“หย่อง” ตัดเงินเดือนตัวเอง-ผู้บริหาร กรณีปล่อยเสียง “จิตร” แทรกเพลงสรรเสริญฯ

“เทพชัย หย่อง” ตัดเงินเดือนตัวเองและผู้บริหาร กรณีเปิดเสียง “จิตร ภูมิศักดิ์” แทรกเพลงสรรเสริญพระบารมี ขณะที่มีการถ่ายทอดสดในวันฉัตรมงคลที่ผ่านมา แจงเหตุที่พนักงานเทคนิคไม่ตัดเสียงดังกล่าวทันทีเพราะไม่ได้เช็กเสียง ยันไม่ได้มีใครหนุนหลังให้ทำหรือวางยาสถานี ประกาศกู้ชื่อเสียงทีวีไทยกลับมา และจะไม่ทำผิดซ้ำสองอีก

ยังคงโดนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่จบสิ้น กรณีที่สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย หรือองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ได้ทำการถ่ายทอดสดงานสโมสรสันนิบาตเนื่องในวันฉัตรมงคล และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จเพระเจ้าอยู่หัว เข้าสู่ปีที่ 60 แห่งการบรมราชาภิเษก พ.ศ.2553 เมื่อวันที่ 5 พฤษาคมที่ผ่านมา

เหตุเกิดขณะที่อยู่ในระหว่างการบรรเลงเพลงสดุดีมหาราชา และเพลงสรรเสริญพระบารมี เวลาประมาณ 19.44 น. ปรากฏว่ามีเสียงเพลงมี “แสงดาวแห่งศรัทธา” และรายงานการรำลึกถึง “จิตร ภูมิศักดิ์” แทรกขึ้นประมาณ 1 นาที 8 วินาที ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์มากมายถึงความไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ทั้งนี้ แม้ “นายเทพชัย หย่อง” ผู้อำนวยการ ส.ส.ท. จะออกกล่าวยอมรับผิด และสั่งพักงานพนักงานที่เกี่ยวข้องไปแล้วนั้นก็ยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบ หรือประกาศผลสอบสวนจากเรื่องดังกล่าวให้ประชาชนได้ทราบถึงข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการว่า ความผิดพลาดที่ว่านั้นเป็น “เรื่องบังเอิญ” หรือ “จงใจ” กันแน่

ล่าสุด นายเทพชัยได้มาร่วมงานแถลงข่าวงาน “ไอเดียดี ช่องนี้ไม่มีปิดกั้น” ที่โรงละครโจหลุยส์เธียเตอร์ สวนลุมพินี และกล่าวถึงความคืบหน้าของการสืบสวนเรื่องนี้ว่า สถานีไม่มีการแบ่งฝ่ายทางการเมืองอย่างที่ถูกวิจารณ์แน่นอน และการสืบสวนหาข้อเท็จจริงก็ยังคงดำเนินต่อไป

“ไม่ครับ เรื่องแบ่งฝ่ายนั่นเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ผมคิดว่าทุกวันนี้ทุกคนก็ทำงาน ไม่ว่าฝ่ายไหนก็เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ทุกคนมีความคิดทางด้านการเมืองทุกคน ผมว่าทุกที่ก็เหมือนกันหมด หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ทีวีทุกช่องก็จะมีความคิดเห็นเหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้างอยู่แล้ว แต่ว่าทำงานแล้วต้องมองตัวองค์กรเป็นหลัก”

“ส่วนเรื่องการสอบสวนเราก็ยังดำเนินการอยู่ แต่อย่างที่บอกมันเป็นเรื่องที่อธิบายได้อยู่แล้ว เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์แบบนั้นมันเคยเกิดขึ้น แต่ว่าในสเกลที่เล็ก และแก้ไขทันท่วงที แต่นี่บังเอิญจังหวะมันช่างเหมาะเจาะพอดี เพราะว่าปกติเราจะมีการส่งสัญญาณภาพจากศูนย์ข่าวต่างจังหวัดมาที่ศูนย์กลางตลอดเวลา แล้วทุกอย่างก็ต้องผ่านไอ้คอนโทรลห้องนั้นน่ะ”

“ก็คือกรรมการสอบสวนก็ได้ข้อสรุปแล้วว่ามันคือ หนึ่ง ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงนะครับ แล้วก็เป็นความผิดพลาดทางเทคนิคบวกกันนะครับ ก็มีบุคคลในข่ายประมาณ 5-6 คนมั้งที่ต้องถูกลงโทษทางวินัย ก็ตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยขึ้นมาอยู่”

“ตอนนี้ขั้นตอนอยู่ว่าในระหว่างการสอบสวนทางวินัยว่าจะลงโทษแต่ละคนยังไงบ้าง ซึ่งก็จะมีดีกรีของการลงโทษไม่เหมือนกัน แต่ว่าความผิดมันมีแน่ มันมีตัวตนคนทำผิดแน่ และฝ่ายบริหารก็ได้มีการแสดงความรับผิดชอบโดยการเสนอให้มีการลงโทษตัวเอง อย่างน้อย 3 คน คือผม คุณเถกิง สมทรัพย์ และคุณบุญชาย ศิริโภคทรัพย์ ที่เป็นผู้อำนวยการสถานีนะครับ”

“ตอนนี้ผมเสนอให้ทางกรรมการนโยบายตัดสินเรื่องนี้ ก็เป็นตัวเลขที่เยอะ สำหรับผมมันเยอะ(หัวเราะ) เพราะว่ามันก็คงต้องลงโทษให้เห็นชัดเจนว่าเรารับผิดชอบนะครับ”

เผยต้องมีมาตรการที่คุมเข้มมากขึ้น และรับประกันว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำสองขึ้นอีก พร้อมกับยืนยันว่าไม่ได้เป็นการวางยาหรือจงใจใดๆ ทั้งสิ้น และไม่มีฝ่ายไหนหนุนหลัง
“อันดับแรกเราก็มีคำสั่งไปแล้วว่า หนึ่งไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับภาพในช่วงที่มีข่าวหรือถ่ายทอดสดอยู่ อันนี้ก็แก้ปัญหาไปเปราะนึง แต่ว่าที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือกลไกข้างใน ทำยังไงถึงจะไม่ให้มีความผิดพลาดตรงนี้ขึ้นอีกไม่ว่าในช่วงเวลาไหน ซึ่งผมก็ต้องยืนยันว่าจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก และการพิจารณาก็มีการลงโทษทุกคนที่เกี่ยวข้อง และผู้บริหารระดับผม คุณเถกิงผู้อำนวยการสถานีก็รับผิดชอบด้วยการยอมถูกลงโทษด้วยการตัดเงินเดือนตัวเองไปแล้ว”

“เราก็ถือว่าทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ใช่ลงโทษเฉพาะเด็กๆ ผมผู้อำนวยการก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ก็โดนหมด ผมก็โดน ผมก็เสนอตัวให้มีการตัดเงินเดือนผม คุณเถกิง และผู้อำนวยการสถานีก็ต้องโดนหมด แต่เรื่องการพักงานนั่นคือเฉพาะหน้าไง คนๆ นั้นเขาเป็นคนที่รับผิดชอบโดยตรงกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ถ้าเขาทำงานต่อนี่ยิ่งน่าเกลียดไปใหญ่ใช่มั้ย ก็ต้องให้เขาหยุดก่อนแล้วก็มาสอบสวนว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วถึงค่อยมาลงโทษว่าใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับความผิดโดยตรง แล้วก็ลงโทษไปตามโทษที่เกิดขึ้น”

“ถามว่ามันน่าจะตัดได้เร็วกว่านั้นมั้ย นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมต้องมีการลงโทษคนหลายคน เพราะว่าจริงๆ แล้วในห้องที่ดูแลในการถ่ายทอดอยู่มันมีมากกว่า 1 คนที่ดูแลอยู่ ทั้งระดับเจ้าหน้าที่ ระดับหัวหน้าเนี่ย คำถามใหญ่ก็คือเมื่อรู้ว่าผิดพลาดแล้วทำไมไม่ตัด”

“คำชี้แจงของเขาก็คือว่าในช่วงนั้น จริงๆ แล้วก่อนที่จะต่อสัญญาณควรจะฟังเสียงก่อน แต่ความประมาทของเขาก็คือไม่ฟังเสียง ไม่เช็คว่าใช่สัญญาณที่ถูกต้องหรือเปล่า เมื่อออกไปแล้วคำอ้างของเขาก็บอกว่ามันมาจากหลายแหล่งมากจนเขาไม่รู้ว่าเสียงที่เขาเสียบมันมาจากไหนกันแน่นะครับ จนกระทั่งมีคนที่ตรวจสอบจออยู่อีกห้องหนึ่งมาบอกว่ามันผิดพลาด เขาถึงได้รู้ตัว”

“แต่ว่าเรื่องวางยาอะไรเนี่ย ไม่นะ ในการสอบสวนผมเชื่อว่าไม่มี มันคงไม่วางยาแบบแจ่มชัดอย่างนั้นมั้ง มันจะได้อะไรขึ้นมาใช่มั้ย หรือการจงใจเนี่ยมันจะได้อะไรขึ้นมา ผมไม่เชื่อ และผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีใครที่จะต้องการทำกับองค์กรได้ขนาดนี้ ขอยืนยันว่าไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรเลยนะครับ ยืนยันได้เลย”

เผยว่าต่อไปนี้ก็คงต้องทำทุกอย่างเพื่อเรียกชื่อเสียงที่ดีกลับคืนมา โดยการผลิตรายการที่ดีออกมาสู่ประชาชน ซึ่งเตรียมจะมีการปรับแนวทางการทำรายการข่าวให้ชัดเจนมากขึ้น แต่ยืนยันว่าไม่ต้องดึงใครมาสู้กับช่องอื่น

“มีทางเดียวก็คือทำให้รายการของเราเป็นที่ยอมรับ มีคุณภาพ แล้วก็ไม่ให้มีความผิดพลาดแบบนั้นเกิดขึ้นอีก เรื่องข่าว เรื่องรายการทั้งหลายเนี่ยผมคิดว่ามันอยู่ที่นั่นแหละ เป็นหัวใจของการเป็นสื่อสาธารณะ ผมว่าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้ทุกที่มันเป็นเทคนิค บางทีบางอย่างมันควบคุมไม่ได้ มันอาจจะโชคร้ายที่มันมาเกิดขึ้นกับเราในจังหวะที่มันแย่ด้วย จังหวะที่มันไม่เหมาะสมที่สุด”

“ด้านรายการข่าวแข่งกันยังไม่พอ ยังมาดึงคนเราไปด้วย(หัวเราะ) ก็โอเค ผมว่าเป็นนิมิตรหมายอันดีที่แข่งกัน ในส่วนของตัวทีวีไทยเองเราก็มีแผนจะปรับอยู่แล้วนะครับกับทุกข่าวทุกภาค คือเราก็อยากให้ความสำคัญข่าวในเชิงเจาะลึก ข่าวที่ไม่ตามกระแสมากขึ้นนะครับ ซึ่งในส่วนนี้ก็จะปรากฎเด่นชัดขึ้นในเดือนหน้าเป็นต้นไป”

“เรื่องบุคลากรของข่าวผมว่าเรามีบุคลากรที่ดี แต่ว่าประเด็นสำคัญ คือ การจัดองค์กรภายในให้มันสอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนแนวทางการทำข่าว ดึงคนไม่ต้องครับ ก็มีแต่มาดึงคนของเรา คือเรามีนโยบายสร้างคน เราไม่มีนโยบายดึงคน คุณจะดึงคนได้คุณต้องจ่ายค่าตัวเขาเท่าไหร่ถึงจะดึงมาใช่มั้ย เราคงไม่ตั้งเป้าว่าจะดึงใครมา แต่ถ้าใครที่มีความสามารถ มีประสบการณ์ แล้วอยากที่จะมาร่วมกันสร้างสื่อสาธารณะเราก็พร้อม”