xs
xsm
sm
md
lg

“ปุ๊กกี้” เปิดใจเตียงหักรอบ2 เผย แยกกันอยู่ 3 เดือนก่อนหย่า หอบกระเป๋ากลับไทยถาวร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ปุ๊กกี้” หอบความช้ำกลับไทย เปิดใจหย่าสามีรอบ2 แจง ลองแยกกันอยู่ 3 เดือน เพื่อจูนเข้าหากันแต่แล้วก็ไปไม่รอด เนื่องจากความคิดและวิถีชีวิตแตกต่างกัน ยอมรับการต้องเป็นผู้นำสามีก็มีส่วน เจ้าตัวยัน จบกันด้วยดี พร้อมเผย ชีวิตต้องเริ่มต้นจากศูนย์ มีเงินติดกระเป๋าไม่มาก ตั้งใจกลับมาทำมาหากินที่เมืองไทยถาวร ก่อนแง้ม หากมีโอกาสอยากคืนวงการ

หลังจากได้รับการเปิดเผยจากคนใกล้ชิดของอดีตนักร้องสาว “ปุ๊กกี้ ปริศนา พรายแสง” ว่าเจ้าตัวได้หย่าขาดกับสามี “เอ้ ปาณสาร จันทน์หอม” ไปตั้งแต่เดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ตามที่ได้มีการรายงานข่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ ล่าสุด เมื่อช่วงบ่ายของวันนี้(30 เม.ย.) สาวปุ๊กกี้ก็ได้ออกมาเปิดใจด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก ที่โรงแรมเจ้าพระยา โดยยอมรับว่าข่าวดังกล่าวเป็นความจริง ส่วนเหตุผลก็มาจากหลายสาเหตุ หลักๆ เป็นเรื่องของความคิดเห็นไม่ตรงกัน เนื่องจากโตมาคนละวัฒนธรรม ทำให้ปรับจูนกันไม่ได้ เผย ตอนนี้กลับมาปักหลักที่เมืองไทย หวังเริ่มต้นชีวิตใหม่

“ก็ได้หย่ากันจริงค่ะ เซ็นใบหย่าวันที่ 11 มีนาฯค่ะ ที่ซิดนีย์ ที่สถานกงศุลฯซิดนีย์ เหตุผลคือจริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นเรื่องราวที่เลวร้ายที่เหมือนในอดีต ที่ว่าออกมาแล้วจบไม่สวย ไม่ดี แต่คือในเมื่อคนเราอยู่ด้วยกันแล้วมันรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้วด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง ก็คิดว่าการแยกกันเป็นเรื่องที่ดีกว่าที่จะดันทุรังอยู่ต่อ คือต่างคนมาจากต่างวัฒนธรรม และสองคนที่จะมาอยู่รวมกันมันก็ต้องแตกต่างกันอยู่แล้ว พอมาอยู่รวมกันคือความคิดเห็นมันไม่ตรงกันอยู่แล้ว”

“แต่ทีนี้ทางฝ่ายเอ้เขาก็ให้เกียรติเรา เหมือนกับว่าอยากจะทำอะไรก็เต็มที่ มันก็เลยเหมือนกับว่าเราเป็นคนที่นำเขาไปตลอด แต่ทีนี้พอมันหลายๆ อย่างน่ะค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าเราเป็นผู้นำแล้วเขาตามเรา ถึงเลิกกันมันไม่ใช่ คือกี้ไม่เห็นด้วยว่าใครเป็นผู้นำผู้ตามคือต้องไปด้วยกันมากกว่า แล้วเราก็จบกันด้วยดีค่ะ เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากๆ”

”เรื่องไม่มีลูกประเด็นหลักค่ะ เป็นประเด็นเล็กๆ ที่รวมกันแล้วรู้สึกว่าเราอาจจะดำเนินชีวิตไปคนละเส้นทางกันแน่นอน คือในเมื่อแต่ละคนมีการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน และความคิดเห็นที่ชัดเจน ก็เคารพการตัดสินใจของแต่ละฝ่าย ในเมื่อรู้สึกว่ามันไม่ใช่จริงๆ ก็อย่าฝืนเลยดีกว่า เพราะว่าในเมื่ออยู่ด้วยกันแล้วฝืน เปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เป็นคนอื่นแล้วมันไม่ใช่”

“ตัดสินใจก็ไม่นาน มันเป็นความรู้สึกที่รู้สึกเหมือนกัน ในเมื่อรู้สึกตรงกันมันก็ มันไม่จำเป็นต้องแบบว่าคิดนาน ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีแบบระหองระแหง ไม่มีค่ะ ไม่มีบุคคลที่สาม ไม่มีทะเลาะตีกัน ไม่มีเรื่องแบบนี้เลย เพราะว่าเราเริ่มกันด้วยการเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก่อน เข้าใจกัน เพราะว่าปุ๊กกี้ผ่านอะไรมาเยอะ มีแต่เรื่องที่ไม่ดีทั้งนั้น ซึ่งเขาเข้ามาและเข้าใจเราคนเดียว”

เผย พยายามปรับความเข้าใจกันตลอดเวลา แถมทดลองแยกกันอยู่ถึง 3 เดือน เพื่อถามความต้องการของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝั่งต้องหย่าร้างในที่สุด
“มีการปรับความเข้าใจกันตลอดเวลา คือพยายามจะปรับเข้าหากัน พยายามจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้การแต่งงานอยู่ร่วมกันครั้งนี้เป็นเรื่องที่อยู่กันไปจนแก่ จนเฒ่า แต่พอมันถึงจุดๆ นึงแล้วรู้สึกว่าพยายามเท่าไหร่มันยิ่งไม่ได้น่ะค่ะ ก็เลยตัดสินใจว่าในเมื่อเรามันไม่ใช่แล้วก็แยกกันอยู่เลยดีกว่า เราแยกกันอยู่ก่อน เหมือนต่างประเทศเขาจะให้แยกกันอยู่ก่อน ว่าลองแยกกันอยู่ว่าใช่มั้ยแล้วค่อยหย่า”

“เราแยกกันอยู่ประมาณ 3 เดือน ประมาณช่วงปลายปีที่แล้วน่ะค่ะ เราคบกัน 5 ปี แล้วก็แต่งงานเพิ่ง 2 ปีกว่าๆ ค่ะ ก็แค่แยกกันอยู่ตั้งแต่เดือนกุมภาฯ แต่ว่าไม่ได้เลิกกัน มันไม่ได้หย่ากันคือมันเป็นช่วงปรับความเข้าใจกันอยู่ ก็ไม่ได้เลิกกันจริงๆ นะตอนนั้น ซึ่งตอนนี้ถ้าพยายามจะปรับความเข้าใจคงไม่มี แต่คือคุยกันว่าเป็นยังไง งานโอเคมั้ย รู้สึกยังไง ก็เป็นห่วงเป็นใยกันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำที่เหมือนตอนอยู่ด้วยกัน โอกาสกลับมาคืนดีตอนนี้ไม่มีค่ะ มันเหมือนกับว่าเท่าที่เรามีความรู้สึกว่าจะรีเทิร์นได้ ก็คงไม่ถึงกับขั้นต้องหย่า”

“แบ่งสินสมรสไม่มีค่ะ เราเข้าใจกัน คือทางเอ้เขาไม่ได้อะไรมากมาย มันไม่ได้คุยกันเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ (หัวเราะ) ไม่ได้มองว่าได้อะไรไม่ได้อะไร มันเป็นของเราทั้งคู่ เราไม่ได้ซื้อบ้านไม่ได้อะไรด้วยกัน แต่คือเขาก็เหมือนกับอยากจะได้อะไรก็เอาไป ซึ่งเขาไม่ได้พูดอย่างนั้นนะคะ แต่คือเหมือนกับว่ามันเป็นการที่รู้กันว่าเอ้ให้ทั้งหมด ตอนนี้เอ้ก็กลับมาแล้ว แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่ากลับบ้านที่ต่างจังหวัดหรือว่าอยู่กรุงเทพฯ เขากลับมาทีหลังค่ะ”

“อยู่ที่โน่นไม่ได้ทำธุรกิจ เราแยกย้ายกันทำงาน ส่วนปุ๊กกี้จะไปทำเสริมเกี่ยวกับโรงแรมมากกว่า ก็ทำตั้งแต่เสิร์ฟ ยันเปลี่ยนผ้าปูที่นอน คือไม่อายที่จะทำตรงนั้น เพราะว่าเราเรียน แล้วต้องทำจากข้างล่าง ก็ไปทำงานโรงแรมน่ะค่ะ ก็เพราะเราไปเรียนทางด้านนี้ ก็เลยอยากจะได้ประสบการณ์จริง บางคนถามแบบว่าอุ๊ยเป็นถึงดาราแล้วไปทำเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ล้างห้องน้ำไม่อายเหรอ คือไม่อายค่ะ เพราะว่าคนเราจะมาเป็นผู้บริหารจะเป็นเจ้าของอะไรสักอย่างจะต้องจัดทุกอย่างได้ ตอนนี้เรียนจบแล้วค่ะ ก็ไปทำโรงแรมที่นั่นตั้งแต่ไป เริ่มจากเสิร์ฟอาหารก่อน เรียนค่อยๆ ขึ้นไป”

“มีคนจำได้ค่ะ(หัวเราะ) เจอลูกค้าคนไทย เขาก็สงสัยว่าใช่รึเปล่า เราพูดภาษาอังกฤษ แต่ลูกค้าคนไทยจะพูดภาษาไทยกับเราก่อน ทีนี้เราก็พูดภาษาไทย ส่วนเอ้เขาไปเป็นผู้ช่วยเชฟค่ะ คือเหมือนกับว่าไปช่วยเชฟทำอาหาร เป็นลูกมือ เป็นร้านอาหารฝรั่งค่ะ”

แม้ชีวิตคู่จะล้มเหลวถึงสองครั้งสองครา แต่เจ้าตัวก็ยังกำลังใจดีไม่ท้อ บอกดีกว่าอยู่กันไปแล้วทุกข์ระทม รับ กลับมาเมืองไทยครั้งนี้ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ เพราะไม่ได้มีเงินทองติดตัวมาเยอะ
“เป็นหม้ายรอบสองก็ไม่ท้อนะคะ เพราะว่าหม้ายรอบหนึ่งนี่คือมันหนักไปแล้ว หนักมากไปแล้ว รอบนี้ก็เหมือนกับว่าเป็นการที่จากกันด้วยดี ดีกว่าอยู่ด้วยกันด้วยซ้ำ มันก็เลยไม่มีความรู้สึกว่าเสียใจหรือว่าหมดหวัง ก็เลยรู้สึกว่าเออมันเป็นอะไรที่ดีสำหรับทั้งคู่ดีกว่า อยู่ด้วยกันแล้วก็ทุกข์ทรมาน แต่หย่าครั้งนี้ก็เสียใจมากค่ะ ช่วงแรกๆ ร้องไห้ แต่ตอนนี้ก็แบบเป็นอะไรที่ในเมื่อเราก็รู้สึกว่าหย่ามันดีกว่านะ แต่ก็แค่เหมือนเสียดายที่มันไปไม่ถึงสุดทาง”




“ตอนนี้ปุ๊กกี้อยู่คนเดียวค่ะ (ที่บอกว่าครั้งนี้กลับมาเริ่มต้นจากศูนย์ แสดงว่าไม่ได้มีเงินกลับมาเยอะแยะ?) ใช่ค่ะ ก็คือเริ่มจากศูนย์ มาแต่กระเป๋า(หัวเราะ) แต่เงินมีค่ะ แต่ไม่ได้เยอะมาก เป็นหลักสิบล้านคือไม่ใช่อย่างนั้น คุณแม่กับคุณพ่อยังอยู่ที่นู่น(ออสเตรเลีย) คือจริงๆ แล้วอยากจะอยู่ใกล้ลูกมากกว่า คือพ่อแม่ก็คือพ่อแม่เราต้องเคารพรักใช่มั้ย แต่คือลูกคือลูกของเราที่จะต้องดูแลต่อไป ก็ควรจะอยู่ใกล้เขา”

“ตอนนี้แพทเติ้ล 10 ขวบค่ะ แล้วก็แบมแบม 7 ขวบค่ะ วางอนาคตลูกยังไง ก็คือไม่ได้คาดหวังกับเขานะคะว่าเขาจะต้องเป็นอะไร แต่อยากให้เขาเรียนจบแล้วก็เป็นคนดีในสังคม แล้วก็ดูแลตัวเองได้ก็พอแล้วค่ะ (จะเอาประสบการณ์ตัวเองมาสอนลูกมั้ย?) แน่นอนค่ะ(หัวเราะ) ก็เรื่องของอารมณ์ เพราะแต่ก่อนจะเป็นคนอารมณ์ร้อน อารมณ์รุนแรง จากการตัดสินใจแบบปุ๊บปั๊บมันก็เลยทำให้เรามีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ก็จะให้เขาเป็นคนใจเย็นค่อยๆ คิดอย่างมีสติค่ะ”

ปัจจุบันกลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว ตั้งใจอยากกลับมาทำงานและอยู่กับลูกที่เกิดกับ “ต๋อง สุรพันธุ์” ให้หายคิดถึง
“กลับมาอยู่เลยค่ะ ณ จุดนี้นะคะ อนาคตก็ไม่แน่ไม่นอนเหมือนกัน เพราะว่าตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทย ก็ ณ จุดนี้ก็คือคิดว่าอยากจะกลับมาทำงานที่เมืองไทยอีกสักครั้งนึง ก็คิดถึงเหมือนกัน เพราะว่าไปอยู่ที่ออสเตรเลียปีนึงก็ไปนั่งเฝ้าคิดถึงเมืองไทยตลอดเวลา ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่จะกลับมารักษาตัวแล้วก็กลับมาทำงานเต็มที่ แล้วก็ได้อยู่กับลูกด้วย”

“คือเหมือนกับว่าเราเกิดที่ออสเตรเลียจริง แต่เหมือนกับว่าลึกๆ แล้วเหมือนคิดถึงเมืองไทยมากกว่า ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะอะไร(หัวเราะ) แต่มันเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่าอยู่เมืองไทยแล้วมีความสุขกว่า เพราะตอนที่ตัดสินใจไปอยู่ออสเตรเลีย ก็เพราะรู้สึกว่าธุรกิจหรือเศรษฐกิจของไทยค่อนข้างจะเริ่มแย่ ก็คุยกับทางเอ้ว่าเราจะไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ดีมั้ย ก็ย้ายไปอยู่ออสเตรเลีย ซึ่งปุ๊กกี้ก็อยากจะไปเรียน กลับไปเรียนหนังสืออีกครั้งนึง ก็เลยได้ไปเรียนการโรงแรม และเป็นสิ่งที่เราอยากทำมานานแล้วก็ได้กลับไปทำ แล้วบวกกับให้เอ้ไปเจอวัฒนธรรมอีกแบบนึงซึ่งเป็นของเรา ได้ไปอยู่ได้สัมผัส”

“ยอมรับว่าเข็ดการแต่งงาน แต่ว่าไม่เข็ดเรื่องความรัก เพราะว่าถ้าจะบอกว่าเข็ดเรื่องความรัก มันไม่ใช่น่ะค่ะ ความรักคนเราเป็นมนุษย์เหมือนกันก็ต้องการความรัก แต่ว่าจะแต่งงานอีกสักครั้งมั้ย คงไม่แน่นอน(หัวเราะ) คุณแม่ก็ให้กำลังใจค่ะ ซึ่งท่านก็พยายามบอกว่าไม่เป็นไร คือไม่จำเป็นต้องแบบว่ามีน่ะ สามีอยู่ด้วยกัน คือเพราะว่าชีวิตกี้ก็ค่อนข้างขึ้นๆ ลงๆ มาตลอด ก็ถือว่าจะได้มีเวลาดูแลลูกให้เต็มที่”

“ลูกก็อยู่กับพี่ต๋องค่ะ ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้เจอค่ะ เพราะว่าเหมือนกับกลับมาครั้งนี้เริ่มจากศูนย์ใหม่อีกครั้งนึง ก็เลยทุกอย่างจะต้องแบบว่าต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป กี้เพิ่งกลับมาวันที่ 22 มีนาฯค่ะ ลูกก็ยังไม่ทราบเรื่องของเรา(หย่า) เพราะว่าตัวเราเองก็ยัง เหมือนกับว่าไม่รู้จะอธิบายยังไง ก็คือเราตกลงกันด้วยดีค่ะ ว่าเราจะช่วยกันดูแลลูก แต่ว่าในเมื่อตัวเรายังไม่พร้อม ไม่ว่าจะเรื่องที่อยู่หรือว่าความมั่นคง ทางพี่ต๋องมั่นคงกว่า ก็ให้ลูกอยู่สบายๆ แล้วเราก็สามารถไปมาหาสู่กัน เอามานอนได้ ดีที่ได้กำลังใจจากลูกๆ น่ะค่ะ เพราะว่ามันไม่มีอะไรที่แบบว่าที่เราจะรักได้มากไปกว่านั้น พี่ต๋องไม่ได้กีดกันเลยค่ะ คือเขาแบบดีมากๆ เรื่องนี้ คือรู้กันอยู่แล้ว”

แง้มอยากกลับมาทำงานในวงการบันเทิงอีกครั้ง หลังห่างหายไปนาน 13 ปี
“ค่ะ ก็อย่างที่บอกว่าหายไปประมาณ 13 ปี ตั้งแต่งานชะลาล่าใช่มั้ยคะ ทีนี้พอกลับมาครั้งที่แล้วรู้สึกว่ามันยัง มันแบบไม่ค่อยชัดเจน (หัวเราะ) ไม่รู้จะพูดยังไง คือไม่ค่อยชัดเจน ก็เลยคิดว่าอยากกลับมาทำอะไรที่เหมือนกับว่าตั้งใจทำจริงๆ แล้วก็ทำธุรกิจด้วย ควบคู่กันด้วย เพราะว่าก็คงหนีไม่พ้นเรื่องความสวยความงาม(หัวเราะ) แต่ว่าย้ายตำแหน่งจากแต่ก่อน จากหน้าอกกลับมาเป็นใบหน้า เพราะคิดว่าอย่างผู้หญิงทุกคนก็อยากจะสวย แล้วตัวปุ๊กกี้เองก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยที่ดูแลรักษาหน้ามาตลอด แล้วจะมีบางครั้งว่า เอ๊ะ อายุ 30 แล้วเหรอ”

“คือจริงๆ แล้วชอบร้องเพลงค่ะ เหมือนกับว่าที่หายไปกลัวการร้องเพลงไปเลย ไม่ได้จับไมค์อีกเลย ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร แต่พอได้แยกทางแล้วกลับมาคือชอบร้องเพลงมากๆ มันเหมือนอาจจะเป็นอะไรที่ค้างคาในใจอยู่รึเปล่า แต่ก็ต้องดูก่อนค่ะ ว่าตลาดตอนนี้เป็นยังไง รู้สึกว่าจะมีน้องๆ เกิดขึ้นมาใหม่มากมาย ก็เลยแบบว่าต้องดูก่อนค่ะว่าจะเดินต่อไปทางไหนดี”

เจ้าตัวพยายามมองมุมกลับ เอาสิ่งผิดพลาดที่ผ่านมาเป็นบทเรียนเตือนสติให้ใช้ชีวิตระมัดระวังมากขึ้น
“ถ้าคนมองอยู่จากสื่อนะคะ ก็จะมองว่าปุ๊กกี้นี่แบบชีวิตขึ้นๆ ลง ๆ แล้วก็จะมีแต่ภาพลบตลอดเวลา แต่เรารู้ตัวเราเองว่าเราเป็นยังไง แล้วก็คนใกล้ชิดก็รู้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นแค่มุมๆ นึงที่ถูกเสนอออกไป แต่ว่าอย่างที่บอกค่ะว่าเรื่องที่ดีก็ควรเอาไปเป็นตัวอย่าง เรื่องที่ไม่ดีเอาเก็บไว้เป็นบทเรียน เหมือนกับให้น้องๆ ดูว่าถ้าเดินในมุมนี้จะเกิดอะไรขึ้น หรือว่าคิดว่าชีวิตกี้เป็นหนังเรื่องนึงแล้วกัน ก็มันมีดีและไม่ดี ก็เอาตัวอย่างนี้ไปใช้กับตัวเองได้ค่ะ”

“พอเรามองย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว ที่คุณแม่ออกมาต่อต้าน ก็จะรู้สึกว่าใช่เนอะ อะไรอย่างเนี้ย(หัวเราะ) คือตอนเด็กๆ ก็มองกลับมาว่าใช่ คือแม่ทำทุกอย่างเพื่อที่จะปกป้องเรา แต่ว่า ณ วันนั้นปุ๊กกี้ก็มีเหตุผลที่จะต้องออกไปมีครอบครัวก่อนวัยอันสมควร นั่นคือเรามีท้อง มีน้อง แล้วตัดสินใจว่าจะเอาลูกออกหรือจะเสียสละชีวิตทุกอย่าง ก็คิดว่าเอาลูกออกเนี่ยทำใจไม่ได้ ก็คงต้องเสียสละ แล้วก็เดินไปเส้นนั้นน่ะค่ะ คือตอนนั้น 17-18 มั้งคะ ก็ไม่พร้อมจริงๆ ค่ะ แต่คือด้วยคำว่ารับผิดชอบ มันก็เลยจะต้องเป็นแบบนั้น”

“ตอนนี้ยังไม่อยากเปิดรับใครค่ะ(หัวเราะ) เดี๋ยวขอพักนิดนึงเพราะว่ารู้สึก 10 ปีที่ผ่านมามันเป็นเรื่องที่มีแต่เรื่องความรักวุ่นวาย ก็อยากจะเหมือนกับว่าได้อยู่กับตัวเองจริงๆ ไม่เหนื่อยนะ เพราะรู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้ที่ไหนอีกแล้ว (หัวเราะ) แต่หนักค่ะ บอกตรงๆ ว่าหนัก ครั้งแรกที่เจอรู้สึกท้อมาก แต่ว่าพอผ่านไปรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ท้าทาย แล้วมันให้กับเรามากกว่า เราอย่าไปคิดว่ามันลบ มองอีกมุมนึงมันหล่อหลอมให้เราเป็นได้ทุกวันนี้ค่ะ”
กำลังโหลดความคิดเห็น