลชน ซึ่งทางด้านสื่อมวลชนเองก็ได้เก็บภาพไว้ทุกอย่างจะมาแก้ลำว่าไม่ได้พูดอะไรไม่ได้



กำลังโหลดความคิดเห็น