xs
xsm
sm
md
lg

“ลูกกรอก” ไร้ฤทธิ์เดช “เจ้าของ” อาจไม่เลี้ยง !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผ่านมาแค่ 3 เดือนกว่าเท่านั้นเอง ที่รัฐบาลภายใต้การนำของ สมัคร สุนทรเวช เข้าบริหารประเทศ แต่ไม่น่าเชื่อว่าด้วยระยะเวลาเพียงสั้นๆแค่นี้กลับได้รับเสียงก่นด่าจากประชาชนเข้ามาจากทั่วทุกทิศทาง ทุกระดับไม่เว้นแม้กระทั่งคนรากหญ้าที่ในอดีตเคยเป็นฐานเสียงสำคัญมาตั้งแต่ยุคพรรคไทยรักไทย จนกระทั่งกลายพันธุ์มาเป็นพรรคพลังประชาชนในปัจจุบัน
ลักษณะบรรยากาศการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลเพียงแค่ 3 เดือน แต่เหมือนกับว่าผ่านไปแล้ว 3 ปี อะไรมันจะเลวร้ายปานนั้น
**ขยันสร้างบรรยากาศตึงเครียด ท้าตีท้าต่อย ตีฝีปากด่าตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามราวกับจิ๊กโก๋ปากซอยไม่มีผิด ขณะที่ผลงานการทำงานกลับ “ไม่เอาอ่าว”
**ไม่สมราคาคุย !!
โดยเฉพาะการเยียวยาแก้ไขปัญหา “ข้าวยากหมากแพง” ที่ทุกชนชั้นต่างเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า แต่ขุนพลเศรษฐกิจกลับทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน
ยกตัวอย่างง่ายๆบอกว่ายุคนี้เป็นยุคทองของชาวนา เพราะข้าวราคาแพง เอาเข้าจริง ข้าวแพงจริง แต่มีแค่กลุ่มโรงสีข้าวและพ่อค้าส่งออกเท่านั้นที่รวย ส่วนชาวนากลับถูกกด จนราคาตกต่ำจนเกิดการประท้วงปิดถนนประท้วงกันวุ่นวาย
มองมาที่ราคาปาล์มบ้าง ไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้ย้อนกลับไปเพียงแค่ไม่กี่เดือนเกิดการขาดตลาดจนวัตถุดิบขาดแคลนส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดต้องขึ้นราคา และต้องมีการจำกัดการขายให้กับผู้บริโภค
มาวันนี้เหมือนหนังคนละม้วนชาวสวนปาล์มต้องเดินขบวนนำรถบรรทุกปาล์มมาปิดถนนประท้วง เนื่องจากโรงงานไม่ยอมรับซื้อ อ้างว่าผลผลิตล้นตลาด
นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น แสดงว่าการบริหารเรื่องกลไกตลาดมันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะถ้าพิจารณาตามหลักการว่ากันเฉพาะสินค้าน้ำมันปาล์มที่เป็นวัตถุดิบสำหรับใช้เป็นพลังงานทดแทนกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด
ในความเป็นจริงมันน่าจะต้องขาดแคลน ไม่ใช่ล้นตลาดตามที่มีการอ้างกัน
ส่วนเรื่องราคาน้ำตาลบ้างจู่ๆก็ขึ้นพรวดพราดมาถึงกิโลกรัมละ 5.25 บาท ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ อ้างว่าเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร แต่กลับกลายเป็นว่าได้ยินแต่เสียงวิจารณ์กันดังหึ่งไปทั่วว่างานนี้มีแต่เจ้าของโรงงานน้ำตาลเท่านั้นที่รับประโยชน์ไปเต็มๆ
**นี่ไม่ต้องพูดถึงนักการเมือง และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง มีเสียงนินทาว่ากันว่ามีเงินหล่นแถวๆกระทรวงนับพันล้านบาท
ขณะเดียวกันชาวบ้านบริโภคน้ำตาลราคาแพงมหาโหด หลายคนก็ได้เห็นอาการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดของ สุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
หากใครสังเกตก่อนหน้านี้ไม่นาน สุวิทย์ คนเดียวกันนี่แหละที่ออกท่าทางขึงขังว่ารัฐบาลต้องแก้ปัญหาปากท้อง เรื่องข้าวยากหมากแพงก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้ใจคนทั้งประเทศ แต่พอคล้อยหลังไม่นาน หลังจากครม.ไฟเขียวอนุมัติขึ้นราคาน้ำตาลกิโลกรัมละ 5.25 บาท
**หลายคนก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทำนองว่า งานนี้ชาวบ้านถูกต้มจนเปื่อยอีกรอบ
ทีนี้ถ้าลองมองเข้าไปในสภาบ้าง ทุกอย่างก็เป็นไปตามเกมแบบพวกมากลากไป โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน เห็นได้ชัดจากการที่พรรคพลังประชาชนมีมติด้วยเสียงท่วมท้น ผลักดันให้ “กำนันชัย” พ่อของ “ยี้เนวิน” ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร แทน “ยุทธ ตู้เย็น”
มีเป้าหมายเพียงแค่เข้ามาคุมเกมการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคพลังประชาชนกำลังผลักดันเข้ามาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ขณะเดียวกันยังถูกมองว่า การไฟเขียวให้ “ชัย ชิดชอบ” ขึ้นมานั่งเก้าอี้สำคัญตัวนี้ อีกมุมหนึ่งยังเป็นการตอบแทนให้บำเหน็จรางวัลให้กับ “หมอผีเขมร” ช่วยร่ายมนต์ขับเคลื่อนมวลชนค้ำจุนระบอบทักษิณ มาอย่างต่อเนื่อง
**ดังนั้นเมื่อลูกถูกสั่งเว้นวรรค พ่อก็ต้องได้รับอานิสงส์ ในตอนแก่
อย่างไรก็ดีถ้าพิจารณาในแง่ของภาพลักษณ์และความสง่างาม ยังไม่แน่ว่าได้คุ้มเสียหรือไม่ โดยเฉพาะในเรื่องของ “ยี้” ที่ติดตัว แม้ผ่านมาหลายปีพยายามสลัดอย่างไรก็ไม่หลุดซักที
ที่ร้ายไปกว่านั้น “ครอบครัวชิดชอบ” ยังถูกกล่าวหาเรื่องคดีบุกรุกที่ดินรถไฟบนเขากระโดง ยังมี “ชนัก” ปักหลังอยู่ว่างั้นเถอะ
มีเสียงเตือนแว่วมาเข้าหูให้ระวังจะซ้ำรอย ยงยุทธ ติยะไพรัช ที่ต้องหยุดพักการทำหน้าที่หลังจากศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งรับฟ้องคดีทุจริตการเลือกตั้งที่เชียงราย จนต้องลาออกในที่สุด
แม้ว่ามองในความเป็นจริงยังมีกระบวนการต่อสู้กันอีกนาน แต่ของอย่างนี้ต้องพิจารณากันถึงความเหมาะสมและความสง่างามของคนที่ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรติควบคู่กันไปด้วย
ด้วยภาพลักษณ์ดังกล่าวมันก็ย่อมส่งให้รัฐบาลและพรรคพลังประชาชนต้องร่วมรับผลลบกันไปเต็มๆ
แต่ถ้าพิจารณาตามวาระเร่งด่วน และความจำเป็นเฉพาะทาง และเฉพาะบุคคลและกลุ่มแล้วมันก็จำเป็นต้องเดินหน้า ไม่มีถอย
เพราะถือว่านาทีนี้ “ลุงชัย” เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด หากต้องการให้ผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญประสบความสำเร็จ
**ได้ “ชัย” มาก็เหมือนกับได้ “ลูกชัย” มาด้วย ถือว่า “ทูอินวัน” ได้สองต่อมันก็ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน
**ไม่สนว่าว่าชาวบ้านจะปลื้มหรือไม่ปลื้ม แต่ถ้า “แม้ว” ปลื้มถือว่าใช้ได้
และล่าสุดกรณีร้อนของ สุธา ชันแสง ที่ต้องเจอมรสุมรุมเร้าหลายด้านประดังเข้ามาพร้อมกัน ทั้งเรื่องปัญหาวุฒิการศึกษาปลอม ปัญหาสุขภาพ ล้มวูบต้องล้มหมอนนอนเสื่อ เคยอาการเข้าขั้นโคม่า จนกระทั่งถูกแฉโพยเรื่อง “ซุกเมีย ซุกลูก” ไม่ยอมแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) ให้ครบถ้วน
จนฝ่ายค้านจ้องยื่นถอดถอน และอาจเข้าข่ายถูกดำเนินคดีพ่วงท้ายเข้ามาอีก
แต่ที่ทำท่ายุ่งนุงนังก็คือ บรรยากาศหลังจากนี้จะมีการแบ่งก๊วนแย่งเก้าอี้รัฐมนตรี ซึ่งจะนำไปสู่ความเบื่อหน่ายของชาวบ้านสะสมเพิ่มเติมเข้ามาอีก
จากสภาพการณ์ทั้งหมดที่พยายามปะติดปะต่อให้เห็นภาพชี้ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลหมัก ซึ่งถูกเปรียบเปรยเป็นแค่ “ลูกกรอก” มีแต่ภาพลบ ไม่ได้มีฤทธิ์เดช หรือพิษสงอะไรมากมายอย่างที่วาดหวังกันไว้ ช่วยเหลือ “เจ้าของ”ไม่ได้
ในทางตรงกันข้าม หากยังเลี้ยงเอาไว้ใช้งานต่อไป ก็จะยิ่งเกิดปัญหาลุกลามเข้าเนื้อ เพราะถ้ายังโชว์ผลงานไม่เอาอ่าวอย่างคงเส้นคงวาแบบนี้ หลายฝ่ายวิเคราะห์และสรุปตรงกันว่า คงอีกไม่เกิน 5-6 เดือนข้างหน้า จะต้องเจอกับภาวะวิกฤต
อาจมีการต่อต้านกันขนานใหญ่จากคนทุกระดับ ไม่เชื่อให้สังเกตจากโพลทุกโพลในระยะหลังล้วนออกมาในโทนเดียวกัน
**นั่นคือทำหน้าเบ้ เบือนหน้าหนี
**สัญญาณแบบนี้รับรองว่า “เจ้าของ” ลูกกรอกคงไม่ปลื้ม และถ้าจำเป็นคงบางทีอาจจะได้เห็นเสียงนกหวีดไล่กันแน่ โดยเฉพาะ “หัวหน้าลูกกรอก” ที่มีแต่เรื่องชวนเสียอารมณ์ ถึงเวลาตรวจดูใบเสร็จเสียที หลังจากตอบแทนกันคุ้มค่าไปแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น