xs
xsm
sm
md
lg

ผกก.เปิงมาง ซัดแม่-แฟน “เพชร” โกหก ก่อนแฉเละพร้อมลั่นฟ้องกลับแน่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้กำกับหนังเปิงมาง ซัดกลับแม่บุญธรรมและแฟน “เพชร” โกหก โต้ไม่ได้โกงเงิน พร้อมปฏิเสธส่งแมสเสจขู่ฆ่า บอกมุกตื้นๆ พร้อมเตรียมฟ้องกลับหลายข้อหาหนัก ประกาศงานนี้ไม่มีไกล่เกลี่ย ก่อนแฉเละคู่กรณีเปิดโมเดลลิ่งเถื่อนรีดเงินลูกค้า

โอละพ่อซะแล้ว สำหรับกรณีที่ “นางสุพรรณี สุประการ” และ “อ้อย ธิดารัตน์ อรรถรัตน์” แฟนสาวของเพชรได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ “เชนทร์ ณัฐพีระ ชมศรี” ผู้กำกับหนังเปิงมาง เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ในข้อหาฉ้อโกงเงิน 2.5 แสน หลังให้เงินไปเพื่อเปิดบริษัทหนังเพื่อรับตัดต่อหนัง แต่กลับเชิดเงินหนีหายไปติดต่อไม่ได้

กระทั่งเมื่อคืนของวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา ทั้งเพชรและแฟนสาว พร้อมด้วยแม่บุญธรรม ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่า สามารถจับกุมตัวผู้กำกับหนุ่มได้แล้ว จึงได้เดินทางไปที่ สน.ลาดพร้าว แต่ปรากฏว่า เกิดเหตุการณ์ชลุมุนขึ้น เมื่อเพชรเข้าไปชี้ตัวเชนทร์ตามที่เจ้าหน้าที่สั่ง แต่เชนทร์เกิดไม่พอใจโวยวาย ไล่ไม่ให้ยุ่ง เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเพชร พร้อมกับปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ โดยบอกว่าจะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกที

ล่าสุด ช่วงบ่ายของวันนี้ (6) เชนทร์ผู้กำกับเปิงมาง ก็ได้เปิดให้สัมภาษณ์ที่บริษัทหนัง “โอมมหารวย” ย่านรามคำแหง ซึ่งงานนี้เชนทร์ถึงกับเหลืออด แฉกลับสองแม่ลูกซะเละ ว่า เคยเปิดโมเดลลิ่งเถื่อน เรียกเก็บเงินกับลูกค้าแล้วไม่หางานให้ ส่วนเรื่องเชิดเงิน 2.5 แสนบาท ยอมรับว่า รับมาจริง แต่ที่ยังไม่ได้ซื้อเครื่องตัดต่อ ก็เพราะว่าเงินที่โอนมาให้ไม่พอ โต้แหลกไม่ได้ปิดเครื่องหนี สวนกลับจะคืนเงินให้ แต่คู่กรณีต้องจ่ายค่าจ้างที่ทำงานให้ร่วม 4 เดือนมาด้วย และที่แม่กับอ้อย บอกว่า ตนเป็นคนขอร้องให้เปิดบริษัทให้นั้น จริงๆ แล้วตนเป็นฝ่ายถูกตื๊อถูกอ้อนวอนต่างหาก

โดยการแถลงข่าวในครั้งนี้มี “ตุ้ม พุชงค์ สิริธัญผล” ประธานบริษัทโอมมหารวย ที่เชนทร์กำลังจะกำกับหนังเรื่อง “หนูกันต์ภัย ศึกมหายันต์ ยิงกันสะนั่นจอ” พร้อมด้วยพยานอีก 2 คน คือ “ตั้ม ธินภัทร บำเพ็ญ” และ “นริศรา ศรีสรรค์” ที่ยืนยันได้ว่า ในข้อตกลงต้องจ่ายสองหมื่น เพื่อแลกกับการจะได้เล่นหนังที่เชนจะกำกับจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้กำกับเชนทร์ไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้น

“อ้อยเป็นเพื่อนของผมที่รู้จักกันมาเมื่อสี่ห้าปีที่แล้ว รู้จักกันในฐานะว่าเขาทำโมเดลลิ่งและผมเป็นเอเยนซีครับ ตอนนั้นผมไม่ได้ทำหนัง ผมก็หาเด็กมาแคสติ้งก็เลยได้สนิทสนมกัน ไปๆ มาๆ เด็กมันไม่ค่อยมีงาน ผมก็เลยเอาเด็กในโมเดลลิ่งเขาไปทำงานด้วย ก็เลยสนิทกันคนสายงานเดียวกัน อยากเข้าวงการบันเทิง ไปๆ มาๆ เริ่มสนิท มันเป็นโมเดลลิ่งเถื่อนนี่ อันนี้กล้าพูดเพราะว่าสามารถเช็กได้ เก็บข้อมูลได้ เด็กหลายคนที่เคยร่วมงานกับเขา ก็สามารถออกมาพูดได้ ไม่ได้จดทะเบียน ทำเหมือนว่าเป็นบริษัท พาเด็กมาถ่ายรูปเก็บเงินห้าร้อย แล้วไม่มีงานให้เขาทำ”

“พอผมรู้ก็ไม่เอาดีกว่า เพราะเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ก็เลยคิดว่าเลิกเหอะอย่าทำเลย สุดท้ายก็คือเขาก็ยังทำอยู่ แต่ว่ามันเจ๊งไปเอง ด้วยความเป็นเพื่อนก็ดูแล เพราะว่าเขาร้องห่มร้องไห้เรื่องธุรกิจของเขา พอเขาประคับประคองจิตใจได้ เขาก็ไปอยู่เชียงใหม่ เชียงรายอะไรของเขาแหละ ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันขนาดนั้น แต่ผมมีความหวังดี เนื่องจากเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่คงไม่ปล่อยผู้หญิงตาดำๆ เพราะแม่ผมก็ไม่ยอมรับธุรกิจเพราะว่ามันเจ๊งไง”

“คุณนึกถึงตรงนี้บ้างเวลาคุณมาอยู่บ้านผมนะ คุณมานอนบ้านผมนอนร้องไห้รดพรมผม คุณคิดถึงตรงนี้หน่อย เขาถึงขนาดจะฆ่าตัวตาย ร้องห่มร้องไห้ทั้งคืน ไอ้คนนี้แหละไปนั่งปลอบมันกับแฟนผมสองคน ไม่ได้ทวงบุญคุณหรอก พอแม่เขาเรียกกลับไปเชียงใหม่เราก็สบายใจแหละ”

“หลังจากนั้น พอผมได้เป็นผู้กำกับ เขาก็ติดต่อมาทางเมล เริ่มทำหลังเป็นผู้กำกับได้รางวัลด้วย ก็มีการเรียกไปคุย เพราะเขาย้ายมาอยู่บ้านหลังจากที่เขาไปคบกับเพชร แต่ผมไม่รู้จักเพชรหรอกนะ ไม่รู้ว่าเป็นใคร ก็ได้ไปเจอกัน แล้วสักพักเขาก็พูดเพราะว่าเขามีความใฝ่ฝัน ว่าเขาอยากจะทำงานในวงการบันเทิง เราก็อยากจะช่วยเพื่อนอยู่ แต่ก็ยังนึกในใจอยู่ว่าขอให้เลิกพฤติกรรมเดิมนะ อย่าทำแบบเดิมนะ ก็ยังนึกในใจมันคงไม่ทำหรอกเพราะว่ามันโตแล้ว แล้วก็เห็นว่ามีแฟนเป็นนักร้องด้วย แม่เขาก็จะออกตัว คือ แม่เขาเนี่ยจะชอบออกตัว ว่ารักผมเหมือนลูก ผมบอกตรงๆ ว่าผมไม่เชื่อหรอก แล้วจะให้ผมมาบอกว่า จะให้ผมรักเขาเหมือนแม่แท้ๆ ผมโกหกครับถ้าผมพูดอย่างนั้น เรามาคุยเรื่องธุรกิจดีกว่า”

“ก็คือ เขาจะชวนผมทำธุรกิจ ก็ได้เกริ่นว่าอยากทำหนังเรื่องแม่พุ่มพวงนะ อันนี้คือเรื่องที่เขาเกริ่นมาตั้งแต่แรกทั้งเพชรทั้งแม่อ้อยเขาพูดหมด อยากทำหนังราชินีลูกทุ่ง คุยไปคุยมาด้วยความสนิทกันอยู่แล้ว ไว้เนื้อเชื่อใจว่าเขาคงเป็นคนดี เราก็เปิดทุกอย่างให้เขาดูอย่างที่เรามีว่าธุรกิจมันเป็นอย่างนี้นะ เราก็หวังดีเพราะเห็นว่าเขามีลูกผู้หญิงคนเดียว แล้วถ้าเกิดเราเป็นเพื่อนเปิดบริษัทให้เขาสองคน พอเราออกไปเขาก็สบาย เขาพาผมไปเลยหาบ้านหรูๆ เขาบอกว่าเขามีเงินเยอะ แล้วผมก็บอกว่าการที่จะทำแบบนี้ จะมาเป็นนายทุนต้องมีเงินเยอะ”

“เขาคิดเปิดบริษัท แต่ผมปฏิเสธมาตลอด ไม่คิดที่จะทำ แต่ตื้อจนผมต้องทำ จนผมใจอ่อน เพราะว่างานของผมก็เยอะอยู่แล้ว ผมรับงานหลายอย่าง บทก็เข้ามาสองสามเรื่องตอนนั้นต้องเขียน หนังก็กำลังจะเปิดกล้อง เอาวะหวังดีว่าจะเปิดก็เปิด เขาจัดหาทั้งหมดเพราะว่าผมบอกแล้ว ว่าผมไม่ลงทุนนะ ผมแค่ลงความสามารถลงคอนเน็คชั่นเท่านั้น นั่นคือข้อตกลง แล้วที่สำคัญคุณต้องทำห้องตัดต่อให้ผมด้วย เพราะให้ผมมานั่งอยู่ในออฟฟิศอย่างเดียวสี่เดือนกับการที่ผมออกไปทำงาน แยกเวลาออกมาผมต้องได้ เพราะว่าผมไม่เคยทำงานให้ใครฟรีๆ ครับ ผมบอกไว้ก่อนผมไม่เคยทำงานให้ใครฟรีมาก่อน”

“ผมบอกไว้แล้วว่าเครื่องตัดต่อประมาณสามแสนห้าถึงสามแสนเจ็ดนะ ยังสรุปไม่ได้เดี๋ยวค่อยว่ากันว่าเท่าไหร่ และกว่าที่ผมจะได้เงินมา นานมากกว่าจะได้ แล้วมันก็เริ่มมีอะไรไม่โปร่งใสมาเรื่อยๆ ทุกคนเข้าไปเตรียมงานเตรียมอะไรไว้หมดแล้ว ผมมารู้อีกทีว่าบ้านที่บอกว่าแต่งไปเป็นแสน ก็คือ เช่าเขาแค่หกพัน จริงๆ คือเจ้าของบ้านเขาแต่งไว้อยู่แล้ว ผมก็เออไม่เป็นไรว่ะ โตแล้วผมก็เก็บๆๆ ซื้อนู่นซื้อนี่เข้ามีแต่เราวิ่งงานอยู่คนเดียวทุกอย่าง เขานั่งเล่นเกมกันอะไรอย่างนี้ เราก็ไม่ว่า เราทนนะ น้องอยากเข้าวงการ เพชรอยากเป็นหนังอะไรก็สอนหมดทุกอย่าง พาเข้าไปแนะนำให้รู้จักกับ พี่โน๊ต เชิญยิ้ม พาเข้าพระนครฟิล์ม ยืนยันได้พี่โน๊ตยังบอกเออเดี๋ยวเอาเล่นเรื่องอีส้มสมหวังนะ เพราะหวังดีไง”

“คือจากที่คุยกันว่ามันน่าจะเป็นการทำหนังที่พร้อมสมบูรณ์ มันกลายเป็นแค่ออฟฟิศเล็กๆ ที่เราต้องทำกันไป ผมถือว่าผมรับปากแล้วว่าผมจะทำผมก็ทำ แต่มันต้องมีข้อเสนอและข้อแลกเปลี่ยนอยู่แล้วครับ ก็คือคุณต้องทำห้องตัดต่อในจำนวนเงินเท่านี้นะ ที่คุณต้องให้ผม ตรงอื่นผมจะเอารายได้มาจากไหน ถ้าผมไม่ได้เอาตรงนี้เข้ามา ก็เอาเป็นว่าตกลงให้ผม เขาก็บอกว่าเขาอยากเปิดโรงเรียนสอนการแสดง แต่ผมไม่เห็นด้วยแต่แรกอยู่แล้ว เพราะว่าผมไม่ชอบการหาเงินแบบนี้ แต่ถ้าอยากทำก็ไม่เป็นไร ก็บอกว่าเราจะช่วยให้เพราะว่าเรามีเครดิตกับผู้กำกับเดี๋ยวใครเข้ามาก็เอามาเล่นหนังนะ”

“หลังจากที่เขาเปิดบริษัท เขาก็ไม่ได้จดทะเบียนบริษัท ขอให้จดก็ไม่จด และผมติดต่องานมาแล้วเป็นระยะเวลาสี่เดือน เขาก็บอกว่าเขาจะเอาบัญชีของเขาเนี่ย เขาบอกว่าแม่เขาทำเป็น เดี๋ยวไปอัดซ้ำอะไรที่เชียงใหม่ ผมบอกว่ามันไม่ใช่ไม่ได้ งานที่ผมติดต่อมาทั้งหมดเสียหายไหมครับ ผมถามหน่อยคุณไม่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แล้วผมทำทุกอย่างในชื่อผม นักแสดงมีรายชื่อร่วมกับหนังที่ผมจะทำตอนนั้น เขาคิดที่จะเปิดโมเดลลิ่ง แล้วเก็บคนละสองหมื่น แล้วบอกว่าใครที่มาเรียนจะได้เล่นหนังของผมทุกเรื่อง ทุกคนผมเคาะโต๊ะเลย บอกเฮ้ย ไม่ใช่”

“แล้วที่ผมไม่พอใจเพราะว่าผมขายวิชาชีพของผมตรงนี้ไม่ได้ จรรยาบรรณครับ นี่คือมันเข้าข่ายที่จะหลอกลวงถูกไหม คุณจะให้ผมช่วยคุณแบบนี้เหรอ มันก็เกิดข้อขัดแย้ง คุณเอาเงินมาให้ผมซื้อเครื่องตัดต่อแค่สองแสนห้าโอนมาช้ามาก คุณเข้าใจไหม การที่ผมติดต่องานกับผู้ใหญ่มันต้องตรงไปตรงมา ผมอดทนอดกลั้นรอเงินคุณมาแล้ว คุณบอกว่าคุณมีเงินจะมาเป็นนายทุนแล้ว ทำไมคุณต้องไปกู้เงินเขามาซื้อเครื่องตัดต่อ แล้วให้ผมไปกู้ร่วมด้วย มันใช่เรื่องของผมไหมครับ ผมต้องมานั่งเสียของผมตรงนี้ ผมนั่งทำงานของผมดีอยู่แล้วเดือนละสองสามแสนอยู่แล้ว ผมถูกล่อลวงไหมเนี่ย”

“ในข่าวลงว่าเขาโอนเงินมาให้ผมสามแสน เดี๋ยวดูหลักฐานกันในศาลดีกว่าครับก็จะรู้กันว่าอะไรคืออะไร แล้วก็ขอบอกไว้เลย เงินแค่สองแสนห้ามันน้อยมาก แต่ที่ผมต้องชี้แจงและเขาต้องมาชี้แจงกับผมถึงจะห้าปีผ่านไปสองแสนห้าตรงนี้มันก็ยังเป็นสองแสนห้าที่เขาบอกว่าสามแสน มันต้องชี้แจงครับว่าคุณล่อลวงผมไปสี่เดือนให้ผมไปทำงาน คุณให้อะไรผม ผมมีอยู่แล้วคุณพร้อมเคลียร์เมื่อไหร่ผมมีให้เสมอ แต่คุณบอกว่าสามแสนคุณต้องเคลียร์ไง”

“เขาโอนเงินมาตอนสองทุ่มครับ เป็นจำนวนเงินสองแสนห้า แล้วเขาแจ้งความว่าเป็นตอนบ่าย แจ้งความเท็จหนึ่งและยอดก็ไม่ใช่ ยอดโอนมาแค่สองแสนห้าแต่ในหนังสือพิมพ์ลงว่า แจ้งความว่าสามแสน แจ้งความเท็จแล้ว ตอนนี้กำลังดำเนินการหมิ่นประมาท หาว่าผมอุ้มลูกร้องไห้ไปขอเปิดออฟฟิศไม่จริงหรอกครับ คุณให้ผมไปทำเอง ไม่อย่างนั้นผมไม่หาเรื่องใส่ตัวหรอก ผมทำหนังอยู่ดีๆ”

“ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผมทำหนังมา สตางค์แดงเดียว บาทเดียวผมก็ไม่เคยเอาของใคร ไม่เคยโกงใครสามารถท้าให้ทุกคนไปเช็คประวัติผมได้เลย เคยมีเรื่องกับผู้ดูแลเสื้อผ้าโกงเงินเจ้านายผมร้อยห้าสิบบาท ผมไล่ออกเลย แล้วพรุ่งนี้ต้องถ่ายใหม่เพราะว่าเขาเอาเสื้อผ้าไปด้วยสามแสน แล้วผมต้องสั่งซื้อใหม่สามแสนกว่าบาท ผมพูดเสมอว่าการโกงเงินร้อยห้าสิบบาท มันเป็นการโกงด้วยพฤติกรรม หรือคำหยาบ ก็คือ สันดาน คนแบบนี้จะเอาไว้กัดกินรากฐานเราเหรอครับ ผมเป็นคนไม่ชอบโกงใครอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่ผมมีโอกาส การที่ผมเป็นผู้กำกับเขาให้เงินผมมาเป็นสิบยี่สิบล้านทำไมผมไม่ทำ ทั้งที่ผมทำได้”






บอกเงินสองแสนห้าพร้อมคืนตลอดเวลา แต่ต้องชดใช้ค่าเสียหายที่ไม่จ่ายค่าจ้างมาให้ก่อน
“จริงๆ ผมพร้อมคืนมาตั้งแต่ต้นปี ผมพร้อมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่เพียงแต่ว่าผมต้องการให้คุณชี้แจงในส่วนที่ผมเสียไปด้วยก่อน นิดหนึ่งเหอะ เงินสองแสนห้าเล็กน้อยมาก ผมเขียนบทครึ่งเรื่องผมก็ได้แล้ว ผมเอาชื่อเสียงผมมาเสียหรอกกับเงินสองแสนห้า ผมจะบอกไว้ก่อน แต่มันต้องต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของคนในวงการหนัง”

“ผมเหนื่อยและผมเสียเวลาสี่เดือนกับการทำงาน แม้แต่พี่ปื๊ด ธนิตต์ ยังรู้ บอกว่าไอ้เชนเปิดบริษัททำหนังโมดิชั่นเฮ้าส์ สุดท้ายทุกอย่างพังหมดเพราะว่าเจ้าของไม่จดทะเบียน นี่คือสิ่งที่ผมฉ้อโกงคุณเหรอ คุณมาเอาตังค์คืนไปได้เลย แต่ว่าคุณต้องมาชดใช้ค่าเสียหายให้ผมมาก่อน เพราะว่าผมบอกแล้ว ว่าผมไม่เคยทำงานให้ใครฟรีๆ เพราะตั้งแต่ที่ผมทำงานกับเขามา ผมไม่เคยได้เงินเดือน ไม่เคยติดเงินสักบาทเป็นการโต้ด้วยกันนี่ ผมเป็นคนเลวเหรอ ผมไม่เคยคิดอะไรเลย ผมหวังดีทำให้ใคร แต่สุดท้ายคุณมาแอบหลอกผมอย่างนี้ คุณเห็นว่าผมเป็นอะไร ปกติมีแต่ผู้ทำหนังจ้องโกงนายทุนนะครับ ไม่ใช่ว่าให้คนที่มาทำผลประโยชน์กับเรา มาโกงเรา ผมโดนมาแล้ว แล้วโดนคนใกล้ตัวที่บอกว่ารักเหมือนลูกนะ นั้นนี่นั้นนี่ ผมไม่ชอบคำพูดนี่นะ ผมพูดตรงๆ คุณอย่ามาพูด”

พร้อมปฏิเสธปิดเครื่องหนี บอกแค่เหนื่อยจากการถ่ายหนังเลยปิดเครื่องนอนเฉยๆ และที่อ้อยกับแม่ให้ข่าวว่าเอาเงินไปแล้วไม่ยอมซื้อเครื่องตัดต่อนั้น จริงๆ แล้วเป็นเพราะว่าคู่กรณีโอนเงินมาให้ไม่ครบต่างหาก
“ตอนแรกติดต่อผมไม่ได้ เพราะว่าผมไปถ่ายหนัง ผมเหนื่อย วันอาทิตย์ผมก็อยากพัก ปิดเครื่องและแค่ปิดเครื่องวันเดียว ปกติผมเปิดอยู่แล้ว เขาก็โทรไปหาญาติโกโหติกาในวงการหนังทั้งหมดเลย อีกเรื่องหนึ่งสำคัญมากฝากไว้เลย ว่าที่ห้องตัดรามอินทรา เขาหาว่าผมไปสั่งเครื่องตัดที่นั่น มีพยานยืนยันว่าเขาอยากเห็นหน้าตาเครื่องตัดต่อ ว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไง ผมก็พาไปที่ห้องตัดรามอินทราว่าเป็นอย่างนี้นะ ไม่ได้เคยบอกว่าจะสั่งที่นั่น และเขาก็ไปตามผมที่นั่นว่าไม่ยอมซื้อ”

“จริงๆ สั่งผมวันนี้ซื้อวันนี้แต่พอเอาเข้าจริงๆ โทรไปถามเงินยังไม่ได้ คุณเอาเงินมาให้ผมไม่ครบกลายเป็นว่าผมไม่ซื้อเครื่องตัดให้คุณ ก็ใช่ผมยังไม่ซื้อก็เงินมันยังไม่ครบ แต่สั่งไว้แล้ว แล้วก็แคนเซิ่ลไปแล้วด้วยและเสียค่าปรับด้วย ผมมีพ่อมีแม่นะครับมีครูบาอาจารย์ด้วย แค่นี้แหละครับ เพราะเรื่องราวทุกอย่างที่มันเกี่ยวกับคดีมันไม่สามารถออกมาพูดได้หรอก ผมไม่พูดอยู่แล้ว จรรยาบรรณผมพูดอยู่แล้ว ผมพูดแค่เหตุการณ์และอันนี้ขอย้ำไปด้วยเลย ว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น”

ซัดกรณีเพชรเข้ามาชี้ตัวที่โรงพัก หลังถูกตำรวจรวบตัวได้ ว่าทำไปเพื่อให้เป็นข่าวหน้าหนึ่ง
“คือเพชรเขาก็ชี้ตัวเพื่อให้นักข่าวเขาถ่ายออกหน้าหนึ่ง และก็ไม่ทราบว่าเหตุผลอะไรด้วยนะ เพราะว่าเขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ จริงๆ เขาก็เป็นเด็กเป็นผู้อาศัยในบ้านของนางสาวธิดารัตน์เท่านั้น ผมก็แค่เคยเห็นเขาเก็บขี้หมาอยู่หน้าบ้าน เพชรเขาจะทำทุกอย่างอยู่แล้ว หมาเจ็ดแปดตัว เขาก็เก็บขี้อยู่ทุกวัน ฝากบอกอาไกรสร(พ่อเพชร)ด้วยนะครับ ว่าลูกคนน่าสงสารมาก”

“แล้วเด็กที่ไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่มีศักยภาพขนาดนี้ คุณคิดว่าผมจะร่วมทุนด้วยเหรอ มันเป็นเพราะเขากับแม่เขา แล้วเขาเอาเอสเอ็มเอสมาโชว์อะไรมันไม่ใช่ครับ ผมขำมากเลยครับ ว่าซิมไปซื้อเซเว่นที่ไหนก็ได้ จุดประเด็นมาเพื่อที่จะเอาตัวเองขึ้นโรงพัก และเอาเพชรมาเปิดประเด็นให้นักข่าวดูแค่นั้นเอง แต่ว่าผมไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะว่าเกมพวกนี้ผมอยู่ในวงการหนังมาหกปี เรื่องแบบนี้ไปเล่นกับเด็กเหอะ ที่ผมกำลังชี้แจงอยู่นี่คือของจริง ที่ผมรอเวลาอยู่ คือตรงนี้แหละชัดเจนที่สุด”

“จริงๆ ผมอยากจะพูดตั้งแต่สิ้นปีแล้ว ที่ผมไม่ออกมาทั้งๆ ที่ข่าวออกมาวันหนึ่งแล้วเพราะว่าคุณธิดารัตน์เขาไม่เคยบอก ว่าเขาเป็นคู่กรณีกับผมไง และอีกอย่างผมติดถ่ายหนังครับ งานของผมสำคัญกว่า และที่ผ่านมาผมไม่อยากไปยุ่งเพราะว่าผมเสียเวลาไปกับเขาเยอะแล้ว คุณรู้ไหมผมเสียเวลาไปวันหนึ่งเงินผมเท่าไหร่ ผมไม่ไปตื่นเต้นเอะอะแมวข่วนแล้วคุณก็ไปโรงพักแจ้งความ แล้วเอาพี่ๆ นักข่าวไปเนี่ย คุณสงสารเขาบ้างเหอะ วิชาชีพเขาต้องมาถ่ายกับเรื่องตลกๆ ของคุณผมว่ามันไม่ใช่”

“ที่ผมจำเป็นต้องพูด เพราะว่าผมจะฟ้องแล้ว ผมเลยต้องคุยกันหน่อย พูดพร่ำเพื่อไม่ได้แล้ว ฝากไว้ด้วยว่าไม่เกี่ยวกับหนังอะไรทั้งสิ้น อาชีพของผมก็ยังเป็นอาชีพของผมอยู่ ผมก็มีงานทำของผมไปเรื่อยๆ และที่เขาบอกให้ผมทำหนังคืออ้อยอยากเล่น แม่เขาก็อยากเล่น ก็มีแต่ครอบครัวไง ผมก็เอ๊ะคุณมองอาชีพผมเป็นตลกเหรอ ผมโมโหนะ โกรธนะผมถือว่าผมเป็นตัวแทนของผู้กำกับรุ่นใหม่ คุณดูถูกอาชีพผมเกินไปครับ ผมบอกตรงๆตัวคุณเองก็เป็นศิลปิน(เพชร) และก็เป็นทายาทศิลปิน ทำไมคุณทำกับศิลปินแบบนี้”

ส่วนที่เพชรบอกว่าเชนส่งแมสเสจไปขู่ฆ่านั้น เชนยันไม่ได้ทำ
“ขู่ฆ่าไม่มีครับ โอ้ย ถ้าผมทำ ผมไม่ขู่หรอก ผมทำแล้ว ผมโมโหขนาดนี้ผมไม่ปล่อยหลอก มันไร้สาระมากเลย เรื่องเอสเอ็มเอสเหมือนกัน มันเป็นประเด็นที่ว่าไม่รู้จะเอาเรื่องอะไรไปขึ้นโรงพักไง ไม่มีหลักฐานอะไรให้ผมสักอย่างไม่เคย ได้เซ็นสัญญาพฤตินัยถ้ามีก็แสดงว่าของปลอม เพราะว่าบริษัทคุณจดทะเบียนไม่ถูกต้องผมไม่กล้าเซ็นอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะมาฟ้องผมได้ยังไง ผมไม่เคยเซ็นอะไรทั้งสิ้น แม้กระทั่งเงินที่คุณโอนมาคุณก็โอนผ่านเอทีเอ็ม”

“ซึ่งตามกฎหมายจริงๆ แล้วคุณเอาผิดผมไม่ได้ ผมเป็นใครครับ ผมสนิทอะไรกับคุณ คุณโอนมาให้ผมสองแสนห้า คุณไม่ได้ตกลงอะไรกับผมไว้ก่อน มันเป็นการให้โดยอะไรนะ คือพูดว่าเป็นการให้โดยเสน่ห์หา ผมเป่ามนต์คาถาให้คุณโอนตังค์ให้ผมได้หรือเปล่า คุณโอนให้ผมเอง ผมไม่ได้เอาปืนขู่บังคับด้วย”

ผู้สื่อข่าวถามว่า กล้าสาบานหรือไม่เพราะว่าเพชรกับอ้อยท้าจับสาบานที่ศาลหลักเมือง? เจ้าตัวบอกว่า
“เหรอ ผมเกิดมาผมก็ไม่เคยสาบานอะไรกับใครนะ แต่ผมจะชอบไหว้พ่อไหว้แม่มากกว่า คุณรอดศาลแพ่งมาให้ได้ก่อนดีกว่า แล้วคุณจะพาผมไปศาลไหนก็ได้ เงินนะไม่ได้ไปไหน แต่เพียงว่าผมไม่สามารถเอาไปให้คุณได้เพราะว่าตกลงว่าสามแสนห้าถึงสามแสนเจ็ด ในเมื่อเราตกลงแล้ว เมื่อคุณให้เงินผมไม่ครบ แล้วคุณแจ้งว่าเงินหาย ผมทำอย่างไงละ ไม่มีพยานรู้เห็นว่าผมคืนเงินคุณ และไม่จำเป็นต้องคืนด้วย”

“ผมจะบอกเลยว่าทุกวันนี้บริษัทผมก็ยังเปิดให้คุณอยู่ ถ้าคุณทำมันอย่างถูกต้อง และโอนเงินในส่วนที่เหลือผมจะทำให้ทั้งหมด แต่ที่มันชะงักเพราะทุกวันนี้คุณทำไม่ถูกต้องไง ห้าปีหลังจากนี้ต่อไปเงินสองแสนห้าก็ยังอยู่แต่คุณเอาเงินมาให้ครบสิ แล้วผมจะทำให้หมด แต่คุณกลับไปบริหารเองนะ ผมไม่ยุ่งด้วย นี่เหรอฉ้อโกง”

เผย คู่กรณีพยายามติดต่อมาเพื่อขอเงินคืน
“เขาพยายามที่จะติดต่อมาครับ ในฐานะที่เหมือนกับโมโห แล้วจะต่อว่าเอาตังค์มาคืนโดยที่ไม่คำนึงถึงเลย ว่ากูอยู่ยังไงมึงรู้บ้างไหม เดือดร้อนยังไง ผมก็เอ้า..คืนทำไมในเมื่อตกลงกันว่าคุณจะซื้อเครื่องตัดให้ผม ผมก็ต้องมีส่วนในนั้นห้าสิบห้าสิบ เอาง่ายๆ ถ้าคุณไม่ได้ตกลงกับผม คุณจะให้เงินผมไหม ถ้าคุณไม่คิดว่าคุณจะได้ประโยชน์จากผม คุณจะให้เงินผมทำไม พูดกันง่ายๆ แค่นี้ครับ”

“ผมคุยกับแม่เลยครับ แต่ผมไม่รู้ว่าเขาจะไปประสานกันอย่างไง แต่ผมไม่ได้ประสานอะไรกับเพชร สรภพครับ ฝากบอกเพชรด้วย เพชรสร่างเมาแล้ว ก็ตั้งสติหน่อย จำคนผิดหรือเปล่าอยู่ดีๆ มาแจ้งความจับพี่ แล้วพี่จะแจ้งความจับเพชรด้วยนะ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเพชรเขาถึงต้องมาชี้ตัวผมด้วยครับ แต่ถ้าเกิดคุณมีหลักฐาน คุณก็เอามานะ ถ้าเป็นของจริงก็ให้เอามา แต่ถ้าเป็นของปลอมคุณก็โดนข้อหาปลอมแปลงเอกสารอีกนะ เพราะผมไม่เคยเซ็นอะไรกับคุณ”

“ต่อไปนี้ผมจะไม่พูดแล้วนะ เพราะถ้าเรื่องถึงศาลก็จะเป็นของศาลไป ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะตรงนะ หลักฐานทางผมมี แต่บุคคลเพราะว่าตอนนั้นทุกคนรอเอกสารหมด มันเท็จหลายอย่างที่เขาพยายามปั้นเรื่อง แล้วก็หมิ่นประมาทมันอยู่ในหัวผม ว่าจะฟ้องเรื่องอะไรบ้าง แล้วที่บอกว่าผมหอบลูกหอบเมียไปร้องห่มร้องไห้มันไม่ใช่เรื่องจริงอย่างแรง อย่างร้ายแรงที่สุดคือล่อลวงครับ

“สามเรื่องนี้เต็มๆ ทุกคนเป็นพยานได้ ผมทำงานเป็นยังไง ผมรอความชัดเจนความถูกต้องกับคุณอยู่ ทุกวันนี้ถ้าคุณทำออฟฟิศอะไรถูกต้อง ผมก็ยังจะทำให้คุณอยู่ แต่ผมไม่ยุ่งด้วยแค่นั้นเอง ผมดำเนินต่ออย่างไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งที่คุณทำคุณยังไม่เคยนึกถึงผมเลย ก็ไม่จำเป็นที่ต้องนึกถึงกันแล้วครับ เงินสองแสนห้าคุณจะเอาไปได้ก็ต่อเมื่อคุณชดใช้ค่าเสียหายของผมก่อน ตามกฎหมายคุณทวงผมไม่ได้อยู่แล้ว”

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าหลังจากนี้อ้อยกับแม่มาขอไกล่เกลี่ยจะยอมหรือไม่? ผู้กำกับคนดังสวนทันควันว่าไม่ไกล่เกลี่ยแน่นอน เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายทำแบบนี้อีก
“ผมไม่ไกล่เกลี่ยครับ ไม่ยอมความผมไม่ยอมความ เพราะว่าผมไม่อยากให้คุณทำอย่างนี้อีก ผมเบื่อแล้ว ผมนี่แหละจะเป็นคนแรก ถึงคุณจะทะเลาะกับใครมานักหนาก็ตาม ถ้าผมฟ้องทางไหนได้ผมฟ้องหมด ที่ผมนิ่งเพราะว่าผมไม่อยากจะทำอะไรให้เป็น... คือการที่เป็นคดีมันต้องออกมา แล้วการที่เราออกมามันต้องชัดเจน”

“ผมรู้สึกว่าผมทำดีให้คุณแล้วนะ แต่คุณหลอกลวงและไม่จริงใจกับผมเอง แม้กระทั่งคนที่อยู่รอบข้างคุณ คุณยังไม่จริงใจด้วยเลย ถามหน่อยว่าคุณจะอยู่บนโลกนี้ จะยืนอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไง ในเมื่อคุณอยู่ในวงการบันเทิงแต่คุณมาทำร้ายคนในวงการบันเทิงอย่างนี้ ที่ผมไม่ออกมาปีหนึ่ง ผมก็อยู่แถวนี้ทำงานอยู่แถวนี้ทำไมคุณไม่มาล่ะ ก็มาเอาดิ ตังค์ผมมี ผมทำงานไม่ใช่วันๆ เดินลอยหน้าลอยตาไปฟ้องข่าวนู้นข่าวนี้ ต่อยคนนู้นคนนี้”

หลังจากนั้นเชนได้เปิดโอกาส “ตั้ม” และ “นริศรา” ที่เชิญมาในฐานะพยานที่ยืนยันได้ว่าในข้อตกลงต้องจ่ายสองหมื่น เพื่อแลกกับการจะได้เล่นหนังที่เชนจะกำกับจริง
ตั้ม “ที่ผมไม่เห็นด้วยคือเรียกเก็บเงินสองหมื่น และมีข้อตกลงว่าคนที่ได้มาเล่นมาเรียนจะได้เล่นหนังของเชน คือมันง่ายๆ ไปหน่อยครับ คุณมีแค่เงินคุณก็เป็นดาราได้แล้วเหรอ แล้วเอาชื่อเสียงของเชนไปในการที่จะเรียกลูกค้า คือผมคิดว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คือคุณเรียนจบมหาลัยทางมหาลัยยังไม่รับรองเลยว่าคุณจะได้งานทำ คุณต้องไปหาเอง การที่เราจะให้อะไรตรงนั้นมันต้องเป็นการแสดงที่แท้จริง”

เชนทร์ “ผมขอแทรกนิดหนึ่งนะ ผมบอกเขาแล้วว่าถ้าอยากเปิดโรงเรียนสอนการแสดงก็ให้เอาครูมาสอนนะ เขาก็บอกว่าไม่เอาหรอกสอนกันเองดีกว่า เขาบอกว่าเขาจะให้ผมสอน ผมบอกไม่เอา เขาก็บอกเขาจะสอนกันเองก็ใช้ชื่อผมในการไปแจกใบปลิว คือผมตั้งใจจะทำให้จริง”

นริศรา “คือตอนนั้นพี่เชนเรียกไปแคสติ้ง ก็คุยกันไปเรื่อยๆ ในระยะหนึ่ง ก็จะเห็นการทำงานของพี่เชนมาตลอด พี่เชนเขาจะเป็นคนที่จริงจังกับงานมาก จะส่งบทนู้นนี่นั้นมา แล้วก็จะมีการปรับบทคุยกันตลอด และเราก็จะคุยกันตลอดเลยว่า คือพาไปที่ออฟฟิศใหม่ พี่เชนเขาก็จะบอกว่าออฟฟิศใหม่เป็นอย่างไง เปิดอะไรยังไงบ้าง และก็เห็นออฟฟิศตกแต่งสวย เขาก็บอกว่ามีการลงทุนนะ ทำใหม่หมดเลย จริงๆ แล้วเจ้าของบ้านทำไว้”

เชนทร์ “คือจริงๆ เขาลงทุนเพียงแค่โต๊ะเท่านั้นเอง ถ้าคุณบอกผมตั้งแต่แรกผมไม่ทำหรอก ช่วงนั้นครอบครัวผมก็เสียหาย เงินผมก็ค่อยๆ หมดผมไม่ออกมาพูด ผลประโยชน์ผมไม่เคยผมบอกว่าผมแบ่งห้าสิบ ซึ่งเป็นการที่ผมหามาทั้งหมด เขาหางานเข้าออฟฟิศไม่ได้อยู่แล้ว ทุกอย่างแบ่งห้าสิบหมด แล้วบอกตรงๆ ผมทำงานผมไม่เคยคุยเรื่องตังค์ก่อนเลย ทุกคนจะรู้ดีเพราะว่าผมจะทำงานให้เต็มที่ก่อน”

“อะไรก็แล้วแต่ผมจะแบ่งห้าสิบหมด ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนหามาเอง แต่ถ้าคุณทำดีๆ หน่อยคุณอาจจะรุ่ง แต่คุณทำแบบนี้มันเจ็บปวดมากจนผมไม่อยากจะออกมาพูดอะไร ผมทำงานเลียแผลของผมดีกว่าคนในวงการเขาบอกผมทุกคน ว่าผมโดนหลอก ผมจะออกมาโต้แย้งเพื่ออะไรครับ มันไม่ได้อะไรประโยชน์ คนโดนหลอกผมอายนะ ไม่ใช่ไม่อายพูดตรงๆ ผู้กำกับมาโดนคนธรรมดาหรอก เสียคนนะ เสียเชิงมากเลย”

จากนั้น “ตุ้ม พุชงค์ สิริธัญผล” ประธานบริษัทโอมมหารวย ที่เชนกำลังจะร่วมงานด้วย ได้ยืนยันถึงเหตุผลที่ต้องออกมาแถงข่าวในวันนี้ชาการโปรโมตหนัง
ตุ้ม “คือวันที่เชนโดนจับ เป็นวันที่ 4 ก.ค.แล้วคุณแม่คุณเชนต้องเข้าโรงพยาบาลด่วน ต้องผ่าตัดมดลูกด่วน ก็ได้รับความสะเทือนใจอยู่แล้ว พอตกดึกของวันที่ 4 ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ เชิญไปโรงพักไปในข้อหาที่เขาแจ้งความว่าฉ้อโกง ซึ่งวันที่ 5 ตอนเช้าจะต้องถ่ายหนังตีสี่ ก็ต้องไปแล้ว แล้วทำให้เขาไม่มีสมาธิในการมาทำงานให้กับบริษัทโอมมหารวย”

“ก็เนื่องจากคดีที่ไปฟ้องเขา หนึ่งชื่อเสียง สองความอับอายมันอัปยศต่อเขา เขาเลยต้องมาแถลงข่าวตรงนี้ แล้วคดีจะต้องไปขอสู้กันในชั้นศาลกันจนถึงที่สุด และเรื่องนี้ไม่ใช่การโปรโมตหนังอะไรทั้งสิ้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะไปโปรโมตหนังอะไรตรงนี้ เราไม่สนใจหรอกครับ ตรงนั้นแต่เป็นศักดิ์ศรีของผู้กำกับที่จะมาทำรายการทีวีให้เรา ที่จะมาผลิตภาพยนตร์ให้กับเรา เขาต้องมาแก้ตรงนี้ครับ”

เชนทร์ “ที่ผมออกมาชี้แจงฝากบอกด้วย ว่าตอนนี้ผมทำงานก็อยากให้ทุกคนเข้าใจ ว่าข่าวออกไปแบบนี้ผมเป็นห่วงองค์กรมากกว่า ผมไม่ได้ห่วงตัวเองหรอก ผมรู้ไงแต่คนอื่นไม่รู้ ผมถือว่าผมเป็นตัวแทนของผู้กำกับแล้วกัน ขอเก็บไว้ก่อนแล้วกันนะครับ ว่าจะฟ้องเรื่องอะไรบ้าง แต่เยอะกว่าเรื่องฉ้อโกงของเขาแน่นอนครับ ที่เป็นคดีเดียวที่มันไม่ใช่ด้วย ก็เป็นสิ่งที่คุณทำไว้เอง คุณก็ต้องยอมรับนะครับ”

“พร้อมฟ้องเมื่อไหร่ผมไม่บอกครับ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้เพราะว่ามันยังมีอะไร ยังต้องเก็บอีกหลายอย่าง แต่ฟ้องแน่นอน และคุณก็ฟ้องผมมาแล้ว ซึ่งผมก็พร้อมรับผิดชอบแล้วในสิ่งที่คุณบอก แต่คุณต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณกระทำก่อน เพราะว่ามันเกิดคู่กรณีขึ้นมา คุณจะให้ผมเป็นผู้แบกรับฝ่ายเดียวมันไม่แฟร์อย่างแรง และพยานรู้เห็นของผมทั้งวงการประเทศไทย ผมฝากด้วย ผมไม่ได้ขู่ แต่มันเป็นสิ่งที่คุณทำไว้เอง”



กำลังโหลดความคิดเห็น