“เบลล์”รอศาลตัดสินคดีเพื่อนทอมรูดเงิน บอกไม่ปรักปรำ แต่ขอสู้คดี เนื่องจากเดือดร้อนจากการต้องชดใช้หนี้ หลังโดนรูดบัตรเครดิตกว่า 6 แสน บอกไม่เคยคิดขึ้นโรงขึ้นศาลมีปัญหา แต่อีกฝ่ายทำนิ่งเฉย รับเสียใจ ที่ไว้ใจคนอื่นมากเกินไป รับครอบครัวให้กำลังใจ มีกำลังใจ ไม่คิดสั้นฆ่าตัวตายอีก
โดนมรสุมรุมเร้าไม่ขาดสาย สำหรับอดีตนักร้องสาว “เบลล์ สุภัชญา ลัทธิโสภณกุล” หลังจากที่ได้แถลงข่าวปิดตัวโรงเรียนสอนเต้นจากที่ประสบปัญหากับหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งได้ไม่นานนัก ก็มีข่าวออกมาว่า ถูกเพื่อนทอมโกงเงินโดยรูดบัตรเครดิตเป็นเงินจำนวนว่า 6 แสนบาท ซึ่งสาวเบลล์ก็ได้เดินทางไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 19 มกราคม ล่าสุดได้เจอกับสาวเบลล์ในงานเปิดตัว ละครเวทีเรื่องชิคาโก้ ที่รัชดาลัยเธียเตอร์ เลยนำตัวมาสอบถามเรื่องความคืบหน้าของคดี ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ตอบกลับมาว่า ได้แจ้งความเพื่อดำเนินคดีแล้ว บอกในชีวิตไม่อยากเป็นคดีความกับใคร แต่ได้รับความเดือดร้อนจากการเป็นหนี้ครั้งนี้จึงต้องออกมาฟ้องร้อง
“เมื่อวานได้เดินทางไปที่กองปราบ หลังจากที่ได้ทราบเรื่องเมื่อวันที่ 3 มกราคมค่ะ ก็มีบัตร 3 ใบ ค่ะ ยอดอยู่ที่ประมาณ 6 แสนกว่าบาท ใบแรก 5 แสน ใบที่สอง 7 หมื่น อีกใบนึง 5 หมื่น คือพอไปเช็คจากทางแบงค์ ไปขอดูหลักฐานจากการใช้บัตรว่าเนื่ย ตั้งแต่เมื่อไหร่ คือตั้งแต่ปลายปี 2006 แล้วตั้งนานแล้วเหมือนกันแต่ตัวเราพึ่งมารู้”
“เรื่องคดีคือจริงๆต้องรอให้เป็นไปตามกระบวนการ เขาคงมีการสืบสวนสอบสวนพยานแล้วก็คงมีการเรียกไป คือก่อนหน้าที่เราจะตัดสินใจแจ้งความ เราต้องการที่จะให้มาคุยเพื่อที่จะให้มาชำระ จะได้ไม่ต้องแจ้งความ แต่พอคุยแล้วเขาก็ไม่รู้เรื่อง ก็เงียบ ก็เลยต้องให้เป็นไปตามกฎหมาย”
“อย่าพูดถึงว่าเป็นใครดีกว่า เพราะว่าตรงนี้ในเรื่องของการตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิดมันเป็นเรื่องของศาล และพยานของการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ ส่วนถ้าเขาเปลื่ยนใจจะชำระหนี้ จะถอนแจ้งความไหมอันนี้เท่าที่ทราบอยู่ที่ว่า ถ้ามันเข้าประมวลลักทรัพย์ ก็คงถอนไม่ได้ จริงๆแล้วเบลล์ พ่อแม่เบลล์ไม่ใช่คนที่ชอบเอาเรื่องใครเลย ถ้าเจรจาได้ก็จะดีกว่า ก็ติดต่อไปแล้วเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรมา”
ยอมรับหนี้เยอะจนเป็นภาระก็จะขอประนอมหนี้กับแบงค์
“ส่วนของทางธนาคาร คือตรงนี้ผู้เสียหายก็คือเบลล์ เบลล์ก็ต้องมาชดใช้เงินที่ตัวเองไม่ได้ใช้ มันก็ค่อนข้างหนักเหมือนกัน คือตรงนี้ก็ได้เจรจากับทางธนาคารว่าจะประนอมหนี้อะไรกันอย่างไรได้บ้าง คือต้องรอทางธนาคารเพราะว่า ธนาคารต้องยื่นเรื่องไปยังหัวหน้าของเขา ทางธนาคารก็ได้ให้หลักฐานเท่าที่จะให้ได้ เค้าก็คงจะส่งถึงตำรวจ คือตอนนี้ก็สืบสวนสอบสวนจากพยานหลักฐาน แล้วทางแบงค์ก็ต้องมีในเรื่องของหลักฐานมาให้ มีการเรียกมาสอบปากคำ”
“จริงๆธนาคารก็ยังมีโทรมาคุยเรื่องนี้ว่าจะใช้ยังไง แต่คือจริงๆอยากจะขอเวลาสักพักหนึ่ง คือการดำเนินคดีมันอาจจะเป็นปี ยังไงก็แล้วแต่ ถ้าพักหนี้ได้สักช่วงเวลาหนึ่งมันก็ยังดี ให้ทางเราได้ดำเนินการ และให้คุณพ่อคุณแม่ได้ตัดสินใจว่าจะผ่อนชำระกันยังไง ตรงนี้พุดตรงๆหนักมากเรื่อง ร้าน เรื่องโรงเรียน คือเบลล์ต้องใช้ทุนเยอะแล้วต้องมาเจอ เรื่องนี้เข้ามาอีกคือต้อง คือต้องมานั่งใช้หนี้
“ก็อยากขอความเห็นใจแล้วกัน เราพูดตามตรงจริงๆไม่ได้ปรักปรำว่าใครผิด คือตอนนี้เราเสียหายเงินก็ไม่ได้ แต่ต้องมานั่งใช้หนี้แทน ตอนนี้ก็ไม่ได้ถึงขั้นว่าลำบากขนาดนั้น แต่เงินที่เก็บมาจากการทำงาน มากว่า 10 ปีต้องมาใช้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินใหม่”
ต่อข้อซักถามว่ารู้สึกอย่างไรกับเหตุกาณ์แย่ๆ ที่มีเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน งานนี้เจ้าตัวก็ยอมรับว่าเสียใจ พร้อมกับ ฝากเรื่องของตัวเองไว้เป็นอุทาหรณ์
“เสียใจ จริงๆปีก่อนตั้งแต่ต้นปีก็เป็นข่าว จริงๆเบลล์ไม่อยากให้เป็นข่าวในทางแย่ๆ แล้วความเก่าๆที่มีก็ยังไม่จบ คืออย่างงานเราก็เจอมาเยอะ ตรงนี้ อะไรประนอมไกล่เกลี่ยได้ก็อยากจะทำ อันไหนยอมไม่ได้หรือเป็นคดีก้ต้องให้เป็นไปตามกฎหมายไป แต่ว่าเรื่องนี้ที่พึ่งมารู้ มันก็เหมือนทุกอย่างมันประดังเข้ามาครั้งนี้เป็นบทเรียนราคาแพงจริงๆมันเกิดจากความไว้ใจ แล้วก็เรื่องเอกสารต่างๆ คือเราก็ไว้ใจนั่นแหละส่วนหนึ่ง และก็เกิดจากเราไม่ได้คิดก่อนว่ามันจะมีเรื่องนี้เกิดขึ้น แม้กระทั่งคนใกล้ตัวหรืออะไรก็ตาม”
“คือจะพูดยังไงดี เสียใจนะ คนเรา คบกันมา 6-7 ปี เราคิดว่าเรามีแต่ความจริงใจให้ อย่างเรื่องโรงเรียนมันก็หนักมาก แต่พอมาเจอถึงเรื่องบัตรเครดิตยิ่ง แบบว่าเราย้อนดูตอนที่เค้าเริ่มทำแบบนี้มันก็นานมาแล้ว แล้วก็รู้สึกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เรามัวแต่คิดเรื่องของการทำงาน เรื่องของอนาคตความก้าวหน้าของเราอะไรอย่างนี้ เพราะเราก็ไม่เคยระแวง ไม่เคยสงสัย แต่อย่างนี้เราก็เสียใจ เสียใจที่ว่ามันทำมานานแล้วด้วย ไม่ได้พึ่งเกิด คือมันทำมานานแล้ว”
“มันก็มีเรื่องของร้านเรื่องของอะไรเราต้องมาคุยกัน พูดง่ายๆคือ พูดไม่รู้เรื่อง เบลล์ถึงขนาดให้คุณพ่อคุณแม่มาคุยแล้ว คือให้ผู้ใหญ่คุยดีกว่า เค้าก็ไม่ยอมคุยจะคุยกับเบลล์ ซึ่งมันก็ไม่ได้เพราะเงินทั้งหมดที่มาลงทุน เป็นเงินของพ่อแม่เบลล์ เพราะฉะนั้นก็ต้องคุยกับพ่อแม่เบลล์ คือต่างๆนานาที่เราเคยพูดกัน รับปากกัน ก็ยังไม่เคยเห็นความคืบหน้ามันสักอย่าง”
“ตรงนี้จริงๆก็ไม่ได้หวังอะไรเลย เพราะว่าเราก็เข้าใจ ว่าเป็นเครดิตในชื่อของเรา อยากให้เป็นอุทาหรณ์ให้คนอื่นๆจะดีกว่าค่ะ ในเรื่องของสมัยนี้ การมีบัตรเครดิต การที่จะทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์ที่ไม่ให้เจ้าตัวไปแสดงตน ก็อยากให้ธนาคารเพิ่มมาตรการส่วนนี้ให้แน่นหนาก็จะดี แล้วส่วนเจ้าของบัตรเองก็ต้องเพิ่มความระมัดระวัง”
เผยได้รับกำลังใจจากคนรอบข้างมากมาย บอกไม่คิดสั้นแล้ว
“กับเพื่อนๆ เบลล์ก็คุยกับหญิงว่า เข้าใจแล้วที่ตื่นมาก็เป็นหนี้ คือหญิงก็เคยโดนอย่างนี้มาแล้ว อะไรที่ตัวเองไม่ได้สร้างคือเราเซอร์ไพรส์มาก อยู่ดีๆเราก็ต้องมาใช้หนี้ที่เราไม่ได้สร้างเลย คือหญิงก็ปลอบใจว่าอย่าคิดมาก ตั้งใจทำงาน ทำอะไรไปเดี๋ยวสิ่งดีก็เกิดขึ้นเอง”
“ที่คิดสั้น เรื่องมันเกิดขึ้นมานานแล้ว คือเมื่อต้นปีไม่ได้กลับบ้าน เราปกปิดพ่อแม่ในเรื่องของปัญหา เรากลัวว่าพ่อแม่จะกลุ้มใจในเรื่องนี้ไปด้วย แต่สุดท้ายเราก็มารู้ว่า ปัญหาต่างๆคือเราต้องบอกพ่อแม่อยู่ดี ตอนนั้นเราคิดจะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง มันก็เลยคิดสั้น แต่พอ ณ วันนี้ พอมีปัญหาเบลล์ก็กลับไปบ้าน อยู่กับพ่อแม่ ก็ขอโทษเขาแล้วบอกว่าเกิดอะไรขึ้น เค้าก็ต้องมานั่งแก้ปัญหา แต่แบบว่าเราก็รู้สึกแย่ ที่กลายเป็นเราที่สร้างปัญหา แล้วเรากลับบ้านไปเราก็ร้องไห้ อะไรก็ตามไปขอโทษเขา กลับกลายเป็นเขาต้องมาปลอบเราอีก”
สำหรับสาวเบลล์นั้น อดีตเป็นนักร้องคู่ดูโอชื่อดังชื่อวง “ไชน่าดอล์” เจ้าของเพลงฮิต “ก็หมวยนี่คะ” คู่กับ “หว่าหวา ไชน่าดอล์” สังกัดแกรมมี่ ช่วงหลังไม่มีผลงานเพลงออกมา จึงผันตัวไปทำธุรกิจร้านสัก และโรงเรียนเต้น อีกทั้งตกเป็นข่าวมาเป็นระยะๆ รุนแรงถึงขั้นคิดกินยาฆ่าตัวตายมาแล้ว หลังจากที่โดนเพื่อนโกงเงิน 5 แสนบาท จากการทำธุรกิจร่วมกัน โดยนักร้องสาวเกิดอาการเครียดกินยานอนหลับกว่า 20 เม็ด เพื่อฆ่าตัวตาย แต่มีเพื่อนมาช่วยไว้ได้ทัน ซึ่งขณะนั้นเจ้าตัวเผยว่าคิดฆ่าตัวตายจริง เพราะไม่รู้วิธีแก้ปัญหา