หมายเหตุ : เหตุผลต่างๆ ที่ใช้อ้างอิงในคอลัมน์นี้เป็นเหตุผล "ส่วนตัว" ของผู้เขียน หากท่านใดมีความต้องการจะนำไปอ้างอิงหรือใช้เป็นข้อมูลในกรณีอื่นใดโปรดใช้วิจารณญาณในการพิจารณา
...
เรียนตามตรงครับว่า หลังได้อ่านบทความของคุณ "วริษฐ์ ลิ้มทองกุล" เรื่อง "สงครามข่าวฟรีทีวี" แล้ว ในฐานะของคนที่ทำงานอยู่ในแวดวงสื่อสารมวลชนคนหนึ่ง มันให้รู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ขึ้นมาทันที
เจ็บจี๊ดเพราะโดนใจเสียเหลือเกิน (ใครยังไม่ได้อ่านสามารถลากเมาท์ไปวางบนหัวข้อเรื่องที่ว่าแล้วคลิกเข้าไปอ่านข่าวได้เลยครับ)
บทความดังกล่าว คุณวริษฐ์พูดถึงการได้อ่านนิตยสาร Positioning ฉบับเดือนมิถุนายน 2552 ซึ่งประเด็นหลักๆ นั้นว่าด้วยเรื่องของการแข่งขันการ "ทำข่าว" ระหว่างฟรีทีวี ช่อง 3 และช่อง 7 ที่มีทั้งการดึงผู้ประกาศ(ที่น่าจะขายได้)เข้ามาอยู่ในสังกัด, เรื่องของเทคโนโลยี รวมไปถึงรูปแบบของการรายงานที่ว่ากำลังจะหมดยุคของการเล่าข่าว และเข้าสู่ยุคเรียลลิตี้ข่าวแทน
ทั้งนี้คุณวริษฐ์เองมองว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันหาใช่ประเด็นสำคัญแต่อย่างใด ในเมื่อสื่อมวลชนส่วนใหญ่เองยังคงให้ค่าความสำคัญกับการรายงานกระพี้ของข่าว หรือข่าวที่คนอยากรู้ (เช่น ข่าวหมีแพนด้า, เคอิโงะ, เต๋า แต่งงานใหม่, ข่าวศึกญาติพุ่มพวง) เยอะเกินไปมากกว่าการเจาะลึกถึงแก่นสาระที่แท้จริงของข่าวที่สื่อ "ต้องนำ" เสนอให้คนได้รู้ เช่นเรื่องของรถเมล์เช่าที่ส่อว่าจะมีการคอรัปชัน, ข่าวช่อง 3 พยายามต่อสัญญาสัมปทานที่มีแนวโน้มจะเป็นการเอาเปรียบ อสมท และภาครัฐ ฯ อันถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างคุณภาพคนในการที่จะพัฒนาสังคมให้มีความเจริญต่อไป
ที่สำคัญมันน่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ที่แท้จริงของคนที่ทำงานในแวดวงสื่อสารมวลชนในการที่จะต้องช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ของประชาชน หากมีอะไรที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งเหล่านี้ทั้งเรื่องของปัญหาสภาพแวดล้อม ปัญหาการคอรัปชั่นซึ่งโยงไปถึงเรื่องของเงินภาษีอากร เรื่องของสวัสดิการต่างๆ ที่ประชาชนพึงได้ ฯ ประเด็นเหล่านี้สื่อฯ เองจำเป็นที่จะต้องร่วมกันคุดคุ้ย เกาะติด เพื่อรายงานให้คนในสังคมส่วนใหญ่ได้รับทราบมิใช่หรือ?
ผมเองก็ต้องถือว่าโชคดีเช่นเดียวกับคุณวริษฐ์ครับที่มีโอกาสได้เข้าไปประชุมข่าวในช่วงเช้าๆ ร่วมกับกองบรรณาธิการข่าวของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน(ปัจจุบันคือเอเอสทีวีผู้จัดการรายวัน)ที่เคยมีคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เข้าร่วมด้วย(อยู่ช่วงหนึ่ง) ซึ่งนอกจากจะชอบคำสอนที่เป็นแนวทางของการทำงานจากประโยคที่ว่า...มองอะไรต้องมองทั้งป่าอย่ามองเพียงต้นไม้ต้นเดียวแล้ว ก็มีคำสอนที่ว่า...ทุกวันนี้สื่อไม่เพียงต้องนำเสนอ ‘ข่าวที่คนอยากรู้’ แต่มีภาระและหน้าที่ในการนำเสนอ ‘ข่าวที่คนต้องรู้’ ด้วย ตามที่คุณวริษฐ์เองบอกไว้ในบทความนั่นแหละครับที่ผมเองก็เห็นด้วยเป็นที่สุด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไอ้ครั้นจะไปเขียนถึงประเด็นเดิมของคุณวริษฐ์ก็คงจะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา (ทำเป็นเท่ห์ไปอย่างนั้นเองแหละครับ อันที่จริงต่อให้เขียนจริงๆ ด้วยสติปัญญาระดับผมแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงจะไม่มีอะไรต่างไปจากการไม่ได้เขียนสักเท่าไหร่หรอก) เอาเป็นว่าวันนี้ผมจะลองย้อนหันกลับไปดูกันว่าตลอดระยะเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา ในส่วนที่กระพี้ของข่าวหรือข่าวที่คนอยากรู้ตามนัยของคุณวริษฐ์นั้น หากมองในมุมอื่นๆ มันมีอะไรพอที่จะสะท้อนออกมาเป็นประโยชน์ได้บ้างหรือไม่ทั้งในแง่ของคนทำข่าวเองรวมถึงคนเสพ?
เพราะต้องไม่ลืมนะครับว่า ในความเป็นจริงเราจะต้องอยู่กับข่าวในลักษณะนี้ไปอีกนาน
อนึ่งต้องออกตัวก่อนว่า "บุคคล" ต่างๆ ในข่าวนั้นมิได้มีความผิด-ถูก-ชั่ว-ดี แต่อย่างใดในทัศนะของผมนะครับ เพราะพวกเขาหรือว่าเธอจะไม่เป็นข่าวเลยหากไม่มีใครไปทำให้เป็นข่าวขึ้นมา
...
ข่าวแรกต้องบอกว่าเป็นข่าวที่ได้ใจผมจริงๆ ชนิดที่รู้สึกว่ามันมีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ(วะ) ก็คือข่าวกรณีของน้องณัฐ หรือนายอณัฐสนนท์ วะลัยใจ กะเทยวัย 21 ปี ที่ลงทุนซื้อกัญชาหิ้วขึ้นโรงพักให้ตำรวจจับด้วยเหตุผลที่ว่าอยากจะกลับไปติดคุกอีกครั้ง (เจ้าตัวเพิ่งจะถูกปล่อยตัวออกมาได้อาทิตย์กว่าๆ หลังถูกจับข้อหาครอบครองยาไอซ์) เพื่อที่จะได้ไปอยู่กับคนรักที่ถูกจำคุกอยู่ใน เรือนจำ กลางจังหวัดชลบุรี
แค่พล็อตเรื่องที่ราวกับมุกในรายการ "คดีเด็ด" ก็เหลือทนแล้วครับ แต่ไอ้ที่ผมรู้สึกแปลกใจมากที่สุดเกี่ยวกับข่าวนี้ก็คือภาพที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ที่น้องณัฐเธอเปิดเสื้อโชว์นมนั่นแหละครับ ไม่ทราบว่ามันเกี่ยวอะไรกันตรงไหน?
และที่สำคัญคือไม่มีข่าวออกมาเลยนะครับว่าตำรวจเองได้ขยายผลการจับกุมหรือไม่ว่าน้องณัฐของเราไปซื้อกัญชามาจากใครกัน?
...
ถัดมาที่คลาสสิกมากๆ เช่นกันก็คือข่าว "งูหัวคน"
ผมนั่งดูข่าวนี้ผ่านทางช่อง 7 ครับ ผู้ประกาศข่าวสาวหน้าตาดีเธอก็บรรยายถึงลักษณะของตัวประหลาดว่ามีใบหน้าเหมือนคนแก่ ผมสีทอง มีแขนคล้ายขาไก่ฯ พร้อมบอกถึงรายละเอียดว่าชาวบ้านเห็นอยู่บริเวณถ้ำใกล้กับเขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยมีบทสัมภาษณ์พระรูปหนึ่งของวัดพนมสังวาส จ.ศรีษะเกษ บอกว่าเห็นทหารกัมพูชาพาออกจากถ้ำไปแล้ว
ข่าวนี้มีคลิปเคลื่อนไหวมาให้ชมกันด้วยครับโดยบอกว่าเป็นชาวเขมรถ่ายไว้ แต่ดูยังๆ ผมก็รู้สึกว่า ไอ้ที่เคลื่อนไหวน่ะคือคนกับตัวโทรศัพท์ที่ใช้ถ่ายมากกว่า ส่วนไอ้ตัวประหลาดนั้นนิ่งแข็งขนาดที่ว่ามีคนยื่นมือจับไปยังส่วนที่เป็นผม งูหัวคนยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย
อย่างไรก็ตามที่ผมชอบมากๆ ก็คือในช่วงท้ายของข่าวที่ทางผู้ประกาศสาวได้ทิ้งท้ายไว้ว่า ให้รับชมข่าวนี้อย่างมีวิจารณญาณเพราะตัวประหลาดที่ว่านี้ไม่อยู่ให้เราได้พิสูจน์แล้ว ขณะที่ผู้ประกาศอีกคนก็เสริมขึ้นมาว่า...และก็ยังไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่
อ้าว! ซวยคนดูข่าวอย่างตรูอีก สรุปว่าต้องไปตามหาความจริงกันเองใช่มั้ยเนี่ย?
โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบครับที่ว่าข่าวนี้ นสพ.คมชัดลึกได้มีการตามรายงานต่อ เนื่องจากมันค่อนข้างจะคลุมเครือ เช่นรายละเอียดของที่มาของข่าวที่บ้างก็ว่าเป็นทหารเขมรจับได้ ขณะที่บ้างก็ว่าเป็นทหารลาวจับได้ ซึ่งผลของการตามข่าวก็พอที่จะทำให้รู้เพิ่มเติมว่าเรื่องทำนองนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ มีการโพสต์คลิปที่ว่าไว้ในเว็บไซต์ Youtube นานแล้ว
ที่สำคัญในข่าวยังบอกด้วยว่าที่ผ่านมาได้มีนักมนุษยวิทยาชาวมาเลเชียเคยคิดรวจดีเอ็นเอ "สัตว์ประหลาดงูหัวคน" ซึ่งพบที่ประเทศอินโดนีเซีย มาตั้งแต่ปี 1972 แล้ว
และไม่ใช่จะมีเฉพาะงูหัวคนเท่านั้นครับ มันยังมีเรื่องของ ปลาดาวหัวคน จรเข้หัวคน อีกต่างหาก โดยภาษาทางวิชาการได้เรียกสัตว์ประหลาดเหล่านี้ว่า "JENGLOT" หรือสิ่งเหนือธรรมชาติ (ลองพิมพ์คำนี้ใส่ใน google จะมีภาพพวกนี้ออกมาเพียบเลย)
ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่า คนที่ดูข่าวจากช่อง 7 พร้อมๆ กับผมนั้นจะมีโอกาสได้รับรู้เรื่องนี้(เพิ่มขึ้น)สักกี่คนกัน?
...
ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเราอาจจะได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับความแม่นยำในการให้หวยของหลวงพ่อปากแดง ที่วัดพราหมณี ต.สาริกา อ.เมืองนครนายก ที่ว่ากันว่าทำเอาบรรดาเจ้ามือหวยขยาดมาแล้ว ทว่าสำหรับในปีนี้ดูเหมือนว่าจิ้งจกสีแดงที่ชื่อ "ถุงเงินถุงทอง" ของ นายบริบูรณ์ ธูปแก้ว ชาวอยุธยา ดูจะมาแรงไม่แพ้กัน
ในรายละเอียดของข่าวส่วนหนึ่งระบุไว้ว่า...น.ส.ยุวดี ธูปแก้ว อายุ 24 ปี ลูกสาวเจ้าของบ้านที่พบจิ้งจกสีแดงเป็นคนแรก เล่าว่า ตนพบจิ้งจกตัวนี้เมื่อเวลาประมาณตี 3 ของวันที่ 8 พ.ค. ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา เนื่องจากลูกสาวของตนชื่อน้องเอ๋ย หรือด.ญ.ช่อลัดดา อายุ 2 เดือน ส่งเสียงร้องกลางดึก ตนจึงลุกขึ้นมาดูแล้วให้นมจนลูกสาวหลับไป ระหว่างนั้นบังเอิญเห็นจิ้งจกสีแดงเกาะอยู่ข้างในมุ้ง
ตอนแรกเธอเองก็ไม่ได้สนใจอะไรและนอนหลับไปจนกระทั่งเช้า ตื่นมาก็ยังเห็นจิ้งจกสีแดงเกาะอยู่ที่เดิม ตนเลยบอกไปว่า "อยากอยู่ด้วยกันก็ได้" พร้อมทั้งยกมือไหว้แล้วเอื้อมมือไปจับจิ้งจกได้อย่างง่ายดาย โดยมันไม่ได้คลานหลบหนีไปไหน จากนั้นจึงนำมาให้พ่อดู พ่อบอกว่าจิ้งจกตัวนี้เป็นจิ้งจกมีบุญ เขาคงต้องการจะมาอาศัยอยู่ในบ้านเรา ต้องเลี้ยงดูให้ดี จากนั้นได้ไปนำเอาตู้ปลามาใส่เลี้ยงไว้ พร้อมทั้งตั้งชื่อเจ้าจิ้งจกสีแดงว่า "ถุงเงินถุงทอง"
จะว่าไปแล้วอารมณ์ของข่าวจิ้งจกแดงนี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจาก ข่าวแปลกเรื่องประหลาด ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้แต่อย่างใด อาทิ ปลวกรูปร่างคล้ายหน้าคน หัวปลีงวงช้าง ฯลฯ ซึ่งแม้ในระยะหลังๆ นักข่าวจะทำให้ข่าวลักษณะนี้ดูสมบูรณ์มีความคิดสติปัญญาขึ้นด้วยการอิงเรื่องของธรรมชาติ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ความรู้จากตำราหรือนำอาจารย์นักวิชาการในด้านนั้นๆ มาอธิบาย ทว่าทุกครั้งไปจะต้องมีเรื่องของหวย การเสี่ยงโชค เข้ามาเกี่ยวข้องตลอด
ขณะที่นักข่าวเองก็ดูจะให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ไม่น้อยเช่นกัน เพราะถ้าลองสังเกตบ่อยๆ เราก็จะพบว่า ในรายละเอียดของข่าวมักจะมีการนำเสนอในเรื่องของตัวเลขที่ถูกตีออกมาและที่สำคัญก็คือข่าวทำนองนี้มักจะมาช่วงใกล้วันหวยออกทั้งสิ้น
คงจะเป็นเรื่องยากครับที่จะห้ามไม่ให้นักข่าวทำข่าว หรือห้ามนักอ่านอ่านข่าวทำนองนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยากจะเสนอแนะกันไว้ก็คือการสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการเก็บการทำสถิติ คือบอกให้รู้กันไปเลยว่าที่ผ่านๆ มาช้างน้ำให้หวยเข้ากี่งวด, ตะกวดหางแดงผิดไปกี่งวด, ต้นมะม่วงมีลูกเป็นทุเรียน ทำเจ้ามือเจ๊งไปแล้วกี่เจ้า ฯ เพื่อที่นักเสี่ยงโชคเองจะได้ใช้ข้อมูลเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจก่อนการลงทุน
...
มากันที่เรื่องของเด็กไทยลูกครึ่งญี่ปุ่นอย่าง "เคอิโงะ" ที่ถึงตอนนี้ผมว่านอกคำว่า อิไต, อิ๊กขุ, คิมูจิ๊, สุโค่ย, วาซาบิ, ซูชิ, ชินจัง ฯ แล้วก็มีชื่อของน้องเขานี่แหละครับที่เป็นคำที่ทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นประเทศญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี
ว่าไปแล้ว แม้ส่วนตัวผมเองรู้สึกว่าสื่อฯ ต่างๆ เองค่อนข้างจะโอเวอร์ในเรื่องการนำเสนอข่าวของน้องเขาชนิดที่ต้องเรียกว่าเป็นการ "ปั้นข่าว-ปั่นกระแส" (หนึ่งในนั้นก็คือการนำเสนอแบบเป็นเรียลลิตี้ ตั้งแต่ตื่นเช้า ไปโรงเรียน ไปขายของ ไปเล่นกับเพื่อนๆ เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปสถานทูตญี่ปุ่นเพื่อโทรศัพท์หาพ่อ ฯลฯ อย่างที่คุณวริษฐ์แกเขียนไว้ในคอลัมน์) ทว่า ที่ผมว่าน่ารังเกียจมากกว่าก็คือการเข้าไปอาศัยกระแสฉกฉวยหาผลประโยชน์ของบรรดาค่ายหนัง, ค่ายเพลง หรือแม้กระทั่งหน่วยงานของรัฐอย่างการท่องเที่ยว
ทั้งที่ประเด็นสำคัญของข่าวนี้ที่น่าจะนำมาขยายเพิ่มเติมก็คือกรณีมีคำสั่งเด้งด่วน นายประสิทธิ์ มีช้าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิจิตร ไปประจำที่ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีสาเหตุมาจากเจ้าตัวนั้นรู้เรื่องการตามหาพ่อของน้องเคอิโงะมานานกว่า 1 ปี ทว่ากลับไม่ให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด
ที่บอกว่าน่าขยายประเด็นนี้ก็เพราะที่ผ่านมาผมว่ายังมีอีกเยอะครับที่คนของหน่วยงานราชการทำงานแบบเช้าครึ่งชาม เย็นครึ่งชาม ไม่เห็นหัวประชาชนที่เป็นผู้จ่ายเงินเดือนให้ในรูปแบบของภาษีอากรเช่นนี้ ซึ่งถ้าใครจำกันได้กรณีของยายไฮ ขันจันฑา นั่นก็ครั้งหนึ่งแล้ว
ผมว่าหากเอาเรื่องนี้มาขยาย ประจาน รับรองว่าได้มีข้าราชการสันหลังยาวอีกหลายคนถูกเด้งอีกหลายเด้งแน่นอนครับ
...
มากันที่ข่าวของแพนด้าน้อยทายาทของช่วงช่วงกับหลินฮุ่ยที่ตอนนี้มีว่าที่ชื่ออยู่ด้วยกัน 4 รายชื่อ อันได้แก่ ขวัญไทย, ไทจีน,หลินปิง และหญิงหญิง ซึ่งไม่ว่าจะใช้ชื่อไหนก็ราคาเดียวกันหมดคือ 1 ล้านบาท
แม้จะไม่ได้เป็นญาติโกโหติกาอะไรกับเจ้าช่วงช่วงช่วง กับหลินฮุ่ย แต่ยอมรับครับว่าเมื่อทั้งสองได้ให้กำเนิดทายาทออกมานั้นผมเองก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่พอสมควรทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบรรดานักข่าวต่างติดตามรายงานข่าวของมันอย่างใกล้ชิดชนิดที่มีข่าวรายงานถึงความเปลี่ยนแปลง ตลอดจนพฤติกรรมของมันออกมาแทบจะเป็นรายวัน
ยิ่งมีรายงานว่าน้องแพนด้าที่เกิดในบ้านเราแต่ไม่ใช่สมบัติของประเทศเราตัวนี้ มีอะไรที่พิเศษกว่าแพนด้าตัวอื่นๆ เช่นมีพัฒนาการที่ไวมากอาจลืมตาก่อนครบ 45 วัน รวมถึงการพบว่าน้องแพนด้านั้นมีขนขาวขึ้นเหนือส้นเท้าซึ่งเป็นตัวแรกที่มีลักษณะเช่นนี้ ความตื่นเต้นก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก
ขณะเดียวกันก็ให้รู้สึกอึ้งๆ มึนๆ กับข่าวที่คนทำกับน้องหมี เช่น นายโสภณ ดำนุ้ย ผอ.องค์การสวนสัตว์ฯ นำเจ้าหน้าที่กว่า 100 คนวิ่งแก้บน, มีการเตรียมเค้กไว้ให้แพนด้าเป่าตอนที่เกิดครบ 1 เดือน และที่ชวนให้เจ็บที่หัวใจจริงๆ ก็คือข่าวที่วังช้างอยุธยาจับเอาสัตว์คู่บ้านคู่เมืองและมีบุญคุณในการร่วมรบรักษาดินแดนกับบรรดาทหารหาญมาแต่งหน้าป้ายสีให้เป็นแพนด้านั่นแหละครับ
ถือเป็นเรื่องที่ดีครับที่จะใช้กระแสแพนด้าปลูกฝังให้บรรดาเด็กๆ ได้มีจิตใจที่โอบอ้อมอารี รักสัตว์ แต่ทั้งนี้มันจะดีกว่าหรือไม่ถ้าสื่อฯ ในบ้านเราจะใช้โอกาสจังหวะเดียวกันนี้ชี้และกระตุ้นเตือนจิตสำนึกให้คนทั่วไปรู้สึกตระหนักด้วยว่า บรรดาสัตว์อื่นๆ ที่บ้านเรามี อาทิ ช้างเร่ร่อนในเมือง ควายที่ไถนาไม่เป็น สุนัขจรจัด สัตว์ป่าที่ถูกนำมาฆ่าแกงด้วยความเข้าใจที่ผิดๆ นั้น ทุกชีวิตต่างก็ต้องการความรักความเอาใจใส่และรอให้มีใครสักคนยื่นมือเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาให้มันด้วยเช่นกัน
ว่ากันด้วยเรื่องของสัตว์แล้วก็ขอปิดท้ายด้วยเรื่องของสัตว์อย่างเจ้าตัว เหี้ย! ซึ่งสังเกตมั้ยครับว่าหลังๆ มันค่อนข้างจะเป็นข่าวบ่อยทีเดียว
โดยเฉพาะบรรดาเหี้ยทั้งหลายที่(อาศัย)อยู่ใน(บริเวณพื้นที่ของ)สภากับทำเนียบ
ขนาดจะมีอะไรกันอันเป็นความสุขส่วนตัวก็ยังไม่วายถูกนักข่าวแชะภาพและเอามาเขียนเป็นตุเป็นตะ
ล่าสุดคนก็ไปวุ่นวายกับเหี้ยให้กลายเป็นข่าวอีกแล้วครับ เมื่อทางคุณชัชวาลย์ พิศดำขำ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่ากรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เกิดไอเดียบรรเจิดอยากจะยกระดับตัวเหี้ยให้ดูดีขึ้น(ในความรู้สึกของคน)ด้วยการเตรียมที่จะเปลี่ยนชื่อของมันหลังจากใช้ชื่อว่าตัวเงินตัวทองมาแล้ว มาใช้ชื่อว่า "วรนุช" แทน
ไม่ใช่ว่าจะมาตั้งกันแบบไม่มีที่มาที่ไป หรือมีเหี้ยมาเข้าฝันบอกให้เปลี่ยนอะไรหรอกครับ แต่ชื่อนี้เป็นการนำมาจากคำภาษาอังกฤษของตัวเหี้ยอย่าง Varanus salvator ซึ่งเป็นสัตว์ในว่านวงศ์ Varanidae นั่นเอง
ทันทีที่เป็นข่าวออกมาเดาไม่ยากเลยใช่มั้ยครับว่าจะมีคนยกเท้าแสดงความไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้มากน้อยเพียงใด? เฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่ต้องผูกพันกับคำๆ นี้ยกตัวอย่างที่นักข่าวไปสอบถามความคิดเห็น ทั้งในส่วนของน้องนุ่น วรนุช ที่แม้จะบอกว่าไม่ซีเรียสแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ ขณะที่คุณแม่ผ่องศรี วรนุช ของเรานั้นบอกตรงๆ ว่าไม่ชอบเอาเสียเลย
สำหรับใครที่มีคำว่า "วรนุช" อยู่ในตัวผมว่าก็คงจะไม่ชอบใจข่าวนี้เป็นอย่างยิ่งแหละครับ และถ้าจะว่าไปแล้วการเรียกชื่อสัตว์ชนิดนี้ว่าเหี้ยและนำมาซึ่งการเป็นคำเปรียบเปรยหรือคำด่ามันก็เหมาะกับนิสัยและพฤติกรรมของมันในเชิงลบที่ชอบกินของสกปรก คลุกคลีอยู่กับของเน่าเหม็นอยู่แล้ว
จะมาเปลี่ยนให้มีความหมายตามคำว่า "วรนุช" ที่แปลว่าผู้หญิง ซึ่งเมื่อยามจะสบถด่าเพื่อนหรือใครๆ แล้วต้องมีหน้าของน้องนุ่นที่แสนจะแสนหวานลอยมา ผมว่ามันดูเข้ากันอย่างบัดซบอย่างไรก็ไม่รู้
สุดท้ายนี้ก็อยากจะฝากถามไปยังบรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลายที่คิดเรื่องนี้ขึ้นมานะครับว่า ว่างมากหรือไงครับ ถึงได้คิดเรื่องวรนุช วรนุช เช่นนี้ขึ้นมาได้?
...
เรียนตามตรงครับว่า หลังได้อ่านบทความของคุณ "วริษฐ์ ลิ้มทองกุล" เรื่อง "สงครามข่าวฟรีทีวี" แล้ว ในฐานะของคนที่ทำงานอยู่ในแวดวงสื่อสารมวลชนคนหนึ่ง มันให้รู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ขึ้นมาทันที
เจ็บจี๊ดเพราะโดนใจเสียเหลือเกิน (ใครยังไม่ได้อ่านสามารถลากเมาท์ไปวางบนหัวข้อเรื่องที่ว่าแล้วคลิกเข้าไปอ่านข่าวได้เลยครับ)
บทความดังกล่าว คุณวริษฐ์พูดถึงการได้อ่านนิตยสาร Positioning ฉบับเดือนมิถุนายน 2552 ซึ่งประเด็นหลักๆ นั้นว่าด้วยเรื่องของการแข่งขันการ "ทำข่าว" ระหว่างฟรีทีวี ช่อง 3 และช่อง 7 ที่มีทั้งการดึงผู้ประกาศ(ที่น่าจะขายได้)เข้ามาอยู่ในสังกัด, เรื่องของเทคโนโลยี รวมไปถึงรูปแบบของการรายงานที่ว่ากำลังจะหมดยุคของการเล่าข่าว และเข้าสู่ยุคเรียลลิตี้ข่าวแทน
ทั้งนี้คุณวริษฐ์เองมองว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันหาใช่ประเด็นสำคัญแต่อย่างใด ในเมื่อสื่อมวลชนส่วนใหญ่เองยังคงให้ค่าความสำคัญกับการรายงานกระพี้ของข่าว หรือข่าวที่คนอยากรู้ (เช่น ข่าวหมีแพนด้า, เคอิโงะ, เต๋า แต่งงานใหม่, ข่าวศึกญาติพุ่มพวง) เยอะเกินไปมากกว่าการเจาะลึกถึงแก่นสาระที่แท้จริงของข่าวที่สื่อ "ต้องนำ" เสนอให้คนได้รู้ เช่นเรื่องของรถเมล์เช่าที่ส่อว่าจะมีการคอรัปชัน, ข่าวช่อง 3 พยายามต่อสัญญาสัมปทานที่มีแนวโน้มจะเป็นการเอาเปรียบ อสมท และภาครัฐ ฯ อันถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างคุณภาพคนในการที่จะพัฒนาสังคมให้มีความเจริญต่อไป
ที่สำคัญมันน่าจะเป็นบทบาทหน้าที่ที่แท้จริงของคนที่ทำงานในแวดวงสื่อสารมวลชนในการที่จะต้องช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ของประชาชน หากมีอะไรที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งเหล่านี้ทั้งเรื่องของปัญหาสภาพแวดล้อม ปัญหาการคอรัปชั่นซึ่งโยงไปถึงเรื่องของเงินภาษีอากร เรื่องของสวัสดิการต่างๆ ที่ประชาชนพึงได้ ฯ ประเด็นเหล่านี้สื่อฯ เองจำเป็นที่จะต้องร่วมกันคุดคุ้ย เกาะติด เพื่อรายงานให้คนในสังคมส่วนใหญ่ได้รับทราบมิใช่หรือ?
ผมเองก็ต้องถือว่าโชคดีเช่นเดียวกับคุณวริษฐ์ครับที่มีโอกาสได้เข้าไปประชุมข่าวในช่วงเช้าๆ ร่วมกับกองบรรณาธิการข่าวของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน(ปัจจุบันคือเอเอสทีวีผู้จัดการรายวัน)ที่เคยมีคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เข้าร่วมด้วย(อยู่ช่วงหนึ่ง) ซึ่งนอกจากจะชอบคำสอนที่เป็นแนวทางของการทำงานจากประโยคที่ว่า...มองอะไรต้องมองทั้งป่าอย่ามองเพียงต้นไม้ต้นเดียวแล้ว ก็มีคำสอนที่ว่า...ทุกวันนี้สื่อไม่เพียงต้องนำเสนอ ‘ข่าวที่คนอยากรู้’ แต่มีภาระและหน้าที่ในการนำเสนอ ‘ข่าวที่คนต้องรู้’ ด้วย ตามที่คุณวริษฐ์เองบอกไว้ในบทความนั่นแหละครับที่ผมเองก็เห็นด้วยเป็นที่สุด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไอ้ครั้นจะไปเขียนถึงประเด็นเดิมของคุณวริษฐ์ก็คงจะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา (ทำเป็นเท่ห์ไปอย่างนั้นเองแหละครับ อันที่จริงต่อให้เขียนจริงๆ ด้วยสติปัญญาระดับผมแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงจะไม่มีอะไรต่างไปจากการไม่ได้เขียนสักเท่าไหร่หรอก) เอาเป็นว่าวันนี้ผมจะลองย้อนหันกลับไปดูกันว่าตลอดระยะเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา ในส่วนที่กระพี้ของข่าวหรือข่าวที่คนอยากรู้ตามนัยของคุณวริษฐ์นั้น หากมองในมุมอื่นๆ มันมีอะไรพอที่จะสะท้อนออกมาเป็นประโยชน์ได้บ้างหรือไม่ทั้งในแง่ของคนทำข่าวเองรวมถึงคนเสพ?
เพราะต้องไม่ลืมนะครับว่า ในความเป็นจริงเราจะต้องอยู่กับข่าวในลักษณะนี้ไปอีกนาน
อนึ่งต้องออกตัวก่อนว่า "บุคคล" ต่างๆ ในข่าวนั้นมิได้มีความผิด-ถูก-ชั่ว-ดี แต่อย่างใดในทัศนะของผมนะครับ เพราะพวกเขาหรือว่าเธอจะไม่เป็นข่าวเลยหากไม่มีใครไปทำให้เป็นข่าวขึ้นมา
...
ข่าวแรกต้องบอกว่าเป็นข่าวที่ได้ใจผมจริงๆ ชนิดที่รู้สึกว่ามันมีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ(วะ) ก็คือข่าวกรณีของน้องณัฐ หรือนายอณัฐสนนท์ วะลัยใจ กะเทยวัย 21 ปี ที่ลงทุนซื้อกัญชาหิ้วขึ้นโรงพักให้ตำรวจจับด้วยเหตุผลที่ว่าอยากจะกลับไปติดคุกอีกครั้ง (เจ้าตัวเพิ่งจะถูกปล่อยตัวออกมาได้อาทิตย์กว่าๆ หลังถูกจับข้อหาครอบครองยาไอซ์) เพื่อที่จะได้ไปอยู่กับคนรักที่ถูกจำคุกอยู่ใน เรือนจำ กลางจังหวัดชลบุรี
แค่พล็อตเรื่องที่ราวกับมุกในรายการ "คดีเด็ด" ก็เหลือทนแล้วครับ แต่ไอ้ที่ผมรู้สึกแปลกใจมากที่สุดเกี่ยวกับข่าวนี้ก็คือภาพที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ที่น้องณัฐเธอเปิดเสื้อโชว์นมนั่นแหละครับ ไม่ทราบว่ามันเกี่ยวอะไรกันตรงไหน?
และที่สำคัญคือไม่มีข่าวออกมาเลยนะครับว่าตำรวจเองได้ขยายผลการจับกุมหรือไม่ว่าน้องณัฐของเราไปซื้อกัญชามาจากใครกัน?
...
ถัดมาที่คลาสสิกมากๆ เช่นกันก็คือข่าว "งูหัวคน"
ผมนั่งดูข่าวนี้ผ่านทางช่อง 7 ครับ ผู้ประกาศข่าวสาวหน้าตาดีเธอก็บรรยายถึงลักษณะของตัวประหลาดว่ามีใบหน้าเหมือนคนแก่ ผมสีทอง มีแขนคล้ายขาไก่ฯ พร้อมบอกถึงรายละเอียดว่าชาวบ้านเห็นอยู่บริเวณถ้ำใกล้กับเขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยมีบทสัมภาษณ์พระรูปหนึ่งของวัดพนมสังวาส จ.ศรีษะเกษ บอกว่าเห็นทหารกัมพูชาพาออกจากถ้ำไปแล้ว
ข่าวนี้มีคลิปเคลื่อนไหวมาให้ชมกันด้วยครับโดยบอกว่าเป็นชาวเขมรถ่ายไว้ แต่ดูยังๆ ผมก็รู้สึกว่า ไอ้ที่เคลื่อนไหวน่ะคือคนกับตัวโทรศัพท์ที่ใช้ถ่ายมากกว่า ส่วนไอ้ตัวประหลาดนั้นนิ่งแข็งขนาดที่ว่ามีคนยื่นมือจับไปยังส่วนที่เป็นผม งูหัวคนยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย
อย่างไรก็ตามที่ผมชอบมากๆ ก็คือในช่วงท้ายของข่าวที่ทางผู้ประกาศสาวได้ทิ้งท้ายไว้ว่า ให้รับชมข่าวนี้อย่างมีวิจารณญาณเพราะตัวประหลาดที่ว่านี้ไม่อยู่ให้เราได้พิสูจน์แล้ว ขณะที่ผู้ประกาศอีกคนก็เสริมขึ้นมาว่า...และก็ยังไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่
อ้าว! ซวยคนดูข่าวอย่างตรูอีก สรุปว่าต้องไปตามหาความจริงกันเองใช่มั้ยเนี่ย?
โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบครับที่ว่าข่าวนี้ นสพ.คมชัดลึกได้มีการตามรายงานต่อ เนื่องจากมันค่อนข้างจะคลุมเครือ เช่นรายละเอียดของที่มาของข่าวที่บ้างก็ว่าเป็นทหารเขมรจับได้ ขณะที่บ้างก็ว่าเป็นทหารลาวจับได้ ซึ่งผลของการตามข่าวก็พอที่จะทำให้รู้เพิ่มเติมว่าเรื่องทำนองนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ มีการโพสต์คลิปที่ว่าไว้ในเว็บไซต์ Youtube นานแล้ว
ที่สำคัญในข่าวยังบอกด้วยว่าที่ผ่านมาได้มีนักมนุษยวิทยาชาวมาเลเชียเคยคิดรวจดีเอ็นเอ "สัตว์ประหลาดงูหัวคน" ซึ่งพบที่ประเทศอินโดนีเซีย มาตั้งแต่ปี 1972 แล้ว
และไม่ใช่จะมีเฉพาะงูหัวคนเท่านั้นครับ มันยังมีเรื่องของ ปลาดาวหัวคน จรเข้หัวคน อีกต่างหาก โดยภาษาทางวิชาการได้เรียกสัตว์ประหลาดเหล่านี้ว่า "JENGLOT" หรือสิ่งเหนือธรรมชาติ (ลองพิมพ์คำนี้ใส่ใน google จะมีภาพพวกนี้ออกมาเพียบเลย)
ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่า คนที่ดูข่าวจากช่อง 7 พร้อมๆ กับผมนั้นจะมีโอกาสได้รับรู้เรื่องนี้(เพิ่มขึ้น)สักกี่คนกัน?
...
ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเราอาจจะได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับความแม่นยำในการให้หวยของหลวงพ่อปากแดง ที่วัดพราหมณี ต.สาริกา อ.เมืองนครนายก ที่ว่ากันว่าทำเอาบรรดาเจ้ามือหวยขยาดมาแล้ว ทว่าสำหรับในปีนี้ดูเหมือนว่าจิ้งจกสีแดงที่ชื่อ "ถุงเงินถุงทอง" ของ นายบริบูรณ์ ธูปแก้ว ชาวอยุธยา ดูจะมาแรงไม่แพ้กัน
ในรายละเอียดของข่าวส่วนหนึ่งระบุไว้ว่า...น.ส.ยุวดี ธูปแก้ว อายุ 24 ปี ลูกสาวเจ้าของบ้านที่พบจิ้งจกสีแดงเป็นคนแรก เล่าว่า ตนพบจิ้งจกตัวนี้เมื่อเวลาประมาณตี 3 ของวันที่ 8 พ.ค. ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา เนื่องจากลูกสาวของตนชื่อน้องเอ๋ย หรือด.ญ.ช่อลัดดา อายุ 2 เดือน ส่งเสียงร้องกลางดึก ตนจึงลุกขึ้นมาดูแล้วให้นมจนลูกสาวหลับไป ระหว่างนั้นบังเอิญเห็นจิ้งจกสีแดงเกาะอยู่ข้างในมุ้ง
ตอนแรกเธอเองก็ไม่ได้สนใจอะไรและนอนหลับไปจนกระทั่งเช้า ตื่นมาก็ยังเห็นจิ้งจกสีแดงเกาะอยู่ที่เดิม ตนเลยบอกไปว่า "อยากอยู่ด้วยกันก็ได้" พร้อมทั้งยกมือไหว้แล้วเอื้อมมือไปจับจิ้งจกได้อย่างง่ายดาย โดยมันไม่ได้คลานหลบหนีไปไหน จากนั้นจึงนำมาให้พ่อดู พ่อบอกว่าจิ้งจกตัวนี้เป็นจิ้งจกมีบุญ เขาคงต้องการจะมาอาศัยอยู่ในบ้านเรา ต้องเลี้ยงดูให้ดี จากนั้นได้ไปนำเอาตู้ปลามาใส่เลี้ยงไว้ พร้อมทั้งตั้งชื่อเจ้าจิ้งจกสีแดงว่า "ถุงเงินถุงทอง"
จะว่าไปแล้วอารมณ์ของข่าวจิ้งจกแดงนี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจาก ข่าวแปลกเรื่องประหลาด ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้แต่อย่างใด อาทิ ปลวกรูปร่างคล้ายหน้าคน หัวปลีงวงช้าง ฯลฯ ซึ่งแม้ในระยะหลังๆ นักข่าวจะทำให้ข่าวลักษณะนี้ดูสมบูรณ์มีความคิดสติปัญญาขึ้นด้วยการอิงเรื่องของธรรมชาติ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ความรู้จากตำราหรือนำอาจารย์นักวิชาการในด้านนั้นๆ มาอธิบาย ทว่าทุกครั้งไปจะต้องมีเรื่องของหวย การเสี่ยงโชค เข้ามาเกี่ยวข้องตลอด
ขณะที่นักข่าวเองก็ดูจะให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ไม่น้อยเช่นกัน เพราะถ้าลองสังเกตบ่อยๆ เราก็จะพบว่า ในรายละเอียดของข่าวมักจะมีการนำเสนอในเรื่องของตัวเลขที่ถูกตีออกมาและที่สำคัญก็คือข่าวทำนองนี้มักจะมาช่วงใกล้วันหวยออกทั้งสิ้น
คงจะเป็นเรื่องยากครับที่จะห้ามไม่ให้นักข่าวทำข่าว หรือห้ามนักอ่านอ่านข่าวทำนองนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยากจะเสนอแนะกันไว้ก็คือการสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการเก็บการทำสถิติ คือบอกให้รู้กันไปเลยว่าที่ผ่านๆ มาช้างน้ำให้หวยเข้ากี่งวด, ตะกวดหางแดงผิดไปกี่งวด, ต้นมะม่วงมีลูกเป็นทุเรียน ทำเจ้ามือเจ๊งไปแล้วกี่เจ้า ฯ เพื่อที่นักเสี่ยงโชคเองจะได้ใช้ข้อมูลเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจก่อนการลงทุน
...
มากันที่เรื่องของเด็กไทยลูกครึ่งญี่ปุ่นอย่าง "เคอิโงะ" ที่ถึงตอนนี้ผมว่านอกคำว่า อิไต, อิ๊กขุ, คิมูจิ๊, สุโค่ย, วาซาบิ, ซูชิ, ชินจัง ฯ แล้วก็มีชื่อของน้องเขานี่แหละครับที่เป็นคำที่ทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นประเทศญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี
ว่าไปแล้ว แม้ส่วนตัวผมเองรู้สึกว่าสื่อฯ ต่างๆ เองค่อนข้างจะโอเวอร์ในเรื่องการนำเสนอข่าวของน้องเขาชนิดที่ต้องเรียกว่าเป็นการ "ปั้นข่าว-ปั่นกระแส" (หนึ่งในนั้นก็คือการนำเสนอแบบเป็นเรียลลิตี้ ตั้งแต่ตื่นเช้า ไปโรงเรียน ไปขายของ ไปเล่นกับเพื่อนๆ เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปสถานทูตญี่ปุ่นเพื่อโทรศัพท์หาพ่อ ฯลฯ อย่างที่คุณวริษฐ์แกเขียนไว้ในคอลัมน์) ทว่า ที่ผมว่าน่ารังเกียจมากกว่าก็คือการเข้าไปอาศัยกระแสฉกฉวยหาผลประโยชน์ของบรรดาค่ายหนัง, ค่ายเพลง หรือแม้กระทั่งหน่วยงานของรัฐอย่างการท่องเที่ยว
ทั้งที่ประเด็นสำคัญของข่าวนี้ที่น่าจะนำมาขยายเพิ่มเติมก็คือกรณีมีคำสั่งเด้งด่วน นายประสิทธิ์ มีช้าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิจิตร ไปประจำที่ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีสาเหตุมาจากเจ้าตัวนั้นรู้เรื่องการตามหาพ่อของน้องเคอิโงะมานานกว่า 1 ปี ทว่ากลับไม่ให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด
ที่บอกว่าน่าขยายประเด็นนี้ก็เพราะที่ผ่านมาผมว่ายังมีอีกเยอะครับที่คนของหน่วยงานราชการทำงานแบบเช้าครึ่งชาม เย็นครึ่งชาม ไม่เห็นหัวประชาชนที่เป็นผู้จ่ายเงินเดือนให้ในรูปแบบของภาษีอากรเช่นนี้ ซึ่งถ้าใครจำกันได้กรณีของยายไฮ ขันจันฑา นั่นก็ครั้งหนึ่งแล้ว
ผมว่าหากเอาเรื่องนี้มาขยาย ประจาน รับรองว่าได้มีข้าราชการสันหลังยาวอีกหลายคนถูกเด้งอีกหลายเด้งแน่นอนครับ
...
มากันที่ข่าวของแพนด้าน้อยทายาทของช่วงช่วงกับหลินฮุ่ยที่ตอนนี้มีว่าที่ชื่ออยู่ด้วยกัน 4 รายชื่อ อันได้แก่ ขวัญไทย, ไทจีน,หลินปิง และหญิงหญิง ซึ่งไม่ว่าจะใช้ชื่อไหนก็ราคาเดียวกันหมดคือ 1 ล้านบาท
แม้จะไม่ได้เป็นญาติโกโหติกาอะไรกับเจ้าช่วงช่วงช่วง กับหลินฮุ่ย แต่ยอมรับครับว่าเมื่อทั้งสองได้ให้กำเนิดทายาทออกมานั้นผมเองก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่พอสมควรทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบรรดานักข่าวต่างติดตามรายงานข่าวของมันอย่างใกล้ชิดชนิดที่มีข่าวรายงานถึงความเปลี่ยนแปลง ตลอดจนพฤติกรรมของมันออกมาแทบจะเป็นรายวัน
ยิ่งมีรายงานว่าน้องแพนด้าที่เกิดในบ้านเราแต่ไม่ใช่สมบัติของประเทศเราตัวนี้ มีอะไรที่พิเศษกว่าแพนด้าตัวอื่นๆ เช่นมีพัฒนาการที่ไวมากอาจลืมตาก่อนครบ 45 วัน รวมถึงการพบว่าน้องแพนด้านั้นมีขนขาวขึ้นเหนือส้นเท้าซึ่งเป็นตัวแรกที่มีลักษณะเช่นนี้ ความตื่นเต้นก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก
ขณะเดียวกันก็ให้รู้สึกอึ้งๆ มึนๆ กับข่าวที่คนทำกับน้องหมี เช่น นายโสภณ ดำนุ้ย ผอ.องค์การสวนสัตว์ฯ นำเจ้าหน้าที่กว่า 100 คนวิ่งแก้บน, มีการเตรียมเค้กไว้ให้แพนด้าเป่าตอนที่เกิดครบ 1 เดือน และที่ชวนให้เจ็บที่หัวใจจริงๆ ก็คือข่าวที่วังช้างอยุธยาจับเอาสัตว์คู่บ้านคู่เมืองและมีบุญคุณในการร่วมรบรักษาดินแดนกับบรรดาทหารหาญมาแต่งหน้าป้ายสีให้เป็นแพนด้านั่นแหละครับ
ถือเป็นเรื่องที่ดีครับที่จะใช้กระแสแพนด้าปลูกฝังให้บรรดาเด็กๆ ได้มีจิตใจที่โอบอ้อมอารี รักสัตว์ แต่ทั้งนี้มันจะดีกว่าหรือไม่ถ้าสื่อฯ ในบ้านเราจะใช้โอกาสจังหวะเดียวกันนี้ชี้และกระตุ้นเตือนจิตสำนึกให้คนทั่วไปรู้สึกตระหนักด้วยว่า บรรดาสัตว์อื่นๆ ที่บ้านเรามี อาทิ ช้างเร่ร่อนในเมือง ควายที่ไถนาไม่เป็น สุนัขจรจัด สัตว์ป่าที่ถูกนำมาฆ่าแกงด้วยความเข้าใจที่ผิดๆ นั้น ทุกชีวิตต่างก็ต้องการความรักความเอาใจใส่และรอให้มีใครสักคนยื่นมือเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาให้มันด้วยเช่นกัน
ว่ากันด้วยเรื่องของสัตว์แล้วก็ขอปิดท้ายด้วยเรื่องของสัตว์อย่างเจ้าตัว เหี้ย! ซึ่งสังเกตมั้ยครับว่าหลังๆ มันค่อนข้างจะเป็นข่าวบ่อยทีเดียว
โดยเฉพาะบรรดาเหี้ยทั้งหลายที่(อาศัย)อยู่ใน(บริเวณพื้นที่ของ)สภากับทำเนียบ
ขนาดจะมีอะไรกันอันเป็นความสุขส่วนตัวก็ยังไม่วายถูกนักข่าวแชะภาพและเอามาเขียนเป็นตุเป็นตะ
ล่าสุดคนก็ไปวุ่นวายกับเหี้ยให้กลายเป็นข่าวอีกแล้วครับ เมื่อทางคุณชัชวาลย์ พิศดำขำ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่ากรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เกิดไอเดียบรรเจิดอยากจะยกระดับตัวเหี้ยให้ดูดีขึ้น(ในความรู้สึกของคน)ด้วยการเตรียมที่จะเปลี่ยนชื่อของมันหลังจากใช้ชื่อว่าตัวเงินตัวทองมาแล้ว มาใช้ชื่อว่า "วรนุช" แทน
ไม่ใช่ว่าจะมาตั้งกันแบบไม่มีที่มาที่ไป หรือมีเหี้ยมาเข้าฝันบอกให้เปลี่ยนอะไรหรอกครับ แต่ชื่อนี้เป็นการนำมาจากคำภาษาอังกฤษของตัวเหี้ยอย่าง Varanus salvator ซึ่งเป็นสัตว์ในว่านวงศ์ Varanidae นั่นเอง
ทันทีที่เป็นข่าวออกมาเดาไม่ยากเลยใช่มั้ยครับว่าจะมีคนยกเท้าแสดงความไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้มากน้อยเพียงใด? เฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่ต้องผูกพันกับคำๆ นี้ยกตัวอย่างที่นักข่าวไปสอบถามความคิดเห็น ทั้งในส่วนของน้องนุ่น วรนุช ที่แม้จะบอกว่าไม่ซีเรียสแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ ขณะที่คุณแม่ผ่องศรี วรนุช ของเรานั้นบอกตรงๆ ว่าไม่ชอบเอาเสียเลย
สำหรับใครที่มีคำว่า "วรนุช" อยู่ในตัวผมว่าก็คงจะไม่ชอบใจข่าวนี้เป็นอย่างยิ่งแหละครับ และถ้าจะว่าไปแล้วการเรียกชื่อสัตว์ชนิดนี้ว่าเหี้ยและนำมาซึ่งการเป็นคำเปรียบเปรยหรือคำด่ามันก็เหมาะกับนิสัยและพฤติกรรมของมันในเชิงลบที่ชอบกินของสกปรก คลุกคลีอยู่กับของเน่าเหม็นอยู่แล้ว
จะมาเปลี่ยนให้มีความหมายตามคำว่า "วรนุช" ที่แปลว่าผู้หญิง ซึ่งเมื่อยามจะสบถด่าเพื่อนหรือใครๆ แล้วต้องมีหน้าของน้องนุ่นที่แสนจะแสนหวานลอยมา ผมว่ามันดูเข้ากันอย่างบัดซบอย่างไรก็ไม่รู้
สุดท้ายนี้ก็อยากจะฝากถามไปยังบรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลายที่คิดเรื่องนี้ขึ้นมานะครับว่า ว่างมากหรือไงครับ ถึงได้คิดเรื่องวรนุช วรนุช เช่นนี้ขึ้นมาได้?