xs
xsm
sm
md
lg

“สรยุทธ” โว ใครจะปรับเล่าข่าวอย่างไร แต่เรตติ้งตนก็ยังนำโด่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สรยุทธ” ไม่สนช่อง 7 ซื้อเฮลิคอปเตอร์สู้รายการข่าวช่อง 3 เจ้าตัวบอกบุคลากรสำคัญกว่า ส่วนเทคโนโลยีใครมีเงินก็ซื้อได้ พร้อมปัดเป็นเบอร์หนึ่งเล่าข่าว แต่คุยใครจะเปลี่ยนยังไงเรตติ้งตนก็นำโด่งตลอด ก่อนแย้มช่องอื่นทาบทำรายการสไตล์ “ถึงลูกถึงคน”

เป็นการปรับเปลี่ยน-ลงทุนครั้งใหญ่ทีเดียวสำหรับรายการข่าวของช่อง 7 ที่ลงทุนใช้เฮลิคอปเตอร์เข้ามาช่วยเสริมในการรายงานข่าว ซึ่งเมื่อสอบถามความคิดเห็นไปยัง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” หนึ่งในผู้ประกาศของครอบครัวข่าวทางช่อง 3 ที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งกันโดยตรงนั้น เจ้าตัวได้แสดงความคิดเห็นว่า...

“ในเรื่องของเทคโนโลยีต่างๆ คุณมีเงินคุณสามารถซื้อได้หมด แต่สิ่งที่คุณหาไม่ได้คือบุคลากร สิ่งที่คุณต้องใช้เวลาในการพัฒนาคือคน หรือไม่กระทั่งผมเองหรือคนอื่นๆ ที่มีประสบการณ์ข่าว อันนี้มันต้องใช้เวลาในการสร้าง มีเงินแค่ไหนก็ซื้อมันไม่ได้”

“สองคือเทคโนโลยีอยู่ดีๆ คุณคิดจะให้ผมหายตัวไปจากตรงนี้ ไปยืนอยู่ตรงโน้นก็ได้เทคโนโลยีสามารถทำได้หมดถ้าคุณมีตังค์ แต่ทำยังไงที่จะทำให้มันเหมาะกับรายการและคนดู คือ มันต้องไม่เยอะไป เข้ากับรายการแล้วมันยังคงความน่าเชื่อถือ เพราะยังไงเราก็เป็นรายการข่าว”

เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่ผมพยายามทำตลอด จริงๆ แล้วทางช่องเองก็มีอะไรมาให้เราทดลองเยอะ แต่ผมว่ามันต้องจัดระเบียบของรายการ ส่วนตัวผมเองก็อยากจะสร้างผู้ประกาศใหม่ๆ นะ เพราะการที่ได้สร้างคนขึ้นมามันเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจ”

ผมมีความสุขมากที่เห็น ภาษิต (ภาษิต อภิญญาวาท) กับ กุ๊ก กฤติกา (กฤติกา ศักดิ์มณี) คือ เห็นแล้วมีความสุข นี่คือ คนรุ่นใหม่ที่เขาสามารถที่จะนำเสนออะไรออกมาแล้วน่าสนใจ ก็เหลือแต่เรื่องของความน่าเชื่อถือที่ต้องเติมเข้าไป เราก็จะเป็นพี่เลี้ยงช่วยประคับประคองเขาไป แล้วก็พร้อมที่จะสร้างคนใหม่ๆ อยู่เสมอ”

เพราะเป็นเจ้าแรกๆ ในการทำให้รายการประเภทเล่าข่าวจนเกิดเป็นกระแสขึ้นมา หลายคนจึงมองว่าเขาเป็นที่หนึ่ง ขณะที่เจ้าตัวบอกไม่เคยคิดเช่นนั้นเพราะจะเป็นการกดดันตัวเอง
“อย่าไปคิดว่าเป็นเบอร์หนึ่งสิ ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่า เราก็เป็นคนทำงานข่าว เพราะฉะนั้นถ้าไปคิดว่าเป็นเบอร์หนึ่งแล้วมันกดดัน มันก็คงจะกดดันตั้งแต่มาทำงาน มันต้องคิดว่าตอนที่เราเข้ามาทำงานตอนนั้นยังเป็นเบอร์อะไรก็ไม่รู้นะ รายการเรื่องเล่าเช้านี้ในฟรีทีวีครึ่งชั่วโมงครั้งแรก มันก็อยู่ของมันไปที่สำคัญก็คือว่าประคับประคองคนดู”

“ใจผมมันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะอยู่ตลอดกาลมันต้องมีคลื่นลูกหลัง แต่อีกใจหนึ่งผมมักจะถูกมองว่า เอ๊ะ อย่างเรื่องเล่าเช้านี้ 6 ปีที่ผ่านมา ปีละประมาณ 3 ครั้งที่ผมจะถูกถามว่าคู่แข่งอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็บอกทุกครั้งว่าเราต้องแข่งกับตัวเองแล้วมันก็พิสูจน์ให้เห็น”

คุยเรตติ้งยังเป็นที่หนึ่งตลอด...“เรตติ้งใครจะว่ายังไงก็ตามทีแต่ว่ามันห่างอย่างสม่ำเสมอก็คือเรตติ้งนำมาก แต่เขาก็ยังส่งรายงานมาให้ดูผมก็ดู ประมาณว่าวันนี้ที่มันน้อยหรือเยอะเพราะเหตุผลอะไรยังไง เขาเรียกว่าไม่ประมาท แต่ดูของตัวเองนะ”

“ผมต้องแข่งกับตัวเองตลอด เราอยู่นิ่งไม่ได้ จริงๆ เราเองก็พัฒนาของเราอยู่ตลอดอยู่แล้ว ถ้าเราหยุดนิ่งก็เหมือนกับว่าเราถอยหลัง เพียงแต่ว่าก็เป็นปกติเหมือนวันหนึ่งไม่เคยมีการเล่าข่าว วันนี้ก็มีเล่าข่าวกันเต็มไปหมด เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็ต้องเดินหน้าพัฒนาคิดของเราไปว่าเราอยากทำอะไร ยังไง”

“ไม่ได้มองเรื่องแข่งอะไรมากไปกว่าว่าเราจะตอบโจทย์คนดูยังไง หรือจินตนาการของเรากับคนดู แล้วอีกอย่างต้องไม่ให้ไปกระทบกับแฟนประจำ บางทีพยายามอะไรมากไปจนไปกระทบกับแฟนพันธุ์แท้ของเราก็ไม่ได้ อันนี้ก็ต้องรักษาไว้ ส่วนแฟนใหม่นั้นตอนนี้ก็คิดว่าเยอะมาก”

“อยากให้ไปดูด้วยกัน วันไหนที่ไปต่างจังหวัด หรือไปชุมชนจะเห็นเลยจริงๆ ไอ้ที่บางทีไม่อยากจะพูดอะไรเพราะรู้สึกว่าพิธีกรข่าวเดี๋ยวนี้เป็นดารา ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะคุณเป็นดาราคนเห็นเขาก็จะกรี๊ดๆ แต่พอทีมเรื่องเล่าลงไปเยี่ยมเขาจะรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อน เขาก็จะมีมาตี มาจับแขนจับขา ไม่ว่าจะเป็นคนแก่เด็กเล็กๆ เองก็ติดตามรายการเรากันหมด”

ย้ำรายการของตนยังคงเน้นเรื่องการเมืองเป็นหลัก?
“บางคนอาจจะมองว่าผมเป็นพวกอนุรักษ์นิยมมาก ทำไมเรื่องเล่าเช้านี้ต้องยืนยันว่าข่าวสำคัญของประเทศนี้ต้องอยู่อย่างข่าวการเมือง บางช่วงเวลาของรายการอื่น นี่ผมไม่ได้ว่าใครนะ คือ อย่างบางรายการมันหายไปเลย ข่าวเศรษฐกิจสำคัญๆ มันหายไปเลย แต่ไปอยู่กับกระแสอะไรบางอย่าง”

“แต่เรื่องเล่าเช้านี้ เรายืนยันว่า ต่อให้มีเคอิโงะ ต่อให้มีแพนด้า ต่อให้มีเรื่องรากหญ้าอะไรยังไง แต่ข่าวสำคัญของประเทศต้องมี เรายังยืนยันว่า ต้องทำให้ข่าวสำคัญ น่าสนใจอยู่เสมอสำหรับคนดู นี่คือสิ่งที่ยืนยันมาตลอดตั้งแต่ช่วงทำงานที่ผ่านมา”

“คนพูดถึงเรื่องเล่าเช้านี้ นี่คือ รายการข่าวที่ยังมีความน่าเชื่อถือสูงมาก มีสีสันที่ดูแล้วสนุกสนานดูได้ทั้งครอบครัว แล้วก็มีการพัฒนาตลอดเวลา มีลูกเล่นที่น่าสนใจ แต่จุดสำคัญที่สุดคือเนื้อหาของรายการ อย่างอื่นเป็นแค่องค์ประกอบที่ทำให้มันดีขึ้น”

ส่วนกรณีของรายการ “จับเข่าคุย” ต้องลาจอไป เพราะเจอ “ทูไนน์โชว์” ของ “ไตรภพ ลิมปพัทธ์” เสียบแทนนั้น เจ้าตัวบอกยังไม่รู้เหมือนกันว่า รายการดังกล่าวจะกลับมาสู่หน้าจออีกเมื่อไหร่ พร้อมเผยมีช่องอื่นๆ มาทาบให้ไปทำรายการสไตล์ “ถึงลูกถึงคน”

“ยังไม่รู้ แต่ว่าพักเหนื่อยอยู่ ทุกวันนี้เองก็ยังรู้สึกว่าเหนื่อยอยู่ ช่วงเย็นเองก็ไม่เบานะ เพราะว่าความคาดหวังเขาก็สูง เขาก็บอกว่าอยากให้ช่วยทำให้เรื่องเด่นเย็นนี้ดูคึกคัก เข้มข้น เพราะฉะนั้นเรื่องแต่ละเรื่องที่จะสัมภาษณ์ คือจะบอกว่ายุคนี้การทำข่าวมันเปลี่ยนไปเยอะ เมื่อก่อนหยิบอะไรมาก็สัมภาษณ์ไป อย่างเขาบอกว่าเรตติ้งผู้ใหญ่เขาคาดคั้นมาอะไรยังไง”

“ผมก็ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความสำคัญกับความน่าสนใจ อย่างบางวันเรื่องโรคสำคัญมาก วันสองวันก็เบื่อกันนักหนา แต่ว่ามันตายกันถึง 3 คนแล้ว คนในประเทศตาย 3 คนไม่ใช่เรื่องเด่นประจำวันเหรอ แต่อีกวันหนึ่งเนาวรัตน์โป๊มันก็ต้องคุยกันบ้างล่ะ ซึ่งเราก็จะเอามาสลับสับเปลี่ยนเพื่อให้มันสมดุล แต่ผมจะพยายามรักษาเรื่องความสมดุลในรายการอยู่เสมอ”

“จะไปไหนล่ะ ไม่มีหรอกเราจะอยู่ตลอดกาล อาจจะมีช่องอื่นทาบทามเกี่ยวกับรายการทอล์คเขาอยากได้ดูแบบถึงลูกถึงคน แบบรายวันมันๆ เวลาเต็มที่หน่อย เขาก็มีทาบทามมาพอสมควร ผมก็ให้ทีมงานคุยรายละเอียด ผมทำงานเนื้อหาอย่างเดียว (จะขอนายทำรายการแบบนั้นไหม) คงไม่ ทุกวันนี้ผมเองก็เยอะแล้ว”


กำลังโหลดความคิดเห็น