xs
xsm
sm
md
lg

‘พื้นที่ส่วนตัว’ เขตหวงห้ามของ ‘ปาล์มมี่’

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ขณะที่สบู่ลักซ์และปาล์มโอลีฟกำลังแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดของสบู่ก้อนละ 10 บาทอย่างที่ไม่มีใครยอมใครอยู่นั้น บริษัทคอลเกต-ปาล์มโอลีฟได้ส่งสบู่ราคาก้อนละ 6 บาทออกมาตีตลาดล่างอีกทางหนึ่ง โดยตั้งชื่อยี่ห้อสบู่นั้นว่า ‘ปาล์มมี่’

ไม่มีใครคาดคิดว่าต่อมาจะกลายเป็นชื่อที่ใครต่อใครเรียกสาวผมหยิกฟูคนหนึ่ง มากกว่าชื่อจริงของเธอเสียอีก

ยายของเธอเป็นชาวมอญโบราณธรรมดาคนหนึ่งและไม่ได้มีความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษอะไร แต่ก็พอจะรู้ว่าชื่อยี่ห้อแป้งและสบู่ที่ตนใช้เป็นคำภาษาอังกฤษซึ่งเหมาะใช้เป็นชื่อของเด็กหญิงมากกว่าเด็กชาย จึงใช้เรียกหลานสาวลูกครึ่งคนนี้ด้วยความเอ็นดู 

‘อีฟ ปานเจริญ’ เธอคือนักร้องสาวผู้มีน้ำเสียงทรงพลังและมีเอกลักษณ์ หลายคนอาจมองว่าเธอเป็นตัวของตัวเองสูงจนยากจะเข้าถึง และเธอเองก็มักปฏิเสธที่จะพูดเรื่องส่วนตัวออกตามสื่อต่างๆ จึงทำให้คนทั่วไปรู้จักเธอผ่านงานเพลงมากกว่าตัวตนของเธอ แต่สำหรับยายของเธอไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมผัสบทเพลงหรือเสียงร้องของเธอเลย ไม่ได้รับรู้เลยว่าหลานสาวคนนี้ประสบความสำเร็จเพียงใด ผู้ชมผู้ฟังรักและชื่นชมหลานสาวคนนี้ของยายมากแค่ไหน

“ยายรู้จักว่าเราซน ทโมนมาก อ่อนไหว ร้องไห้บ่อย ขี้แง ยายเลี้ยงเราตั้งแต่เกิด นอนด้วยกัน ก็คือหลายๆ อย่าง บุคลิกนิสัยใจคอนี่มาจากยาย เขาจะเลี้ยงมาเข้มงวดพอสมควร เราก็จะเป็นคนเรียบร้อยในโรงเรียน ถ้าอยู่แถวบ้านจะเก๋า”

“ปาล์มมี่อยากจะบอกว่าเสียดายมากที่ยายไม่อยู่ เสียดายคนอย่างเขา เราอยากให้เขามาอยู่ปลอบเราบ้าง อยากจะร้องไห้ อยากให้อยู่ต่อ อยากให้เห็นสิ่งที่เราทำได้ อยากให้ยายสบายแบบสบายมากๆ ไม่เหมือนเมื่อก่อน ยายเลี้ยงหลานหลายคนแล้วหาอยู่คนเดียวทำอยู่คนเดียว อยากจะบอกว่าสิ่งที่ยายสอนไว้ทุกๆเรื่องมันมีผลกับเราวันนี้โดยตรงเลย จิตใจเราที่เป็นแบบนี้เพราะยาย ยายมีแง่คิดที่ดี พอเจออะไรมา เขาพูดอะไรที่ทำให้เรารู้สึกดีได้เราไม่ได้รับจุดนั้นจากแม่เพราะแม่เป็นคนอิสระ”

“เราอยู่กับยายมากกว่าเราก็ได้จากยายมาเต็มๆ เสียดายวิชาทำขนมของยาย ไม่ได้กินอย่างเดียวนะ เคยเอาไปขายในซอยแถวบ้าน เป็นขนมไทยมีทุกอย่าง ยายทำเก่งมาก บ้านเราไม่ได้ทำขนมขายแต่ปิดเทอมยายจะทำให้หลานไปขาย เลยทานแต่ขนมไทยอาหารไทยตลอดเวลา ไม่ชอบอาหารฝรั่ง เค้กก็ไม่ชอบ เรากินกล้วยไข่เชื่อม กินขนมกล้วย แกงใต้ แกงไทยๆอะไรเราชอบหมดเลย แกงส้ม แกงเลียง แกงป่า ตอนนี้ทำแกงลาวเอง อร่อยมาก”

“แนวสั่งสอนของแม่เราจะเป็นแนวชีวิตใครชีวิตมัน คือเราไม่ได้อยู่ในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ เขารู้สึกว่าชีวิตฉันก็คือชีวิตฉัน ถ้าเธอจะทำอะไรก็ไปทำหน้าที่ของเธอให้เสร็จให้ลุล่วง ถ้าผ่านฉันดีใจด้วย ถ้าพลาดมาฉันก็พร้อมที่จะโอ๋เธอ เราก็โตมาเป็นแบบนั้น พอ 18 ก็ออกจากซิดนี่ย์มาอยู่เมืองไทยคนเดียวไม่ได้มีแม่ดูแล เรามาอยู่กับญาติผู้ใหญ่เราก็ทำอะไรไปเรื่อยๆ”

“เราคิดว่าเราไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิตอะไรมาก เพราะว่าพอเรียนจบเราก็มาที่นี่ ทำงานเพลงเลย แล้วก็เจอทุกสิ่งทุกอย่างดึงให้เรามาจนทุกวันนี้ เรายังไม่ได้ออกไปเผชิญโลกข้างนอกว่าเป็นยังไง เรามีแค่มุมหนึ่งของการทำงานตรงนี้เท่านั้นเอง ในการใช้ชีวิตถ้าไปปล่อยเราไว้ที่ใดที่หนึ่ง เรายังไม่รู้เลยว่าเราจะใช้ชีวิตได้หรือเปล่า แต่ตอนนี้ก็ดำเนินชีวิตแบบเรียบๆ แล้วก็ไม่คิดเรื่องต่างๆนานา”

ถึงช่วงเวลาเปลี่ยนจากชีวิตที่ต้องเดินสายแสดงสดเป็นระยะเวลาร่วมสามปีกระทั่งหมดสัญญากับต้นสังกัด ไม่ต้องกลับไปวนเวียนกับวงจรชีวิตแบบเครื่องจักร เมื่อทุกวันเป็นเวลาให้ชีวิตได้ใช้มันอย่างแท้จริง มันก็คือช่วงตักตวงความสุขของชีวิตที่เฝ้าเก็บสะสมมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย

“ถ้าจะให้ออกอัลบั้มทุกปีมันทำได้ แต่ว่าเราจะชอบหรือเปล่า ถ้าจะให้กล้ารับปาก พูดด้วยความจริงใจเลยว่าแต่ละครั้งคือ หยาดเหงื่อจริงๆ ตั้งใจทำจริงๆ ไม่ใช่ว่าทำแล้วก็ออกมาพูดว่า ตั้งใจมากนะคะช่วยติดตามด้วยนะคะ คือมันได้ผิวเผินอย่างนั้น”

“ถ้าเราทำคือเราไปทำอย่างนั้นจริงๆ ไปมิกซ์ด้วย อยู่ด้วย แก้เนื้อ ทำทุกสิ่งทุกอย่าง โฟกัสไปที่งาน แม้กระทั่งปก ตัวหนังสือ ทุกอย่าง มันไม่ใช่เรานึกขึ้นมาเอง มีหลายเรื่องมากที่มันประกอบอยู่ในอัลบั้ม เราต้องชอบเราต้องอินกับมันไม่อย่างนั้นไปเล่นคอนเสิร์ตเราก็แย่ เราร้องอะไรไปเรายังไม่อินเลย มันไม่ง่ายเลย”

“ใครๆ ก็อยากได้เงิน เราก็อยากได้เงิน แต่เราไม่ได้กระหายมากเหมือนเมื่อก่อน ที่เราเจอความฝันแล้วเราทำมันแล้วบังเอิญประสบความสำเร็จ มันเกิดขึ้นเองโดยที่ไม่มีใครคาดหวังอะไรเลย ทีมงานหรือว่าเราก็ทำเพราะว่าเราชอบ จากนั้นมาก็เหมือนเราทำประกอบร่างมาเรื่อยๆ”

“หาเองมาเรื่อยๆ โดยที่ความรู้ทางด้านดนตรีเราไม่มีมาก เราใช้มันไปแทบจะหมดอยู่แล้ว ตอนนี้เราอยากจะคิดอะไรแล้วตกตะกอนได้ดีที่สุด เราถึงจะทำมัน ยืนยันได้ว่าใครที่ฟังอัลบั้มจะได้สิ่งที่เราคิดออกไปจริงๆ แล้วเราอยากให้มันเป็น เราอยากจะบ้าแบบนี้ เราอยากจะแต่งตัวแบบนี้ คือมันเป็นแบบนั้นไม่ใช่อยู่ๆนึกจะออกก็ออก”

จากตัวตนของ Palmy อัลบั้มแรกในชีวิตของเธอ ต่อเนื่องด้วยอัลบั้มที่สอง Stay ในแบบของเธอ ในช่วงรอยต่อของการทำอัลบั้มที่สามนี้เอง ด้วยเงื่อนไขทั้งภายในและภายนอก เรื่องความพร้อมของการทำดนตรี ความมั่นคงและความอิสระ ทำให้เธอต้องตัดสินใจในเส้นทางดนตรีของเธอต่อไป

สุดท้ายผลที่ออกมาหนทางข้างหน้าก็กลายเป็น Beautiful Ride อัลบั้มที่สามซึ่งบรรจุมาตรฐานและพลังอันเต็มเปี่ยมของเธอเอาไว้ได้โดยไม่หล่นหายไประหว่างทาง

“ตอนนั้นอายุเราแค่ 18 เราเริ่มทำงาน ออกอัลบั้มอายุ 20 คือความเข้าใจทางด้านดนตรีไม่มีอะไรมากมาย เราเริ่มมาจากสัญชาตญาณว่ามันต้องเป็นแบบนี้ อธิบายเป็นรูปๆได้ ไม่ได้เจาะไปทางคำศัพท์เทคนิค เราไม่ได้ศึกษามาทางด้านนี้ บังเอิญมันเป็น ‘อยากร้องดังๆ’ เราก็แค่ทำต่อเนื่อง เรากล้ายืนยันว่าเพลงเราก็ไม่ได้แย่ลง อัลบั้มสองมันก็ดีในแบบของมันเข้มข้นทางด้านดนตรี พอมาอัลบั้มสามทำให้มันป๊อบแล้วก็สื่อสารกับคนส่วนมาก เนื้อหามันก็เป็นเรื่องที่เราอยากจะพูด เราแค่เป็นคนนั่งเขียนไม่ได้แต่เรากำกับว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าคำนี้เราไม่ร้องเราก็จะแก้กัน”

“ถามว่าอะไรที่มันคล้าย 70 หรือ 80 ถ้าไปดูคอนเสิร์ตเราจะอินนะ เนื่องจากเราขลุกกับทุกอย่างที่เราทำไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือเพลง บรรยากาศมันทำให้รู้สึกไปทางนั้นมากกว่า แต่ว่าสีสันดนตรีเราก็ต้องให้คนที่เขาทำดนตรีเป็นตัวเขาบ้างเหมือนกันเราทำงานคนละครึ่ง จะให้เรามาเจ๋อเรื่องคุมร้องเอง เจ๋อเรื่องร้องเรื่องดนตรีไปเสียหมดร้อยเปอร์เซ็นต์มันเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่เราต้องให้คนอื่นช่วยทำด้วยมันก็ต้องคนละครึ่งเขาก็อยากโชว์ผลงานของเขา แต่ว่าจากนี้ไปมันก็ยากขึ้นด้วยอายุเราก็มากขึ้นแล้ว สิ่งที่เราอยากพูดมันไม่ได้เป็นเหมือนตอนนั้น เราคิดมากขึ้นความเข้มงวดก็มากขึ้นตามไป การที่จะหาคนที่เข้าใจเราก็ยาก”

ดังนั้นการเลือกที่จะทำงานกับค่ายดนตรีค่ายไหนนั้น ก็อาจหมายถึงการเลือกว่าจะอยู่กับคนที่ทำงานกันอย่างไรด้วย ไม่ใช่แค่ชื่อหรือภาพลักษณ์ของค่ายเพียงเท่านั้น

“เรารู้สึกว่าเราโชคดีที่เราได้คิดแบบนั้นแล้วมีคำตอบแบบพระเจ้ายื่นมาแบบนั้นว่าอยู่ที่เดิมดีกว่า ตอนนั้นก็ย้อนกลับไปสามสี่ปี สิ่งที่เราต้องการมันต้องจับต้องได้ คือเรายังไม่พร้อมที่จะออกไปแล้วทุกอย่างที่เคยเตรียมไว้ให้เรามันไม่ได้ถูกเตรียมไว้ ก็เลยกลับมาคุยกับที่เดิม พี่เล็กเรียกกลับมาคุย แล้วก็ลงตัวที่จะอยู่แล้วมีอะไรบ้าง ดูแลกันแบบไหนที่มันจะราบรื่น”

“เพราะแบบเดิมมันก็มีขรุขระบ้าง พอหมดสัญญาเราก็คุยกันเป็นเรื่องใหม่ว่า ถ้าทำจะมีการดูแลที่เปลี่ยนไปไหม หลายๆ อย่างมันก็ลงตัวทั้งเรื่องสตางค์ ทั้งเรื่องทีมงาน ก็มาคุยกันแบบแฮปปี้ทั้งคู่ ถ้าเขาไม่แฮปปี้เขาคงไม่เอาเราไว้อยู่แล้ว ถ้าเราไม่แฮปปี้เราก็คงไม่อยู่กับเขาเหมือนกัน”

“เราเป็นคนไม่มีเส้นไม่มีสาย แต่ก็ไม่รู้สิ ปาล์มมี่โชคดีนะ อืม เราว่าทำงานอะไรก็แล้วแต่ต้องเป็นคนแบบเอาจริง ทำจริง คิดจริงๆ อยู่กับความเป็นจริงด้วยนะ ไม่ใช่ฟุ้งไปเรื่อยแล้วสร้างขึ้นมาไม่ได้ เราอยู่ตรงนี้เราก็ต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใหญ่ที่ดูแลเรา คิดแล้วเราพิสูจน์ตัวเองด้วย พอมันสำเร็จ เขาก็ ‘โอเค งั้นโยนให้ทำอีกอันหนึ่ง ไหวเปล่า’ ถ้าทำมาแล้วไม่ใช่ เขาก็ต้องไปหาคนที่อยู่ตรงนี้ได้จริง ทำได้จริงๆ”

“ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้ข้อเสนออะไรต่างๆ มันเป็นทุกหน้าที่ทุกงานเหมือนกัน ตั้งแต่อยู่ที่แกรมมี่มา เราคิดว่าพี่เล็กเข้าใจเราที่สุดเลย มีทะเลาะถกเถียงบ้างกับทีมงาน กับคนในตึก กับผู้ใหญ่ แต่พี่เล็กจะเป็นคนที่เหมือนมาอุ้มเราขึ้น ‘นั่งลงสิมี่ คุยกันก่อนไหม’ คือทำให้เราเปลี่ยนทัศนคติที่บางทีเราลบไปแล้ว เขาทำให้เรากลับมานั่งฟังแล้วเราก็ยอมเขาบ้าง ยอมในจุดที่ ‘โอเค เรายอมแค่นี้ ถ้ามากกว่านี้ไม่ไหวนะ’ เขาก็พูดอย่างนี้กับเราเหมือนกัน ก็เลยทำงานด้วยกันได้”

“คือฉลากของแกรมมี่ไม่ได้ผิดอะไรเลยนะ แต่ที่ไม่ได้อยู่เพราะว่าเรายังไม่เจอทีมงานในนั้น สมมุติมีสิบทีมเราก็เคยทำงานมาแล้วแต่ว่าตัวเราเองอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศ ไหนๆ หมดสัญญาแล้ว ลองเดินออกมาข้างนอกถูกใจใครเราลองทำ อยากลงไปในสนามเด็กเล่นที่เรายังไม่ได้เล่นของชิ้นนี้เลย เราเล่นแต่ของชิ้นนี้ ทำมา 8 ปีแล้ว สุดท้ายแล้วอาจจะไปอยู่กับเขาก็ได้ ถ้าเจอคนที่ทำงานด้วยกันแล้วมันใช่ ค่ายเพลงไม่ใช่ปัญหาของเราเลย เพราะว่ามันคุยกันได้”

หลังจากเสร็จสิ้นงานในแต่ละอัลบั้ม เธอจะหายหน้าหายตาไปพักใหญ่แล้วก็กลับมาพร้อมอัลบั้มใหม่อีกครั้งเป็นอย่างนี้มาเสมอนี่เป็นภาพที่คนภายนอกมองว่าเป็นวิธีการทำงานและการใช้ชีวิตของเธอ

“เราไม่ได้ไปค้นหามา มันไม่เกี่ยวนะ บางทีแค่ได้ยินไฟล์จากดนตรีที่เขาทำ แค่ได้ยินกับกลองเซตนี้ คือแค่ทำมาเป็นเดโมง่ายๆแล้วเราอิน เราก็บอกโอ้โหเพลงนี้ต้องพูดเรื่องนี้เท่านั้นอะไรอย่างนี้ หรือว่าเราอาจจะได้ยินเสียงบรรยากาศในเพลงแค่นิดหน่อยเราก็ฟุ้งไปเลย บางทีมันไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับเราหรอก เราคิดขึ้นมาเองเรากำหนดเองบางทีคุยกับเพื่อน แล้วก็มีที่ทีมงานคิดมาเป็นคีย์เวิร์ดถ้าเราประทับใจคำไหนก็คิดมาจากคำนั้น”

“เราอัดไว้ในโทรศัพท์นะ แต่งกีต้าร์ เล่นได้ไม่เยอะหรอก เราเล่นไม่เก่ง ถ้าเราเที่ยวอาทิตย์หนึ่งกลับมาดูว่าบ้านทำอะไรเสร็จเรียบร้อย เรามีเวลาที่อยากจะทำจริงๆเราถึงทำ ไม่ใช่กดปุ่มแล้วจะมาทำได้เลย จะเป็นแนว เอ้อ! อยากทำแล้ว” แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยืนยันว่าเธอไม่ใช่นักแต่งเพลง เธอเป็นนักร้องและจะใส่ใจเรื่องการร้องมากที่สุด

“ให้เรานั่งทั้งวันยังไม่ออกเลย ไม่ได้ มีคนพูดอย่างนี้บ่อยมาก พี่บอยก็พูดกับเราบอกว่า ‘ได้ดิ ต้องทำได้ มี่ต้องทำได้’ เราถามว่าใครๆ ก็ทำได้เหรอคะ ‘ใช่ ใครๆ ก็ทำได้มี่’ แล้วทำไมใครๆไม่เหมือนพี่บอยล่ะคะ เรากลับไปนั่งคิด ขนาดมีเมโลดี้แล้วนะ ไม่ใช่ว่ะมันไม่ใช่ ทำไม่ได้จริงๆ คือคนเราถนัดอะไรก็ทำสิ่งที่เราถนัดเถอะ หน้าที่ใครหน้าที่มัน”

ไม่แปลกที่เราจะเห็นปาล์มมี่เป็นนักร้องรับเชิญในคอนเสิร์ตของศิลปินอีกมากมายหรือจะเป็นคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นพิเศษตามเทศกาลดนตรี ก็มีชื่อของเธอเป็นศิลปินที่ขึ้นแสดงอยู่ในชื่อต้นๆเสมอ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในช่วงโปรโมตเพลงในอัลบั้มของเธอแล้วก็ตาม

“ส่วนใหญ่เวลาที่เราจะทำงานกับใคร เราจะทำกับคนที่เก่ง เหมือนของสะสมเราอยากจะให้มันอยู่ในใจ คนแรกเราเล่นกับไมโครแล้วเราแฮปปี้มาก เราเล่นกับพี่เสกและพี่เบิร์ด แล้วก็พี่ปู พี่ปุ๊ เรารู้สึกว่าคนเหล่านี้เป็นตำนานที่เราชอบ แล้วเราอยากเก็บเอาไว้อยากมีดีวีดีคอนเสิร์ตของเขา เราดูแล้วเราภูมิใจที่เราได้ทำงานกับคนเก่งคนที่เป็นตำนานคนที่มีจุดยืนที่แข็งแรง”

ภาพที่ปาล์มมี่กระโดดโลดเต้นในคอนเสิร์ตพร้อมกับเปล่งเสียงร้องอันทรงพลังเป็นหลักฐานที่ยืนยันถึงความทุ่มเทของเธอได้เป็นอย่างดี หลังจากผ่านช่วงชีวิตที่ต้องขึ้นแสดงคอนเสิร์ตแทบทุกสัปดาห์จนได้กลับมาอยู่ในช่วงหยุดนิ่ง เธอจึงใช้เวลาที่มีนั้นเพื่อการผ่อนคลายให้ชีวิตที่ถูกขึงตึงจนแทบจะขาดกลับเข้าสู่สมดุลอีกครั้ง

“ก็แล้วแต่วัน ตื่นมาแต่งตัวเสร็จก็ลงมาข้างล่าง เล่นกับหมา ไปกินข้าวเช้า อารมณ์อยากกินก๋วยเตี๋ยวก็ขับรถไปกินก๋วยเตี๋ยวกลับมาก็นั่ง...” เธอหยุดเล่าและนั่งนิ่ง สายตาเหม่อลอยเหมือนคนไร้สติ แทนคำบอกเล่าถึงกิจวัตรประจำวันของเธอ แล้วจึงปล่อยเสียงหัวเราะครืนออกมาเป็นการปิดมุก

“ไม่หรอก มันก็มีอะไรทำของมันไป บางทีเพื่อนก็โทรมาชวนไปโน้นไปนี่ หลายๆคนก็มีปัญหาชีวิตก็มาปรึกษาหารือเราบ้าง ออกไปห้างดูว่าวัยรุ่นเขาไปถึงไหนกันแล้ว ถ้าเราว่างไม่ได้ไปไหนก็ไปดูต้นไม้ มันก็หมดเวลาไปถึงเย็นแล้ว เพราะอยู่ตรงนั้นก็สามสี่ชั่วโมง แต่มันก็มีบางวันเหมือนกันที่เราทำทุกอย่างหมดแล้ว ก็แค่นั่งเฝ้าต้นไม้ให้มันเติบโต ไม่มีอะไรแล้ว”

“ผมเผ้าเราก็ไม่ได้ไปทำอะไรมากก็ปล่อย เล็มๆเอา ตัดเองก็ตัดจนเบี้ยวเลยต้องม้วนขึ้น มันไม่มีแล้วไง ก็ต้องหาอะไรจุกจิกทำไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็สนใจเย็บผ้า ว่าจะไปซื้อจักรประมาณสองหมื่น ตั้งสองหมื่นแต่มันก็ทำอะไรได้หลายอย่าง จะไปซื้อแล้ว ไม่ได้ ได้เป็นเครื่องดูดฝุ่นกลับมาแทน มันก็จะมีเรื่องให้คิดต่อไปอีกว่า มีเถอะเพราะว่าเราจะได้เอาไปเย็บอะไรเอง”

“มีไปเรียนบ้าง เรียนจัดดอกไม้ เรียนปั้น ก็ไปเรียนได้อยู่พักหนึ่ง ช่วงนั้นเรียนตอนที่มีงานประปราย แบบว่าเดือนหนึ่งสี่ห้างาน พอเราปั้น ปั้นเสร็จก็ต้องกลับมาทำงานอีกแล้ว มันไม่เต็มที่ ตอนนี้มีเวลาก็อยากกลับไปเรียนอีก”

“แกงอ่อมนี่ก็ช่วยเราได้มากนะ คือไปซื้อกับข้าวแล้วคิดว่า ทำอะไรดีที่มันฝึกฝีมือ เราก็ไม่รู้ว่าจะถูกส่งให้ไปทำอะไรต่อไปภารกิจข้างหน้า เราก็อยากฝึกมือเดินดูของพอทำออกมาแล้วมันใช่ รสมันเหมือน เราก็มีแรงบันดาลใจขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งก็เลยต้องฝึกมือตลอด ทุกอาทิตย์เราจะต้องทำไม่ว่าจะทำอะไรเราก็ต้องทำ”

“ทำไปเรื่อยๆ เหมือนที่พี่บอยบอกว่าเขาก็เขียนไปเรื่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ จนมันทำได้เอง ของสดอะไรก็ซื้อเอง อย่างวันนั้นไปเจอพี่นักข่าวเขาก็งงว่าเรามาซื้อของเอง มาเข็นรถซื้อผักซื้อหมู ‘อ้าว มี่มาซื้อเองเหรอ’ ก็บอกใช่ ‘อ้าวแล้วมีใครมาอีกหรือเปล่า’ มาคนเดียว เขาก็งงว่าไม่มีแม่บ้านเดินตาม เราไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนั้น”

ที่บ้านของเธอไม่มีแม่บ้าน ไม่มีใครอาศัยอยู่อีกแล้ว นอกจากเธอและบรรดาสัตว์ที่เธอเลี้ยงเอาไว้ ตั้งแต่เป็ด นก งู เต่า ปลา สุนัข และงูเหลือมที่ถือวิสาสะเข้ามาอาศัยในบริเวณบ้านซึ่งมีบรรยากาศรกครึ้มด้วยต้นไม้ที่เธอปลูกเอาไว้มากมาย เธอเปิดรูปนกฮูกดวงตากลมโตจากโทรศัพท์มือถือให้ดูเป็นหลักฐาน

บางทีการเลี้ยงสัตว์อาจจะทำให้ใครคนหนึ่งคลายเหงาได้ หรืออย่างน้อยพวกมันก็เป็นสิ่งมีชีวิตข้างกายที่จับต้อง ลูบ สัมผัสและให้แลกเปลี่ยนความรู้สึกระหว่างเราได้ แต่ถึงอย่างนั้นมนุษย์ก็ยังต้องการใครสักคนหรือหลายๆคนอยู่รอบข้างอยู่ดี เธอก็เช่นกัน เธอมักจะใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนๆพบปะ พูดคุย ท่องเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน แต่ทุกครั้งที่ถูกถามลึกไปถึงเรื่องของความรักแบบชู้สาวเธอมักจะตอบกลับว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว

“โหแม่งขึ้นเลยว่ะ” เธอพูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังคล้ายเวลาที่เธอถูกเหยี่ยวข่าวถามถึงเรื่องความรัก จากนั้นก็กลั้วด้วยเสียงหัวเราะเหมือนกำลังคุยในวงสนทนาระหว่างเพื่อนฝูงแล้วเล่าความในใจของเธอต่อไป

“อยากบอกว่าไม่อยากให้สังคมนั่งมามองพฤติกรรมดาราแล้วก็คิดว่าอยากเป็นอย่างคนโน้น อยากเป็นอย่างคนนี้ การที่เราพูดเรื่องส่วนตัวมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเพลงเรา เราอยากอยู่ตรงนี้ให้คนที่ดูเรามาเกี่ยวข้องกับเพลงเรา ไม่ได้อยากให้เกี่ยวข้องว่าบ้านเราอยู่ไหน พ่อแม่ชื่ออะไร แฟนคือใคร อะไรแบบนี้คือเราไม่ต้องการเลย เราไม่ให้ใครเข้าบ้านเลย เราอยู่ในบ้านของเราปลูกต้นไม้ทึบ เราอยากมีชีวิตส่วนตัวจริงๆเวลาที่เราไม่ทำงาน”

“เราปกป้องมันมาตั้งแต่วันแรกที่ออกอัลบั้มแรก ตอนนั้นเรายังอายุไม่ถึง 20 เลย เราขีดเส้นมันเอาไว้ อย่ามายุ่งกับเรา เราจะไม่ยุ่งกับคนอื่น ยุ่งกับเรื่องงานเท่านั้น ถ้าไม่อยากสัมภาษณ์ก็ไม่ต้อง เราจะไม่ง้อ ไม่ใช่ว่าไม่แคร์แต่ว่าเราก็มีเส้นของเราแบบนี้”

“ทุกคนสามารถทำได้นะแต่ต้องมีจุดยืนของตัวเอง ถ้าคุณบอกว่าเขามายุ่งละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว จริงๆลองคิดดูดีๆ ว่าคุณเปิดโอกาสให้เขาเข้ามาล้วงคุณหรือเปล่า ทำไมปาล์มมี่ไม่โดนล่ะ ทุกวันนี้เวลาออกไปข้างนอกมีความสุขตรงที่ว่าไม่ได้มีใครมาเจ๊าะแจ๊ะ บางทีเราเดินหลังดาราแล้วเขาไม่รู้เราเป็นปาล์มมี่ด้วยซ้ำ”

“เพราะวันธรรมดาเราก็เป็นคนๆ หนึ่ง ใครๆ ก็ไม่สนใจ เราเดินตามหลังดารา ดาราจะโดนพูดอีกอย่างหนึ่งแต่เราเป็นคนธรรมดา เดินตามหลังเราก็ได้ยินเสียงซุบซิบ เรารู้สึกว่าโชคดีมากที่เราไม่ได้อยู่จุดเขา ยังครอบครองชีวิตความเป็นส่วนตัวเอาไว้ ซีลเอาไว้ได้ดีมากๆ เราจึงมีความสุข รู้สึกว่าเป็นพลังงานที่ทำให้เราออกมาทำงานตรงนี้ได้ต่อ”


“เพราะถ้าเราไม่มีเวลาอย่างนั้นเลย เป็นเหมือนดาราคนนั้นคงออกไปจากตรงนี้นานมากแล้ว เรารับไม่ได้ มันน่าสงสารนะ แต่บางคนอาจจะชอบ วิญญาณเขามันไม่ได้เป็นตัวเขาจริงๆ มันต้องทำอะไรให้คนข้างนอกมองเขาในแบบนี้ มันอึดอัด”

แต่จนแล้วจนรอดเธอก็โดนข่าวโคลนสาดจนได้ เรื่องที่เธอหายไปนานระหว่างพักช่วงอัลบั้มจนทำให้มีข่าวลือว่าเธอตั้งครรภ์

“เสียดายที่ไม่ได้ฟ้อง เพราะว่าตอนนั้นมันมีชื่อเราเต็มๆ ไม่ได้เป็นอักษรย่อ แล้วก็หลายเล่มด้วย แต่ตอนนั้นคิดว่าโอเค เราได้มาเยอะก็คิดแค่นี้ เราทำงานตรงนี้มาความจริงทุกคนก็ต้องเห็น วันที่อัลบั้มออกเราก็ยังไปกระโดดโลดเต้นเปิดพุงให้ดูด้วยซ้ำไป”

“ความจริงกับความไม่ซื่อตรงอะไรมันจะอยู่ได้นานกว่ากัน เอาเป็นว่าทุกคนก็เข้าใจไปเองว่ามันไม่เป็นความจริง คิดว่าวิธีนี้มันน่าจะดีที่สุดแล้ว ก็อยู่ของเราแบบเงียบๆ เพราะชีวิตเราเรียบง่ายอยู่แล้ว เราเกิดมาจากที่ไม่ได้เป็นใคร เราเกิดมาจากที่แบบนี้แล้ววันนี้มาได้แบบนี้ เราก็ถือว่าช่างมันเถอะ
เงินอยู่ในกระเป๋าเราแฮปปี้ ได้เจอคนที่โอเคกับเรา แฮปปี้กับเสียงเพลงของเรา มีรอยยิ้มมอมให้เรา”

“คนเดี๋ยวนี้ไม่ได้อีเดียด เขาเห็นข่าวไม่จริงมาเยอะ คุณเขียนมั่วขึ้นมาเยอะ เราเห็นเยอะเหมือนกันที่คนเขาไม่ได้เชื่อ อย่ามาขายขนมเด็กอย่างนี้ดีกว่า มันตลก จะได้ไปสนใจเรื่องดนตรี วิชาการอะไรก็ทำไปเถอะไม่ต้องมาทำแบบนี้”

หากจะมองว่าเธอเป็นคนที่ต่อต้านสื่ออาจเป็นข้อหาที่หนักหนาสาหัสไป และเธอก็ไม่ได้เป็นพวกที่เสพติดข่าวแน่นอน ในยุคที่ข่าวสารเข้ามาจากทุกทิศทางการรับข้อมูลข่าวสารอย่างพอเหมาะพอดีและวิจารณญาณเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับเธอน่าจะเป็นคนที่รับข้อมูลข่าวสารในระดับปานกลางค่อนข้างน้อยคนหนึ่ง

“หนังสือพิมพ์ไม่ได้อ่านเลย ไม่ได้อ่านมาเป็นเดือนๆ วันว่างบางทีก็ดูทีวี อย่างตอนนี้ที่เปิดมาดูบ่อยๆ ก็เรื่องประเทศโน้นประเทศนี้ วงการบันเทิงก็มีบ้าง ดูหนังดูบ่อยมากดูเยอะมาก ดูบ่อยที่สุดก็ Frida เกินสิบรอบ ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันมานี้เองนั่งดูกลางคืนตอนเช้านั่งดูอีก ชอบมากๆไม่รู้เหมือนกันเพราะอะไร ล่าสุดเราดู Prison Break ไม่เคยดูซีรีส์เลย เพราะเพื่อนไม่เชื่อว่าเราจะไม่ชอบดู ไม่เชื่อว่าจะดูไม่เป็น”

“เพราะเป็นคนไม่ทำอะไรยาวๆ หนังสือก็จะอ่านอะไรสั้นๆ เอาให้มันไม่ต้องมาหนักอะไรตรงนี้มาก เพราะว่าเรื่องส่วนตัวเราให้รายละเอียดกับทุกอย่างเยอะมาก เป็นคนคิดเยอะแต่ว่าไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ นั่งวิเคราะห์ตัวเอง...มันว่างไง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงเจือเสียงหัวเราะ แต่มันก็เป็นอย่างที่เธอพูดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เวลาที่เราได้อยู่กับตัวเองนานๆ มันก็เป็นโอกาสให้ได้พูดคุยซักถามกับตัวเองมากขึ้น

ตอนที่เธอสำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ได้เข้าสู่ชีวิตการทำงานโดยที่เธอไม่มีเวลาพูดคุยกับตัวเอง ทุกอย่างมันเข้าหาเธอรวดเร็ว จนเมื่อชีพจรของชีวิตเริ่มเข้าสู่จังหวะที่ช้าลงและเธอได้เริ่มการสนทนากับตัวเองอย่างจริงจัง เธอจึงได้ทบทวนตัวเอง

“ตอนนี้กลับมาเจอจุดที่ค้นหาตัวเองทั้งๆที่อายุขนาดนี้แล้วจะค้นไปไหน ไม่รู้สิ เราไม่เคยคิดว่าจะต้องค้นหาตัวเอง เพราะว่าตอนนั้นความฝันเราชัดมาก เป็นรูปธรรมแบบชัดเจนมากต้องร้องเพลงเท่านั้น เหมือนมีคนมาชี้แล้วบอก ‘ร้องเพลง เกิดมาเธอต้องร้องเพลง’ คือตอนนั้นมันไวมากเลย ซ้อมโดยไม่รู้ตัว”

“ถ้าย้อนกลับไปเหมือนพระเจ้าบอกให้ซ้อม ตอนนั้นร้องอยู่บ้านพร้อมอัดเป็นเรื่องเป็นราวยังไม่มีใคร ยังไม่ได้เข้าแกรมมี่ ยังไม่มีใครติดต่อ ไม่ได้รู้จักใครด้วย ไม่รู้เลย ร้องอย่างเดียว แล้วก็ขอแม่มาเมืองไทย อยู่ไปอยู่มาก็มาเจอพี่คนหนึ่งก็ไปร้องเพลงให้เขาฟัง ร้องเพลงของ ‘อลานิส’ ตอนนั้นก๊อปเหมือนเป๊ะ ก๊อปปี้ทุกคนแม้กระทั่ง ‘ซิลิน ดีออน’ เขาห่อตรงนี้ห่อบ้าง เป็นอย่างนั้นเลยนะ”

“ไม่เคยคิดจะค้นหาตัวเองจนมาวันนี้คิดว่า เฮ้ย ทำไมเราเจอมุมวะ ทำอะไรล่ะ ทั้งๆที่เวลาว่างเยอะนะ เพราะเราไม่ได้กำหนดว่าเราจะเริ่มอัลบั้มเมื่อไหร่ เวลาปีหนึ่ง ก็แล้วแต่เรา ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเรา แต่เราก็ยังปล่อยตัวเหมือนมันจะมีบางอย่างมาบอกว่าทางนี้ไง”

“ไม่ร้องเพลงจะทำอะไร ความสนใจตอนนี้มีแค่อยากเป็นนักท่องเที่ยว ปีนี้เดินทางตลอดเลยตั้งแต่ต้นปีมาไม่ได้หยุดเลย ไปเที่ยวกับเพื่อน 10 วัน ไปเหนือไปหลายจังหวัด กิน เที่ยว พอกลับมาก็ไปอยู่หัวหิน ใครชวนไปไหนไปหมด เพิ่งไปเกาะช้างมา ไปเนปาล ไปตุรกี จอร์แดน”

“บัตรโรงแรมบางอันเรายังเก็บไว้เลยตั้งแต่ตอนถ่ายโฆษณา ตอนนั้นก็ยังมีอารมณ์เอามาแปะๆแล้วก็วาดว่าฉันได้ทำอันนี้ แล้วมันก็ห่างไป พอเรามาวุ่นวายเรื่องสังคมตรงนี้อารมณ์นั้นหายไปเลย พอมองกลับไป เราได้วาดอะไรบ้าง ไม่มีเลยนะน้อยมาก”

"นอกจากเขาสั่งงานมาว่าอันนี้ทำเพื่อกิจกรรมเพื่อมูลนิธิช่วยวาดให้หน่อย อารมณ์ที่เอามานั่งตัดเอามาแปะทำเป็นบันทึกเป็นเล่มไม่มีแล้ว เราก็คิดอยู่ว่ามันเป็นเพราะอะไร เพราะว่าเราเยอะเกินไปทางเรื่องฟุ้งหรือเปล่า หรือว่าอะไรวะ เราถึงไม่มีอารมณ์นั้น”

“คิดเรื่องอาชีพอื่นไว้บ้าง เพื่อนเชียร์ให้เขียนหนังสือแต่เราเขียนไม่เก่ง จริงๆใครก็มีหนังสือได้แค่เล่าๆแล้วให้คนมานั่งเขียนให้ เอารูปมาแปะๆแต่ว่ามันไม่ใช่ เราจะมาสร้างขยะบนชั้นหนังสือทำไม ชอบทำอาหาร คิดว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ดี”

ออย-เพื่อนของปาล์มมี่ที่นั่งฟังการสนทนาอยู่ตั้งแต่ต้นอดไม่ได้ที่จะพูดถึงความรู้สึกในเรื่องที่ปาล์มมี่จะทำหรือไม่ทำอะไรว่า “เขาเป็นได้หลายอย่าง ขึ้นอยู่ว่าอารมณ์ตอนนั้นอยากอยู่กับอะไร ทั้งเย็บปักถักร้อย จัดดอกไม้ ทำได้ทุกอย่าง แล้วแต่ว่าอยากทำอะไรเท่านั้นแหละ แต่ไม่ใช่อะไรที่ต้องวางแผนใช้ความคิด พวกเทคโนโลยี ทำคอม ทำกราฟฟิค อะไรแบบนี้ทำไม่ได้”

ปาล์มมี่จึงบอกเล่าธรรมชาติของตนเองเพื่อเสริมคำพูดของเพื่อนต่อ “เรานั่งดูสิ่งที่ชอบในอินเตอร์เนตยังไม่ไหวเลย ไม่ไหวว่ะ คือไม่ชอบ คือเหมือนมีอะไรบางอย่างไปกระทบแล้วไม่ถูกกับเทคโนโลยี มันจะแฮ้งค์กับเราบ่อยมาก ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นกับใครเลย พอเวลาเรานั่งทำไมมันกดไม่ได้ ต้องเรียกคนมาช่วย พอเรานั่งสักพักก็เป็นอีกแล้ว”

“แกไม่ใช่แกอย่ามาเฟก มานั่งทำคอมฯ แกไม่ใช่แกออกไป แกไปปลูกต้นไม้พรวนดินเหมือนเดิมดีแล้ว”

เธอว่าหากคอมพิวเตอร์พูดได้มันคงจะพูดกับเธอแบบนั้น

อัลบั้มแรก Palmy
อัลบั้มที่สอง Stay
อัลบั้มที่สาม Beautiful Ride
The Duets Concert ภาพโดย petite_princess
Palmy T-bone in The Flower Power Concert ภาพโดย www.palmyclub.com
คอนเสิร์ต ฮักเสี่ยว ปู พงษ์สิทธิ์ ภาพโดย tophoto
Groove My Dog Concert ภาพโดย Thirabitt
กำลังโหลดความคิดเห็น