ดิฉันมีน้องชายคนหนึ่ง เขาอายุห่างจากดิฉัน 4 ปี
นอกจากชื่อเล่นที่ละม้ายคล้ายกันและใช้นามสกุลเดียวกันแล้ว เขากับดิฉัน...เราแทบไม่มีอะไรเหมือนกัน
ดิฉันตัวผอม น้องตัวอ้วน ดิฉันหน้าเหมือนพ่อ น้องหน้าเหมือนแม่ ดิฉันใจร้อน น้องใจเย็น ดิฉันเข้าขั้นปัญญาอ่อนเรื่องรถ น้องบ้ารถ
ดิฉันทำมาหากินอยู่กับตัวหนังสือ ส่วนน้อง - ให้อ่าน ‘พล นิกร กิมหงวน’ มันยังหลับ
ตอนเด็กๆ ความแตกต่างของเราชัดเจนกว่านี้มาก เพราะเรียนประถมที่เดียวกัน แล้วสมัยนั้น ดิฉันดันเป็นพวก ‘เด็กหญิงแถวหน้า’ การเรียนอยู่ในเกณฑ์ดี อีกทั้งยังมักได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าชั้น ขณะที่น้องดิฉันเป็นสมาชิกถาวรของ ‘แก๊งเด็กหลังห้อง’ การบ้านไม่ทำ การเรียนไม่สน ถ้าดิฉันจำไม่ผิด น้องต้องเรียน ป.1 ซ้ำตั้ง 2 ปี
แน่นอน ความแตกต่างที่ชัดเจนเช่นนี้ ทำให้เราสองคนถูกจับมาเปรียบเทียบกันบ่อยๆ – ไม่ใช่โดยพ่อแม่ แต่โดยครูบาอาจารย์และเพื่อนๆ ของทั้งดิฉันและของน้อง
บอกคุณตามตรง ตอนนั้น มีบ่อยครั้งที่ดิฉันรู้สึกอับอายขายขี้หน้า ที่มีน้องหัวขี้เลื่อยและไม่เอาไหน จนโตจนแก่แล้วดิฉันจึงเข้าใจ ว่าแท้จริงแล้ว น้องไม่ใช่ไม่เอาไหน มันก็แค่ไม่สนใจในเรื่องที่คนเห็นว่าควรจะสนใจ และดิฉันก็ใจร้ายจริงๆ ที่เคยคิดกับน้องเช่นนั้น
เป็นเพราะความรู้สึกผิดมันลบกันยากหรือเปล่าไม่ทราบ ดิฉันดู Pauline & Paulette แล้วถึงได้รู้สึก ‘อิน’ อย่างแรง
หนังเล่าเรื่องของพี่-น้องวัยชรา 2 คน พอลีน ผู้เป็นพี่ มีปัญหาในด้านการพัฒนาสมองที่เชื่องช้า (เรียกว่า ‘ปัญญาอ่อน’ ก็น่าจะได้) ส่วน พอแลต คนน้อง เป็นเจ้าของร้านตัดเสื้อที่ได้รับการนับหน้าถือตาคนหนึ่งของเมือง
เดิมทีเดียว พอลีนอยู่ในความดูแลของ มาร์ธา ผู้เป็นพี่สาว แต่วันหนึ่ง มาร์ธาเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ส่งผลให้น้องอีก 2 คนที่เหลือ คือ พอแลต และ เซซิล คนใดคนหนึ่งจะต้องรับพอลีนไปดูแลต่อ (บ้านนี้มีพี่น้อง 4 คน ไล่เรียงตามลำดับคือ มาร์ธา, พอลีน, พอแลต และเซซิล สามคนแรกอาศัยอยู่ในเมืองเดียวกัน ส่วนคนหลังสุดย้ายไปอยู่อีกเมืองหนึ่ง นานๆ จึงจะกลับมาเยี่ยมพี่ๆ สักครั้ง)
อันที่จริง ทั้งพอแลตและเซซิล ต่างไม่สมัครใจจะรับพอลีนไปดูแลเลยสักคน เซซิลนั้นอ้างเหตุผลว่า เธออยู่ต่างเมือง อีกทั้งที่อยู่ของเธอก็เป็นแค่อพาร์ตเมนต์เล็กๆ ซึ่งเธอเพิ่งจะย้ายเข้าไปอยู่กับคนรักด้วย
ฝ่ายพอแลตไม่มีข้ออ้างที่มีน้ำหนักเท่า เธอเพียงแต่ไม่ชอบและไม่พร้อมที่จะดูแลใคร และคิดว่า การที่มีคนปัญญาอ่อนอย่างพอลีนวนเวียนอยู่ในร้าน อาจทำให้ภาพลักษณ์ของร้านเธอที่เคยดีมาตลอด ต้องมีอันสั่นคลอนเสียหายได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ พอแลตจึงคิดหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองและเซซิล เธอเสนอให้พาพอลีนไปไว้ที่สถานรับเลี้ยงดูผู้ป่วยชราแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแผนการก็ไม่สำเร็จอย่างที่มุ่งหวัง เพราะมาร์ธา พี่สาวผู้จากไป ดันระบุไว้ในพินัยกรรมว่า ไม่พอแลตก็เซซิล คนใดคนหนึ่ง จะต้องรับพอลีนไปอยู่ด้วย มิฉะนั้น บ้านช่องทรัพย์สินทุกอย่างของเธอ จะถูกยกให้กับองค์กรการกุศลทั้งหมด
เรื่องราวถัดจากนี้เล่าถึงโมงยามแห่งความโกลาหลของพอแลต เมื่อต้องรับพี่สาวสติไม่สมบูรณ์มาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันทั้งที่ไม่พร้อมและไม่เต็มใจ
หนังเปิดเผยเงื่อนปมสำคัญของพอแลตให้ผู้ชมทราบในเวลาต่อมาว่า หญิงชราผู้นี้มีความฝันส่วนตัวอยู่ประการหนึ่ง กล่าวคือ เธออยากซื้ออพาร์ตเมนต์ริมทะเลไว้เป็นที่พักใจสงบสุดท้ายในยามที่แก่เฒ่ามากกว่านี้ และทรัพย์สินที่มาร์ธามีอยู่ก็จะทำให้ฝันนั้นของเธอเป็นจริงได้เร็วขึ้น เป็นไปได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน หากการจะได้มาซึ่งทรัพย์สินของมาร์ธาหมายความว่า เธอต้องรับพอลีน พี่สาวปัญญาอ่อน มาเลี้ยงดู นั่นก็แปลว่า พอแลตจะไม่มีวันได้ใช้ชีวิตเงียบสงบอย่างที่ฝันไว้ เพราะพอลีนจะกลายมาเป็นห่วงผูกคอ ภาระผูกพัน ที่เธอไม่อาจตัดขาดสลัดทิ้งขว้างชั่วชีวิต
Pauline & Paulette เป็นหนังจากประเทศเบลเยียม ผลงานกำกับของ ลีเวน เดอบราวเวอร์ ออกฉายครั้งแรกในปี 2001
ในภาพรวม มันเป็นหนังดรามาครอบครัวยิ้มๆ อบอุ่น รื่นหัวใจ เค้าโครงเนื้อหาของหนังอาจชวนให้นึกถึง Rain Man หนังอเมริกันของ แบร์รี เลวินสัน อยู่บ้าง ทว่า Pauline & Paulette มาทางเรียบกว่า และไม่มีสถานการณ์โลดโผนผจญภัยเท่า (ใน Rain Man น้องชายตัวแสบลักพาตัวพี่ชายออทิสติกของตนเพื่อหวังจะได้รับมรดกของพ่อ)
สิ่งหนึ่งที่ดิฉันชอบในหนังเรื่องนี้ ก็คือ แม้ตัวละครหลักจะเป็นหญิงชรา 2 คน แถมหนึ่งในนั้นยังทุพพลภาพปัญญาอ่อน ทว่าหนังกลับไม่พยายามยัดเยียดความหดหู่ให้ผู้ชมอย่างมากมายเกินความจำเป็น
เราได้เห็นความ ‘ไม่สามารถ’ ในหลายๆ ด้านของพอลีน เห็นความยุ่งเหยิงวุ่นวายที่เธอเป็นผู้ก่อ ไม่ใช่เพราะความตั้งใจ แต่เป็นเพราะสมองไม่อาจขบคิดพิจารณาความได้เทียบเท่าคนทั่วไป ทว่าขณะเดียวกัน หนังก็ให้ผู้ชมเห็นพอลีนยิ้มร่า หัวเราะใส แสวงหาความสุขให้ชีวิตตามวิถีทางของเธอ
หนังอาจมีสถานการณ์สูตรๆ ที่สอดแทรกเข้ามาเพื่อสร้างความน่าเห็นใจให้กับพอลีนอยู่บ้าง (อาทิ เจอเจ้าของร้านขายของชำนำความปัญญาอ่อนของเธอมาเป็นเครื่องมือเหน็บแนมกระแนะกระแหนเพื่อระบายความเก็บกดในชีวิตส่วนตัว) แต่ที่สุดแล้วเหตุการณ์เหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกโหมกระพือหรือ ‘ขยี้’ ให้ลุกลามใหญ่โต มันเป็นแต่เพียงเรื่องแย่ๆ และคนแย่ๆ ที่ไม่ว่าใคร –สติสมบูรณ์หรือไม่- ก็มีโอกาสประสบพบเจอกันได้ทั้งนั้น
นอกจากนั้น การวางตัวของพอแลต ยังมีส่วนอย่างยิ่งที่ทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกสมเพชเวทนาตัวละครพอลีนมากมายเกินจำเป็น
ช่วงต้นเรื่อง เราได้เห็นภาพชีวิตของพอลีนขณะยังอยู่ในความดูแลของมาร์ธา พี่สาวคนโต มาร์ธาประคบประหงมพอลีนราวไข่ในหิน เป็นห่วงเป็นใยดูแลทุกอย่าง เชือกรองเท้าหลุดก็ผูกให้ ขนมปังมื้อเช้า พอลีนอยากกินกับอะไร มาร์ธาจัดการทาปาดให้
แต่กับพอแลต – จะเป็นเพราะเธอไม่ใช่มนุษย์ประเภทที่พร้อมจะดูแลใครหรืออะไรก็ตาม ทว่าผลก็คือ เธอพยายามปฏิบัติกับพอลีนให้เหมือนคนปรกติที่สุด เธอฝึกให้พอลีนช่วยเหลือตัวเอง พอลีนผูกเชือกรองเท้าเองไม่ได้ เธอก็ไปซื้อรองเท้าแบบสวมที่ไม่ต้องผูกเชือกให้ สอนพอลีนทาขนมปัง ปล่อยให้พอลีนดูแลบ้านลำพังบ้างบางครั้ง ฯลฯ
ใครจะคิดอย่างไรกับการกระทำของพอแลต ดิฉันไม่ทราบ แต่โดยส่วนตัวดิฉันเอง ดิฉันเห็นว่า บางครั้ง สิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำให้คนป่วยสักคนได้ ก็คือ การทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็น ‘คนป่วย’ ให้น้อยที่สุด
จริงอยู่ การดูแลเอาใจใส่ระวังใกล้ชิดไม่ให้คลาดสายตา หลักๆ เกิดจากความรักและความปรารถนาดีเป็นสำคัญ ทว่าในทางกลับกัน มันก็คล้ายจะเป็นการตอกย้ำให้คนคนนั้นรับรู้ว่า ‘เธอป่วย’ และ ‘เธอไม่ปรกติเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา’ ทั้งที่เราไม่ตั้งใจสักนิด
โดยส่วนตัว ดิฉันไม่คิดว่า Pauline & Paulette เป็นหนังประเภทที่ ‘รู้ตอนจบไม่ได้’ แต่ถ้าคุณไม่อยากรู้ ขอแนะนำให้หยุดอ่านเสียแต่ตอนนี้
บทสรุปส่งท้ายของหนัง ไม่ได้พลิกผันเหนือความคาดหมาย หนังให้โอกาสพอแลตได้ใช้ชีวิตตามลำพัง ณ ห้องพักริมทะเลเป็นเวลาสั้นๆ และในระหว่างช่วงเวลานั้น เธอก็ได้เรียนรู้ว่า ชีวิต –อย่างน้อยก็ของเธอ- ไม่อาจมีความสุขได้เต็มที่หากร้างไร้คนที่รักใคร่เคียงข้าง
และพร้อมกันนั้น เธอก็ได้ตระหนักว่า ตัวเองคิดถึงพอลีน พี่สาวจอมยุ่งคนนั้น มากแค่ไหน
ข้อดีก็คือ หนังไม่พยายามจะฟุ้งฝอยอธิบายว่า พอลีนเคยมีความดีงามน่ารักอะไรที่ทำให้พอแลตหวนคิดถึง หรือการไม่มีพอลีนเคียงข้าง มันทำให้ชีวิตของพอแลตสั่นคลอนหวั่นไหว –อย่างเป็นรูปธรรม- เช่นไรบ้าง
คงจะจริงอย่างที่เขาว่ากัน...ครอบครัวเดียวกัน จะอย่างไรก็ตัดกันไม่ขาด ...เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ...อะไรทำนองนั้น
ความเป็นครอบครัวเดียวกัน มันทำให้ทุกอย่างลอยตัวเหนือหลักเกณฑ์การประเมินและการอรรถาธิบายโดยตรรกะเหตุผล
จะดี จะชั่ว จะปัญญาอ่อน จะเรียนไม่เก่ง จะโหลยโท่ย จะไม่เอาไหน จะเป็นอย่างไรในสายตาใครก็ตาม
เรายังผูกพันเกาะเกี่ยวร่วมชีวิตกัน ก็ด้วยสายใยที่ไม่อาจตัดขาดแม้จะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ที่เรียกว่า ‘ครอบครัวเดียวกัน’ อยู่นั่นเอง