xs
xsm
sm
md
lg

ผมขึ้นห้องไม่ได้/อำนาจ

เผยแพร่:   โดย: อำนาจ เกิดเทพ

คืนวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมาเป็นอีกคืนหนึ่งที่ผม "เข้าห้อง" ไม่ได้อีกครั้ง และก็เป็นอีกครั้งที่ผมต้องนั่งแท็กซี่ข้ามสะพานพระปิ่นเกล้า กลับมาอาศัยห้องประชุมชั้น 5 บ้านพระอาทิตย์ ออฟฟิศของเอเอสทีวีผู้จัดการรายวันเป็นที่หลับนอน

แต่สาเหตุของการเข้าห้องไม่ได้ในครั้งนี้ค่อนข้างจะแตกต่างไปจากทุกครั้งที่เกิดจากการเผลอเรอลืมลูกกุญแจไว้ที่ออฟฟิศหรือบนรถของพี่ๆ ที่ขับแวะส่ง โดยคราวนี้เหตุผลที่ผมเข้าห้องไม่ได้ก็เพราะผมไม่สามารถ "ขึ้นห้อง" ได้อันเนื่องมาจากระบบอ่านคีย์การ์ดของหอพักนั้นเสีย

หอพักที่ผมอยู่ชื่อ ดีเอสเฮ้าส์ฯ ครับ ตั้งอยู่ในซอยวัดดุสิตาราม ซึ่งผมเองกระดากเหลือเกินที่จะบอกว่าชื่อจริงๆ ของมันนั้นคือ ดีเอสเฮ้าส์ คอนโดมิเนียม และกระดากสุดๆ หากจะบอกถึงคำโฆษณาของหอพักนี้ที่ติดป้ายบอกไว้หน้าปากซอยวัดดุสิตารามฯ (ซึ่งตอนนี้ลางเลือนไปแล้ว)ที่ว่า...ดีเอสเฮ้าส์ คอนโดมิเนียม คอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา...(555)

จริงๆ ไอ้ระบบรักษาความปลอดภัยที่เสียนี้มันเพิ่งจะถูกติดตั้งได้ไม่นานสักเท่าไหร่ครับ นัยว่าเฮียเจ้าของหอต้องการให้มันดูทันสมัยมากขึ้น แต่ผมรู้สึกว่ามันดูแปลกๆ ยังไงไม่รู้อยู่เหมือนกันระหว่างเทคโนโลยีที่ดูทันสมัยนี้กับสภาพภายนอกของอาคารที่ค่อนข้างจะเก่าทีเดียว

เหมือนกระต๊อบปลายนาที่ติดกริ่งไฟฟ้าอารมณ์นั้นเลยครับ

"เสียตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย"

ผมเอ่ยปากถามเจ้าหน้าที่ในชุดรักษาความปลอดภัยเต็มยศ (นี่ก็เป็นของใหม่ของหอพักแห่งนี้อีกเหมือนกัน เพราะแต่ก่อนรปภ.จะเป็นคนแถวๆ นั้น และไม่มีชุดแบบฟอร์ม(หรือว่ามีแต่เจ้าตัวไม่ใส่ไม่แน่ใจ) สามารถทักทายพูดคุยทักหรือแม้กระทั่งให้สิ่งของกันได้เหมือนคนรู้จักทั่วๆ ไป ที่สำคัญสามารถช่วยเหลือผมเข้าตัวอาคารได้หากลืมคีย์การ์ด)

"เสียมาตั้งแต่ตอนเย็นแล้วครับ..." เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้คำตอบ

"แล้วทำไมไม่เปิดประตูทิ้งไว้เลยล่ะ" ผมถามต่อ

"เปิดครับ เนี่ยแล้วก็เอาเชือกมากั้นไว้ไม่ให้ประตูมันปิด แต่ไม่รู้ใครมาดึงออก.." เขาพูดพร้อมกับชี้ให้ดูที่เชือก

"อ้าว แล้วผมจะเข้าไปได้ยังไงเนี่ย พี่เปิดไม่ได้เลยหรือ"

"ไม่ได้เลยครับ เอางี้เดี๋ยวผมจัดการเอง" เขาตอบพลางเดินไปหลังอาคาร มองหาห้องที่เปิดไฟพร้อมตะโกนเรียก "ผมรปภ.ครับ เอ่อ ใครได้ยินมั่งครับ ช่วยลงมาเปิดประตูให้ที"

เจ้าหน้าที่รปภ.ตะโกนอยู่สามสี่ครั้งนอกจากจะไม่ได้ผล ผมค่อยๆ ไฟค่อยๆ ดับไปทีละห้อง ทีละห้องแล้ว ยังมีเสียงเด็กวัยรุ่นชุมชนบ้านเป็ดส่งเสียงโหวกเหวกกลับมาเข้าให้อีก

"โห ไม่มีน้ำใจเลย" รปภ.บ่นกับผม

"เขาคงไม่ได้ยินมั้ง..." ผมตอบ

"พี่ไม่มีเพื่อนเลยหรือ บอกให้เพื่อนหรือว่าห้องข้างๆ ลงมาเปิดสิ"

"ไม่มีพี่ ผมอยู่คนเดียว แล้วก็ไม่รู้จักใครในนี้ด้วย..." ผมตอบออกไป

จริงๆ ผมรู้จักคนที่อยู่ภายในคนหนึ่งแต่ไม่รู้ชื่อเพราะจะเรียกแกว่าเจ๊ เป็นคนดูแลห้องที่ผมเช่าอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อกับแกอย่างไร (ขนาดไปกดกริ่งห้องแกเพื่อจะจ่ายค่าหอ หลายนาทีเลยครับกว่าแกจะได้ยิน) และอีกคนหนึ่งที่ค่อนข้างจะสนิทกันก็เป็นลุงห้อง 304 ทว่าแกก็ย้ายออกไปได้ประมาณ 4-5 เดือนแล้ว

คิดมาถึงตอนนี้(ในระหว่างอยู่บนรถแท็กซี่)ก็ให้รู้สึกอดใจหายไม่ได้ตามประสาของเด็กบ้านนอกอย่างผมที่เต็มด้วยญาติ ทุกคนในหมู่บ้านถิ่นที่เกิดรู้จักกันหมด เลยเถิดไปถึงหมู่บ้านข้างๆ เสียด้วยซ้ำไป

"ตักแกงไปให้ยายหวาน กับตาฟื้นด้วยนะ" เสียงแม่สั่งผมในวัย 10 ขวบให้ยกชามแกงส้มมะละกอหอมฟุ้ง(แกงส้ม เป็นกับข้าวที่แม่ผมทำได้อร่อยเป็นอันดับต้นๆ ของกับข้าวชนิดอื่นๆ ในความรู้สึกของผม) ไปให้กับบ้านข้างๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติเหลือเกินสำหรับคนชนบท(ส่วนใหญ่ในอดีต)ที่มีอะไรก็มักจะแบ่งปันหยิบยืมกันด้วยความเต็มใจ โดยเฉพาะเรื่องของกิน

"ยายเอียด ขอหน่อไม้หน่อยนะ..."

"อีแจ๋ว ว่างๆ ก็ไปตัดกล้วยมากินซะ เดี๋ยวค้างคาวมันกินหมด..."

"ยายใบ ขอมะพร้าวหนูบ้างนะ แม่หนูเขาจะทำขนม เดี๋ยวทำเสร็จแล้วจะยกมาให้..." นึกถึงภาพในอดีตแล้วมันช่างอบอุ่นเหลือเกิน

นึกย้อนกลับไปนับตั้งแต่ต้องมาเป็น "เด็กหอ" ในหลายๆ หอพักกินระยะเวลารวมเกือบ 10 ปี นอกจากจะมีเพื่อนร่วมหอในจำนวนน้อยมากๆ แล้ว หลายครั้งผมพบว่าการใช้ชีวิตที่มีกำแพงติดชิดกันแต่ห่างกันด้วยความรู้สึกและความผูกพันนี้มันง่ายเหลือเกินที่จะเกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ ห้องนั้นเปิดเพลง ดูทีวีเสียงดัง ห้องนั้นสูบบุหรี่เหม็น ฯ

ที่น่าเสียใจก็คือแทนที่อุปสรรคที่เป็นปัญหาเหล่านี้จะหมดไปด้วยการหันหน้าพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจซึ่งกันและกันในฐานะของเพื่อนร่วมหอซึ่งจะต้องเจอหน้ากันทุกวัน ส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะเป็นศัตรู ไม่มองหน้ากัน ไม่พยายามจะผูกมิตรทักทาย บางคนเอาเพื่อนข้างห้องไปนินทาอย่างเสียๆ หายๆ กับเพื่อนที่ทำงาน ขณะที่ไม่น้อยก็ใช้วิธีชิ่งหนีไปหาหอใหม่อยู่

ทั้งหลายทั้งปวงก็คงจะเป็นเพราะการใช้ชีวิตทุกวันนี้ของคนส่วนใหญ่ล้วนตั้งอยู่บนความหวาดระแวง ความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน

เมื่อครั้งที่อยู่หอ(เก่า)กับเพื่อนๆ บางเช้าตื่นขึ้นมาพวกเราก็ต้องแปลกใจว่าใครกันหนอเอาอาหารหรือขนมมาส่งถึงหน้าห้องโดยใช้ประตูห้อง(ผมกับเพื่อ)แทนจาน ให้ต้องขบคิดกันว่าเมื่อคืนพวกเราเปิดเพลงดังไปหรือเปล่า ทานเหล้าเชียร์บอลดังไปหรือเปล่า? เอ๊ะก็ไม่นะ หรือเขาโกรธเพราะแฟนเขาแอบมองเราวะ 555

ทำตลกกันไปแต่ในใจไม่ขำนะครับ

โดยส่วนตัวพวกเรา(รวมทั้งคนส่วนใหญ่)ย่อมไม่อยากจะเป็นศัตรูกับใคร ไม่อยากเป็นตัวปัญหา และอยู่แบบเกรงใจเคารพสิทธิ์ผู้อื่นสุดๆ เพราะรู้ดีว่าการถูกผู้อื่นไม่เคารพสิทธิ์นั้นเราก็ย่อมที่จะไม่พอใจเช่นกัน เพียงแต่บางเรื่องมันต้องพูดคุยกันจริงๆ ครับถึงจะรู้ได้ว่า "เส้นแบ่ง" ของแต่ละคนนั้นมันอยู่ตรงไหน ยอมรับได้เพียงใด มึงว่าดัง กูว่าไม่ดัง มึงหนวกหูกูว่าไม่หนวกหู

ที่สำคัญก็คือการแก้ไขปัญหาเหล่านี้จะต้องยึดหลักของสันติวิธี

แต่ก็อีกนั่นแหละครับ บางทีคนบางคุยด้วยภาษาคน คุยด้วยเหตุด้วยผล แง่มุมทางกฏหมาย หรือว่าเส้นกั้นทางศีลธรรมพวกมันรู้เรื่องซะที่ไหน แถไปแถมา ใช้ทุกวิธีแม้จะผิดกฏหมาย สามารถโกหกกันได้หน้าด้านๆ ทั้งหลายทั้งปวงมีเพียงเหตุผลเดียวก็เพื่อผลประโยชน์(ไม่ว่าจะในรูปของชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจ บารมี)ที่กูพึงจะได้เท่านั้น คนอื่นจะเป็นอย่างไร จะรู้สึกอย่างไร จะคิดอย่างไรช่างมัน

ไม่ต้องถามนะครับว่าจะไปหาคนพวกนี้ได้ที่ไหน เพราะผมเชื่อว่าทุกคนรู้คำตอบดี
กำลังโหลดความคิดเห็น