“ริว” เปิดใจมี ภรรยา 2 คน มีลูก 3 คนจริง ขอบคุณสื่อที่ช่วยปกปิดมาตลอด ไม่โกรธที่วันนี้เรื่องทุกอย่างถูกเปิดเผย เข้าใจว่าเป็นหน้าที่ เผย สาเหตุที่ออกจากวงการเพราะกลัวว่าลูกจะได้รับผลกระทบ ที่สำคัญไม่อยากโกหกประชาชนเรื่องมีลูกมีเมียแล้ว บอก ตอนนี้ชีวิตมีความสุข ตั้งใจทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวเลี้ยงดูทั้ง 5 ชีวิตอย่างดี แย้มหากมีโอกาสอยากกลับมาทำงานวงการบันเทิง
หลังจากที่มีข่าวลือออกมาหนาหูนานหลายปี ถึงข่าวของพระเอกอดีตหน้าเด็ก “ริว อาทิตย์ ตั้งสวัสดิรัตน์” ว่าแอบซุกลูกเมียจนต้องหนีออกจากวงการ ล่าสุดก็ “ASTVผู้จัดการออนไลน์” ไปได้ภาพหนุ่มริวจูงเด็ก 2 คนไปเที่ยวในห้างคริสตัล พาร์ค ย่านรามอินทรา แถมยังเรียกหนุ่มริวว่า “ปะป๊า” ทุกคำ
งานนี้ความเลยแตกโพล๊ะ! ว่าข่าวลือเมื่อหลายปีก่อนเป็นเรื่องจริง ซึ่งหลังจากเก็บตัวเงียบอยู่นาน ล่าสุดหนุ่มริวก็ออกมาเปิดใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในรายการบันเทิง “ไนท์เอ็นเตอร์เทน” ว่าเด็กที่เห็นทั้งสองคน เป็นลูกของตนจริงๆ
“ใช่ครับเป็นลูกของผมเองครับ 3 คน ภีม เภา ลิ้งค์ลิ้งค์ ที่ไม่อยากเปิดเผยตอนนั้นเป็นความรู้สึกของผมที่ผมเป็นพ่อคนแล้วผมอยาก ให้เขาโตแบบธรรมชาติของคนปกติ ไม่มีชื่อเสียง ผมอยากให้เด็กโตมาจากพื้นฐานความรู้สึกแบบเบสิคๆ”
“ริวมีเขาตั้งแต่ริวอายุ 24 ครับ ผมต้องบอกว่าตอนช่วงนั้นก่อนที่มีภรรยาผมใช้ชีวิตแป๋มากเพราะคุณยายผมเสีย แล้วผมเป็นคนรักยายชีวิตผมในโลกใบนี้ไม่มีอะไรอีกแล้ว ผมไม่อยู่แล้ว ถ้ามีอยู่สิ่งเดียวที่ผมอยู่ได้คือลูก ก็คือหัวใจ เราไม่ได้ทำตัวเหลวแหลกแต่ว่าสภาพจิตใจผมแหลก”
“ก็คิดอยู่แล้ว ผมก็รู้อยู่ว่าวันนึงจะต้องถูกเปิดเผย แต่ว่าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่รู้และเชื่อว่าวันนึงก็ต้องถูกเปิดเผย เพราะว่าในโลกใบนี้ไม่มีความลับ ก็ตกใจเพราะผมไม่ได้ตั้งตัว พอได้รับข่าวก็12345จะทำอะไรก่อน อันดับแรกต้องคุยกับลูกก่อน เพราะลูกจะงงไงว่าเขาจะโดนอะไรบ้าง เพราะว่าเขาตอนนี้เป็นคนสาธารณะแล้ว ตอนนี้ทุกคนรู้จักแล้ว”
“จริงๆ พร้อมมานานแล้ว แต่แค่ว่ายังไม่ได้บอกกับลูก ผมบอกตั้งแต่วันที่ภาพมันกระจายทั่วเน็ต ผมก็รวมเขาสองคนมาตั้งหลัก ผมจะคุยแบบไม่เครียดคุยแบบติดตลก คุยให้เขาหัวเราะว่าอะไรคือวงการบันเทิง อะไรคือสื่อมวลชน ตอนนี้เขาเห็นภาพเขาแล้ว ปะป๊าๆใครมาถ่ายภาพปะป๊ากับเขา ปะป๊าทำไมเพื่อนภีมอะไรเต็มไปหมดเลย ภีมไปโรงเรียนทำไมมาถามว่านายๆๆ เป็นลูกริวเหรอ นายๆๆใครคือริวไม่รู้จัก คือเด็กเขายังงงคำถามเขาอยู่”
“ก่อนหน้านั้นไม่เคยบอกเขาเลย เพราะผมไม่เคยให้เขารู้อยู่แล้ว ว่าวงการบันเทิงมันคืออะไร แล้วปะป๊าเข้าไปอยู่ในทีวีได้ยังไง เขารู้ว่าเราเป็นดารา แต่เขาไม่เข้าใจว่าดารากระโดดเข้าไปอยู่ในทีวีได้ยังไง พอมีข่าวออกมาก็ไม่ต้องอธิบายเลยครับ ผมพูดกับเขาว่า ไม่ว่าปะป๊าจะเป็นยังไง ปะป๊าคนนี้ก็คือปะป๊า แล้วปะป๊าคนนี้ก็รักลูกที่ปะป๊ามีทุกคน”
บอก กับภรรยาคนแรกไม่ได้พลาดท้องก่อน ส่วนสาเหตุที่เลิกเพราะไปกันไม่ได้ เผยการใช้ชีวิตคู่ทั้งสองครั้งไม่ได้ผ่านการแต่งงานเลย
“เป็นเพื่อนมาด้วยกันที่ม.รังสิต ช่วงนั้นเราก็จบกันมาได้สักพักแล้ว ไม่ได้มีการแต่งงานอะไรครับ เราก็มีจัดน้ำชาคารวะผู้ใหญ่ ตอนที่จัดพิธียกน้ำชาภรรยาผมก็ไม่ได้ท้อง ไม่เกี่ยว ไม่ได้แต่งจากการที่ท้องก่อนอะไรไม่ใช่ ก็อยู่ด้วยกันมาประมาณ 3-4 ปี ลูกชายหมดเลยทั้งสองคน คนเล็กเป็นลูกสาวกับภรรยาคนที่สอง สาเหตุที่เลิกกับคนแรกเพราะความไม่เข้าใจ แต่ว่าจากกันด้วยดีและทุกวันนี้ก็ยังคุยกัน”
“เลิกกับภรรยาคนแรกไปแล้วหลายปี คือตอนนั้นมีความรู้สึกว่าจริงๆ แล้วก็ไม่ได้อยากจะมีอีก เพราะเรามีความรู้สึกว่าเราเฟล เรารู้สึกว่าเราอีกแล้ว เราอยากจะสร้างให้ครอบครัวอบอุ่น แล้วเราเป็นคนที่ไม่ได้อยู่กันเป็นครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก ชีวิตเราก็คิดอยู่แล้วว่าพอในวุฒิภาวะของเราตอนนั้น เราก็เด็กจริงๆ ตอนนั้นเด็กกันทั้งคู่เลย แล้วก็มาเรียนรู้ว่าครอบครัวเป็นยังไง เป็นการเริ่มต้น”
“กับคนที่สองก็ไม่แต่ง คืออย่างนี้พอเราตกลงกันว่าโอเคจะใช้ชีวิตด้วยกัน จะเป็นเพื่อนกันยันแก่ จะทำให้ความสุขตรงนี้เติมเต็มซึ่งกันและกันก็โอเค แค่นี้เองความรักมันง่ายๆ แค่นี้เอง มันไม่ต้องมีอะไรเยอะ เขามีชีวิตความคิดที่ตรงกับเรา แล้วก็ปลงแล้วในโลกใบนี้ เรื่องเงินเรื่องทองก็ไม่ได้มีความสำคัญมาก แต่มันสำคัญตรงที่ว่ามันทำให้เราอยู่รอดได้เท่านั้นเอง แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้สำคัญ”
เผยไม่ตั้งใจซุกลูกเมีย แต่ภรรยาไม่อยากเป็นที่รู้จัก ขอบคุณสื่อที่ผ่านมาช่วยปกปิดเรื่องราวให้มาโดยตลอด บอกไม่โกรธเข้าใจการทำงาน
“คือถามว่าซุกไหมก็ไม่ได้ซุก คือตั้งแต่ครั้งแรกช่วงนั้นริวเล่นละครเรื่องวัยร้ายเฟรชชี่แล้ว ก็ช่วงนั้นมีข่าวออกมาว่าริวเตรียมประกาศวิวาห์ ริวเองไม่ได้ปฏิเสธ ริวบอกกับนักข่าวว่ารอให้พร้อมนะ แล้วจะพูด ริวปฎิเสธไม่ได้อยู่แล้วเรื่องพวกนี้ เพราะว่าวันนึงข้างหน้าลูกผมเขาจะรู้สึกยังไง ก็บอกพี่นักข่าวว่าผมขอนะ ผมอยากให้โต...ไม่รู้จะพูดยังไงพูดไม่ถูก คือผมเป็นพ่อ ผมอยากให้เขาโตมาแบบน่ารัก”
“ผมไม่ได้ตั้งใจปกปิดแต่เขา (ภรรยา) ขอว่าเขาไม่อยากเป็นที่รู้จักของใคร เขาอยากมีชีวิตธรรมดาของเขาอย่างนั้นดีแล้ว เพราะเขาไม่ชอบให้ใครไปตั้งคำถาม แล้วเขาก็ไม่อยากให้ลูกจะต้องโดนกดดัน”
“ก็ขอขอบคุณพี่ๆ สื่อมวลชนทุกท่าน พี่ๆ ที่มีใจกับผมจริงๆ พี่ที่เห็นผมมาสิบปี ขอบคุณในวันนี้ เขารู้อยู่แก่ใจว่าผมมีลูก แต่เขาไม่เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา แต่ถึงวันนี้ผมก็ขอบคุณจริงๆ ผมไม่โกรธนะ รายการหรือหนังสืออะไรที่เอารูปผมมาลง ผมไม่โกรธเขา ผมเข้าใจว่ามันเป็นหน้าที่ของเขา เขาก็ทำหน้าที่ได้ดีแล้ว”
เผยถึงสาเหตุของการออกจากวงการ เพราะว่ากลัวลูกมีผลกระทบ และไม่อยากโกหกประชาชนซึ่งทางต้นสังกัดก็ทราบเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด รวมทั้งอยากดูแลครอบครัวบวกกับแม่ก็มาป่วย
“จริงๆ คนน่าจะทราบว่าเป็นลูกของริว คือผมเคยพาเขาไปห้างในห้างฯ เขาก็จะมีที่ขายแผ่นซีดีมีเพลง ลูกผมก็ตกใจป๊ะป๊าๆๆๆ ไปอยู่ในทีวีได้ไง งานเข้าสิ ก็ตะโกนดังมากเลยผมก็หันซ้ายหันขวา ไปๆ ขึ้นรถกันเถอะลูก”
“ช่วงนั้นก็ตกใจกลัวว่าคนอื่นจะรู้ คือเราอยากจะดูแลเขา เพราะว่าเขาเป็นข่าวขึ้นมาชีวิตเขาเปลี่ยนไปเลยนะ กลัวในเรื่องของคนรอบข้างเขา แล้วเขาจะโตขึ้นมาด้วยรายล้อมคนรอบข้างที่ เอ๊ะ! ปะป๊าเป็นดารา ทำไม...คือคนจะพูดยังไงเราไม่รู้ เพราะเราไม่ได้อยู่กับเขาตอนที่เขาเรียนหนังสือ ผมอยากจะให้เขามีพื้นฐานที่เขาโตขึ้นมาจากคนธรรมดาคนนึงเท่านั้น ไม่ใช่พื้นฐานที่โตขึ้นมาเป็นลูกดารา เพราะเราคือคนธรรมดาผมอยากให้เขาโตมาแบบคนธรรมดา”
“ทางค่ายอาร์เอสเองก็ทราบเรื่องนี้ครับ คือผมได้แจ้งเฮียไปก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อให้เขาช่วยดูแลว่าควรจะปรับแผนกันยังไง เขาก็บอกว่าแล้วแต่เรา ในโลกใบนี้เราทำอะไรถ้าเรายืนอยู่บนความถูกต้อง แล้วชีวิตเราเป็นชีวิตของเราเอง คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์มาทำให้ชีวิตเราแย่ลงได้ แต่ว่าเรื่องข่าวกลัวจริงๆ เพราะว่าข่าวเดี๋ยวนี้มันค่อนข้างที่จะแข่งขัน ปลายปากกาก็ไม่รู้ว่าเขียนไปแล้ว เดี๋ยวก็โดนโน่นโดนนี่บางคนถึงกับเลิกกันได้เลย”
“เฮียเขาก็เข้าใจผมอยู่แล้ว เพราะว่าตอนนั้นที่จะทำอัลบั้มก็กำลังคุยกันอยู่ แล้วเพลงก็ออกมาได้ฟังกันแล้ว ผมก็มีความรู้สึกว่าเดี๋ยวยังไงล่ะ ก็เขาอยากให้อยู่เป็นโลกของเด็กธรรมดาคนนึง แล้วผมออกเทปมาแล้วเป็นยังไงล่ะ ทีนี้ก็เหมือนคนที่มีชนักติดหลัง ตอนนั้นไม่มีความสุข เพราะไม่อยากหลอกประชาชน ว่าทำไมต้องปิด แล้วเราต้องทำอาชีพนี้ต่อไปก็ไม่อยากจะไปปิดใคร”
“ผมคิดว่า ผมไปอยู่บนเวทีคอนเสิร์ต ผมไปร้องเพลง ผมไปโชว์ตัว ทุกคนจะเรียก พี่ริว แต่ที่ไหนได้ผมมีลูก ภูมิใจไหมผมถามจริง เป็นผมผมไม่ภูมิใจ ผมคิดอย่างนี้ผมก็เลยออก ผมไปหาเงินตรงอื่นมาเลี้ยงดีกว่า ยังทำให้ผมมีความภาคภูมิใจตัวผมเองมากกว่านี้ มันทำไม่ได้ ไม่อยากโกหกใคร ไม่รู้นะ ผมคิดอย่างนี้ คือผมเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก ไม่หลอกใคร ไม่หากินบนความเท็จ”
“แล้วผมก็คิดว่า ช่วงนั้นก็เข้าช่วงที่ก่อนหน้านั้น แม่ผมป่วยต้องผ่าตัดสมอง แล้วผมต้องใช้เงินเยอะมาก คือตอนที่มีครอบครัวผมมีความสุขผมยอมรับเลย คือตอนนั้นทุกอย่างผมคิดวางแผนว่าครอบครัวเราต้องมีความสุข เพราะว่าผมเป็นคนที่ไม่ได้อยู่กับพ่อมาตั้งแต่เด็ก ผมเลยมีความรู้สึกว่าถ้าเรามีครอบครัวเราจะไปอยากให้เป็นอย่างนี้”
บอก ไม่ได้กลัวเรตติ้งตกหรือเป็นข้ออ้างที่ช่วงนั้นไม่มีงาน
“หนึ่งวัยเราด้วย ผมเป็นคนชอบจินตนาการไกล เป็นคนชอบคิดไปไกล ผมจะไม่คิดว่าวันนี้เท่านี้ พรุ่งนี้อย่างนี้ แล้วเดือนหน้าจะยังไงของผมเปล่า ของผมไปเลยคิดไปถึงปีไหนที่ลูกโต ว่าผมจะต้องส่งเขาเรียนอย่างนี้ให้ได้ แล้วเราจะหายังไงเป็นสเต็ปๆ”
“ตอนนั้นผมไม่ได้กลัวเรื่องเรตติ้ง ตอนนั้นผมก็สนุกกับงานแต่ก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก ผมกลับไปคิดเรื่องของครอบครัวซะมากกว่า ไม่ใช่เลยครับช่วงนั้นไม่ใช่งานไม่เข้าตอนนั้นเราถ่ายทำงานกันอยู่ กำลังถ่ายแล้วก็พร้อมจะออกอากาศ แต่ช่วงนั้นผมมีเรื่องอย่างนี้ ในจังหวะที่หายไปจริงๆ ช่วงนั้นละครของเรา ทางช่องเขามีสต๊อกละครเยอะ ทำให้ผลงานของเราไม่ออกมา เพราะว่าต้องรอให้ละครเรื่องอื่นออกอากาศไปก่อน ล็อตนั้นต้องออกไป พอรอปุ๊บคนดูก็รู้สึกว่าเราหายไป”
บอกชีวิตช่วงที่หายไปหันไปทำธุรกิจ ซึ่งครั้งแรกก็เจ๊งไม่เป็นท่า เป็นหนี้ แต่ศักดิ์ศรีค้ำคอไม่อยากขอยืมเงินใคร
“ก็มันดี รู้ว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้ มันก็ไม่ง่ายมันต้องใช้ไหวพริบใช้ความพยายาม ใช้ความคิด แล้วมันต้องมีความกระตือรือร้น อดทน ตั้งใจ ทุกอย่างเลย เรียกว่าลำบากกว่าการเป็นดารามาก แต่มันสนุก เราเป็นคนชอบงาน เราเป็นคนที่อยากได้งาน อยากทำงาน และอยากคิดอะไรใหม่ๆ ให้เขา อยากสร้างโปรเจ็กต์อะไรให้คนอื่นๆ แล้วให้เขามาลงทุนแค่นี้ผมก็สนุกกับมัน”
“ก็เปิดบริษัทไปจัดอีเว้นต์ที่มีร้านค้าประมาณ 400-500 ร้านค้า มีสวนสนุกเป็น เวทีคอนเสิร์ตแบบมหกรรม ผมก็เป็นคนทำ ครั้งแรกก็กลิ้งเลยครับ ขาดทุนทันที หนักขนาดไหนก็หมดเลย ครั้งแรกที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะว่าผมเจอฝน ฤดูกาล แล้วจริงๆ ตอนนั้นผมก็ติดหนี้ด้วยนะ คือเงินไม่พอจ่าย เพราะว่าเงินมันฝนตก อะไรระเนระนาด แล้วเราเก็บเงินไม่ได้ เรามีค่าใช้จ่าย อย่างพวกเรื่องเวที เรื่องกล้อง ยิบยับเลย พอไม่มีเงินตรงนั้นก็ทำไม พี่หางานโชว์ตัวให้ผมหน่อย ผมต้องเอาเงินไปจ่ายหนี้ผมนะ”
“คืนนั้นที่พัทยาผมก็นอนในรถ ผมจำได้ว่าผมนอนอยู่ในรถริมถนน นั่งคิดถึงตัวเองว่าวันนี้เราอย่างนี้เลยเหรอ แค่โรงแรมราคา 500 เราไม่มีตังค์เข้า แล้วน้ำมันมาเหลืออยู่ครึ่งถัง แล้วจะกลับกรุงเทพได้ถึงไหมเนี่ย เพราะว่าตอนนั้นใช้รถเครื่องใหญ่”
“ผมมีเพื่อนเป็นล้านในทั่วประเทศไทย ก็ไม่เคยยืมตังค์ใครไง เราไม่มีเรื่องนี้ ผมไม่เคยยืมตังค์เพื่อน มันรู้สึกยังไง ผมเป็นคนศักดิ์ศรีค้ำคอ จะไปยืมตังค์ผมก็กลัวว่า เขามองผมยังไง ผมก็ไม่เอาดีกว่า ผมก็ขับรถตั้งหลักมากรุงเทพฯ แล้วก็มาขายอะไรบางอย่างของตัวเองออก ผมมาขายรถออกไปใช้หนี้เขา แล้วคิดหาเงินต่อไป แล้วก็มีคุณยายมาช่วยผมอีก คือผมเป็นคนที่รักคุณยายมาก จากกันไปแล้ว แต่ผมยังเก็บเขาไว้อยู่ (ร้องไห้) พูดถึงคุณยายแล้วผมก็จะร้องไห้”
“ตอนนี้ริวเป็นที่ปรึกษาในการลงทุน แล้วก็ทำงานให้กับผู้ใหญ่ที่เขาอุปถัมภ์ริว ช่วยเขาคิดโปรเจ็กต์ในงานใหญ่ๆ คือริวเป็นคนชอบในการทำธุรกิจอยู่แล้วเป็นพื้นฐาน ก็เลยเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทในหลายๆ ที่ ผมว่าก็อยู่ในช่วงที่กำลังเจอผู้ใหญ่ใจดี ผู้ใหญ่ให้โอกาส แล้วเราก็เป็นคนที่ตั้งใจทำงาน เราก็เป็นคนซื่อสัตย์ แม้แต่ตัวเราเองเรายังซื่อสัตย์กับตัวเองเลย ผู้ใหญ่เขาก็ให้โอกาสผม ชีวิตริว ณ ตอนนี้ลุยอยู่แต่กับงาน เพราะว่ามีความรู้สึกว่าริวต้องหาอะไรเยอะๆ เพื่อให้เขา(ลูก) ตอนนี้คิดแค่นี้”
ณ ตอนนี้ส่งเสียเลี้ยงดูทั้ง 5 ชีวิตเอง บอกลูกชายสองคนภรรยาคนแรกดูแล ส่วนลูกสาวคนเล็กตนกับภรรยาคนปัจจุบันเป็นคนดูแล
“ทั้งหมดเลยครับ รวม 5 ชีวิต มันก็ไม่ได้มีเทคนิคอะไรหรอก มันคือพรหมลิขิต มันคือดวงชะตาของเราที่โคจรมาพอดีกัน ก็แยกกันมาดูแลครับ ผู้ชายสองคนน้องภีมน้องเภาก็มีอาม่าช่วยดูแลอยู่กับคุณแม่ แต่คุณแม่นี่เขาก็ทำงานด้วย ส่วนผมก็ส่งเสียด้วยก็ไม่มีอะไร รับมานอนด้วยกันบ้างแล้วแต่ การเรียนของเขาเพราะว่ารุ่นนี้เขามีตารางเรียนเวลาของเขาหมดเลย ส่วนกับอีกบ้านนึงริวก็อยู่ด้วย”
สนใจอยากเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงถ้ามีโอกาส
“ถ้ามีโอกาส แต่จะเป็นแบบเต็มตัวก็คงไม่ใช่ ต้องลดความอ้วนอีก 3 กิโล ผมลดแปบเดียว 2 วันผมก็ได้แล้ว 3 กิโล มีหนังช่วงต.ค.เขามาคุยเล่นๆ กันว่าจะเอาไป แต่ต้องไปลดน้ำหนัก ทุกคนมีเงื่อนไขกับผมหมดว่าให้ไปลดน้ำหนัก ถามว่าอยากทำอะไร อยากทำพิธีกร คือใจจริงๆ อยากทำพิธีกรแล้วอยากสัมภาษณ์คน คือเราผ่านชีวิตมาขนาดนี้ แล้วเราก็อยากจะสัมภาษณ์ชีวิตคนอื่น ว่าตอนช่วงนั้นรู้สึกยังไง เป็นยังไง ผมอยากสัมภาษณ์เกี่ยวกับประสบการณ์คน แล้วก็อยากจะดึงเหตุการณ์ของเขาออกมาให้เป็นอุทาหรณ์ อยากจะดึงความรู้สึกของเขาออกมาให้เขาร้องไห้ เราจะชี้นำ”
บอก การเปิดเผยครั้งนี้ไม่มีผลกระทบอะไรกับชีวิตครอบครัว ไม่เสียใจกับเรื่องที่ปกปิดแต่อกตรม
“ไม่กลัว แล้วก็คิดว่าวันนี้มันสบายใจ ผมสบายใจจริงๆ มีความรู้สึกว่าผมคิดถึง แล้วผมก็มีเรื่องเล่า อยากถามอะไรผมก็ตอบได้ ไม่เสียใจแต่อึดอัด ผมไม่เคยโกหก ไม่เสียใจแต่อึดอัดเหมือนอกตรม เป็นคนที่อกตรม”
เปรยลูกชายคนโตกำลังเจริญรอยตามเข้าวงการด้วยการเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาซึ่งตนเองก็ไม่ปิดกั้น
“แล้วแต่โอกาส ส่วนลูกก็แล้วแต่ลูก แล้วแต่พี่จะปั่นกระแสลูกผมขนาดไหน เขามีแล้วครับ เขาถอนไม่ได้แล้ว เขาก็สนุกของเขา แล้วเขามีความรู้สึกว่าเขาได้โลดแล่นกระโดโลดเต้น อย่างน้อยเขาโตเขาคิดได้แล้ว แล้วเขาก็จะมีประสบการณ์อะไรใหม่ๆ พุ่งเข้าสู่ชีวิต อันนี้ผมก็ยินดี แล้วผมก็จะเป็นที่ปรึกษาให้เขาด้วย”
“ลูกคนโตแอบเข้าวงการไปแล้ว ไปถ่ายโฆษณา แต่ว่าเขายังปิดไว้เป็นความลับอยู่ แต่ผมไม่รู้เรื่องนะ ผมไม่ได้เป็นคนชักจูง ผมถามเขาว่าวันนึงถ้ามีคนมาขอลายเซ็นหนู หนูจะรู้สึกยังไง เขาก็ตอบว่าก็ดีชอบ ปะป๊าก็ภีมเก่งจริงเขาถึงมาขอลายเซ็น แล้วผมก็ถามว่าภีมอยากเป็นดาราไหมลูก ปะป๊าคิดว่าไงล่ะ ปะป๊าว่าถ้าหนูชอบก็เป็นได้นะลูก เพราะว่าเขาก็หน้าตาดี หน้าตาดีกว่าเราอีก เป็นแล้วรวยไหมพ่อ ผมก็ตอบว่ารวยสิลูก แต่ต้องเก็บตังค์ หาคนเก็บตังค์ให้ ไม่งั้นหมดตัวเหมือนปะป๊าเมื่อก่อนนะ งั้นเภาอยากเป็นเลยพ่อ คือเราก็จะคุยกันอย่างนี้”
สุดท้ายฝากขอบคุณแฟนๆ ทุกคนทั่วประเทศที่ยังถามไถ่เป็นห่วงเป็นใย บอกทุกคนเป็นเสมือนญาติ
“ก็ขอบคุณนะครับ ที่ยังจำกันได้ แล้วก็ขอบคุณที่ยังคงติดตาม แม้ว่าเราจะหายไปนาน แม้ว่าเราจะไปทำอย่างอื่นแล้ว บางทีไปเจอเขายังทักเลยว่าทำไมพี่ริวไปกลับเข้ามาทำงาน อยากดูหนูเหงา ก็คือผมเป็นญาติพี่น้องกับคนในประเทศไทยไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้จะหายไปแต่ผมก็ยังเป็นญาติของทุกๆ คนอยู่ และผมว่าวันนี้พี่ๆ ทุกคนทำให้ผมสบายใจมากที่สุด แล้วมีความรู้สึกว่าผมอบอุ่นมาก แล้วผมมีความรู้สึกว่า 7-8 ปีที่ผ่านมา วันนี้ผมเห็นพี่ๆ นักข่าวมายิ้มให้ผม ไม่กดดันผม ผมสบายใจมาก และผมขอขอบคุณที่นำเสนอข่าว ไม่ได้รุนแรง อยากจะให้เสนอข่าวน่ารักๆ ให้เด็กเขามีความสบายใจด้วย”