ตั้งใจมานานแล้วครับว่าจะเขียนถึงกรณีของคุณ “ตั้ว ศรัณยู วงศ์กระจ่าง” ในฐานะที่เขาเป็นคนบันเทิงคนแรกๆ ที่ออกมาร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการเมือง กระทั่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ออกมา ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
แต่ด้วยเหตุผลเพราะผู้เขียนเอง ก็เป็นหนึ่งในคนที่มีความคิดเห็นคล้ายๆ กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ คุณตั้ว ได้เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งอย่างเต็มตัว การเขียนถึงการกระทำของเขาในระหว่างที่กลุ่มพันธมิตรฯ กำลังขยับขับเคลื่อนไหวอยู่จึงอาจจะถูกมองอย่างค่อนแคะได้ว่า...แหม คนพันธมิตรฯ ทำอะไรก็ถูกหมด ดีหมด หรือไม่ก็ พวกเดียวกันนี่หว่า
ทั้งๆ สิ่งที่ตั้งใจจะเขียนมันเป็นคนละประเด็นกันเลยครับ เพียงแต่ในเรื่องราวประเด็นที่ว่ามันเริ่มด้วยตัวละครที่ชื่อ ตั้ว ศรัณยู
เพื่อความสบายใจ (ของตัวเอง) ผมจึงตัดสินใจที่จะรอเวลาให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางหรืออย่างน้อยๆ ก็ “นิ่งมากขึ้น” เสียก่อน
ครั้นพอนึกอยากจะเขียนขึ้นมา ก็ให้บังเอิญเสียเหลือเกินที่เจ้าของคอลัมน์ “งานเป็นเงา” ใน นสพ.มติชน ซึ่งก็คือ คุณ “ลำแข” ได้เขียนถึงเรื่องนี้ไปแล้วตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมา ทำให้ความลังเลใจก่อเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
ถึงวันนี้ความลังเลใจหมดไปแล้ว
คงจะไม่ว่าอะไรกันนะครับ ที่ผมจะขอยกเอางานเขียนหัวข้อ “ดาราโง่เพราะสื่อ” ของคุณลำแข มาให้อ่านกันอีกครั้ง เพราะผมรู้สึกว่าในงานเขียนชิ้นที่ว่านี้ มีมุมมองตลอดจนทัศนคติที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ผมตั้งใจจะบอกกล่าวเป็นอย่างมาก
...
วันที่ 07 มกราคม พ.ศ.2552 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11260 มติชนรายวัน
ดาราโง่เพราะสื่อ
คอลัมน์ งานเป็นเงา
โดย ลำแข
ด้วยเหตุที่คุยกันไปวานนี้ เกี่ยวกับพระเอก ศรัณยู วงศ์กระจ่าง ที่ออกมาร่วมประท้วงอดีตรัฐบาลก่อน กับฝ่ายพันธมิตรฯ ทำให้มีคนในวงการเองบ้างที่ไม่เห็นด้วย ที่อาจกระทบไปถึงงานอาชีพ ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลที่สุด
เพราะความคิดอ่านกรณีใดกรณีหนึ่ง กับงานแสดง เป็นคนละเรื่องกัน
ถ้าคนร่วมสังคม ซึ่งมีสิทธิมีเสียงตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แสดงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับสังคมเรื่องนั้นไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ได้ สังคมนั้นก็คงพิกลพิการเต็มที
โดยเฉพาะวงการบันเทิง ซึ่งมีแต่ข่าวประเภทเตียงหัก, รักร้าง, ระยะทางแพ้ความใกล้ชิด, เพื่อนสนิทเดินห้างแต่ค้างคอนโดเดียวกัน ฯลฯ ประเภทนี้
ไม่มีข่าวที่แสดงให้เห็นว่า นักแสดงเมืองไทยมีสติปัญญาหรือไม่ หรือมีสติปัญญาอยู่สักแค่ไหน เพราะถามบรรดานักแสดงเอง ก็ปรารภอยู่เสมอว่า ก็ถามผมถามหนูแต่เรื่องที่ว่านั้น อาจมีว่าถึงฤดูเลือกตั้งทีก็ถามให้เกี่ยวข้องเสียสักที ไม่มีอะไรลึกซึ้ง
กลายเป็นว่า นักแสดงไม่รู้เรื่องการเมือง หรือหากแสดงออกเรื่องการเมืองก็จะกลายเป็นเรื่องผิดแปลก หรือหัวรุนแรงไป ทั้งๆ เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน
จึงอาจอนุมานเอาได้ว่า เนื่องจากสื่อนี่เองที่จำกัดพื้นที่การแสดงออกทางอื่นๆ ของบุคลากรในวงการบันเทิง ให้เหลือเพียงเรื่องในมุ้งใกล้มุ้งเฉียดมุ้งเท่านั้น
ภาพของวงการจึงถูกทำให้เหลวไหลเลื่อนเปื้อน มีแต่สนุกสนานเฮฮา ไปงานโน้นออกงานนี้ อวดเครื่องแต่งกาย อวดเครื่องประดับ การทำงานก็มุ่งขายแต่เลิฟซีน เล่นเลิฟซีนทีทั้งๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากนุ่งน้อยห่มน้อยบ้าง หรือกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันบ้าง ก็กลายเป็นบทที่ท้าทายไป ทั้งๆ ท้าทายความสามารถตรงอวัยวะส่วนไหนก็ไม่รู้
และแม้แต่ขายข่าวเฉพาะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กันอย่างเดียวแล้ว ก็ยังทำให้ดีไม่ได้
คือ ทำให้เห็นเป็นจริงเป็นจังไม่ได้ นอกจากถูกโต้แย้งกลับมาเกือบตลอดเวลา ว่า จงใจสร้างข่าว หรือเต้าข่าว ไปกันเป็นหมู่ กลับเจาะพูดถึงแค่สองคน หรือกดมุมภาพถ่ายแค่สองคน ทำให้สื่อเสียเครดิตเสียความน่าเชื่อถือในสังคมเข้าไปอีก
ยิ่งข่าวบันเทิงถูกชิงพื้นที่การขายกันมากขึ้นเท่าไหร่ คือ มีรายวันบันเทิงเกิดตามกันมาเท่าไหร่ ข่าวซึ่งน่าเชื่อถือได้ก็มีแต่ลดน้อยถอยลง
ตีพิมพ์เรื่องอะไร ชาวบ้านมีแต่พูดกันว่าจริงหรือเปล่า อย่าเพิ่งไปเชื่อ ดังนั้น เพื่อช่วยให้เพิ่มแรงจูงใจในการขาย นอกจากข่าวประเภทนี้ ภาพข่าวจึงมีแต่ภาพวับๆ แวมๆ โป๊ๆ เปลือยๆ ขายเนื้อหนังบรรดาดาราสาวๆ พร้อมกันไป
แทนที่จะยกระดับตัวเอง หรือช่วยยกระดับวงการ มีแต่ทำให้ตัวตกต่ำลง
...
ในความเป็นจริง สื่อหรือนักข่าวบันเทิงทั้งหมด คงจะไม่ได้เป็นเหมือนที่คุณลำแขวิพากษ์วิจารณ์ (รวมทั้งที่ผมรู้สึก) หรอกครับ แต่คงไม่ปฏิเสธนะครับว่าส่วนใหญ่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ไม่ใช่เรื่องผิด เรื่องเลวร้ายหรอกครับกับการที่มนุษย์อย่างเราๆ อยากจะรู้ว่า ดาราคนไหนเป็นแฟนกับใคร? ทำไมนักร้องหญิงคนนั้นเปลี่ยนแฟนบ๊อยบ่อย ตอนนี้ใครควงใครอยู่? ฯลฯ เพราะอย่างน้อยๆ ก็ทำให้ผู้เสพพอที่จะได้รู้ว่า ดาราคนไหนมีนิสัยเช่นไร? ดาราคนไหนมีนิสัยชอบพูดโกหก ดาราคนไหนสมควรจะที่จะรับรางวัลคนดีศรีสังคม หรือสมควรจะเป็นตัวอย่างให้กับเยาวชนหรือไม่?
แต่ถึงขนาดที่จะเอาเนื้อหาตรงนี้มาเป็น “แก่นสาระ” เลยผมมองว่าไม่ใช่เรื่องที่ถูก
แน่นอนครับว่า จุดมุ่งหมายของความบันเทิงก็เพื่อความสนุก แต่ความสนุกจะไม่ให้อาหารกับสมองสักนิดเชียวหรือ?
สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นเพราะที่ตัวดารา หรือจะเป็นเพราะสื่อเอง ที่ทำให้วงบันเทิงดูเหมือนจะมีแต่เรื่องไร้สาระ ท้ายที่สุดทุกอย่างก็จะวนมาตั้งปุจฉาที่ผู้บริโภคอยู่ดีแหละครับว่าต้องการเสพความบันเทิง หรือเสพข่าวจากสื่อในลักษณะรูปแบบเช่นใด?
เพราะการให้เหตุผลว่า “ไม่มีทางเลือก” นั้น ผมรู้สึกว่ามันจะเป็นโลกทัศน์ที่แคบเกินไปสักหน่อยในยุคปัจจุบันครับ
แต่ด้วยเหตุผลเพราะผู้เขียนเอง ก็เป็นหนึ่งในคนที่มีความคิดเห็นคล้ายๆ กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ คุณตั้ว ได้เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งอย่างเต็มตัว การเขียนถึงการกระทำของเขาในระหว่างที่กลุ่มพันธมิตรฯ กำลังขยับขับเคลื่อนไหวอยู่จึงอาจจะถูกมองอย่างค่อนแคะได้ว่า...แหม คนพันธมิตรฯ ทำอะไรก็ถูกหมด ดีหมด หรือไม่ก็ พวกเดียวกันนี่หว่า
ทั้งๆ สิ่งที่ตั้งใจจะเขียนมันเป็นคนละประเด็นกันเลยครับ เพียงแต่ในเรื่องราวประเด็นที่ว่ามันเริ่มด้วยตัวละครที่ชื่อ ตั้ว ศรัณยู
เพื่อความสบายใจ (ของตัวเอง) ผมจึงตัดสินใจที่จะรอเวลาให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางหรืออย่างน้อยๆ ก็ “นิ่งมากขึ้น” เสียก่อน
ครั้นพอนึกอยากจะเขียนขึ้นมา ก็ให้บังเอิญเสียเหลือเกินที่เจ้าของคอลัมน์ “งานเป็นเงา” ใน นสพ.มติชน ซึ่งก็คือ คุณ “ลำแข” ได้เขียนถึงเรื่องนี้ไปแล้วตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมา ทำให้ความลังเลใจก่อเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
ถึงวันนี้ความลังเลใจหมดไปแล้ว
คงจะไม่ว่าอะไรกันนะครับ ที่ผมจะขอยกเอางานเขียนหัวข้อ “ดาราโง่เพราะสื่อ” ของคุณลำแข มาให้อ่านกันอีกครั้ง เพราะผมรู้สึกว่าในงานเขียนชิ้นที่ว่านี้ มีมุมมองตลอดจนทัศนคติที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ผมตั้งใจจะบอกกล่าวเป็นอย่างมาก
...
วันที่ 07 มกราคม พ.ศ.2552 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11260 มติชนรายวัน
ดาราโง่เพราะสื่อ
คอลัมน์ งานเป็นเงา
โดย ลำแข
ด้วยเหตุที่คุยกันไปวานนี้ เกี่ยวกับพระเอก ศรัณยู วงศ์กระจ่าง ที่ออกมาร่วมประท้วงอดีตรัฐบาลก่อน กับฝ่ายพันธมิตรฯ ทำให้มีคนในวงการเองบ้างที่ไม่เห็นด้วย ที่อาจกระทบไปถึงงานอาชีพ ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลที่สุด
เพราะความคิดอ่านกรณีใดกรณีหนึ่ง กับงานแสดง เป็นคนละเรื่องกัน
ถ้าคนร่วมสังคม ซึ่งมีสิทธิมีเสียงตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แสดงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับสังคมเรื่องนั้นไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ได้ สังคมนั้นก็คงพิกลพิการเต็มที
โดยเฉพาะวงการบันเทิง ซึ่งมีแต่ข่าวประเภทเตียงหัก, รักร้าง, ระยะทางแพ้ความใกล้ชิด, เพื่อนสนิทเดินห้างแต่ค้างคอนโดเดียวกัน ฯลฯ ประเภทนี้
ไม่มีข่าวที่แสดงให้เห็นว่า นักแสดงเมืองไทยมีสติปัญญาหรือไม่ หรือมีสติปัญญาอยู่สักแค่ไหน เพราะถามบรรดานักแสดงเอง ก็ปรารภอยู่เสมอว่า ก็ถามผมถามหนูแต่เรื่องที่ว่านั้น อาจมีว่าถึงฤดูเลือกตั้งทีก็ถามให้เกี่ยวข้องเสียสักที ไม่มีอะไรลึกซึ้ง
กลายเป็นว่า นักแสดงไม่รู้เรื่องการเมือง หรือหากแสดงออกเรื่องการเมืองก็จะกลายเป็นเรื่องผิดแปลก หรือหัวรุนแรงไป ทั้งๆ เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน
จึงอาจอนุมานเอาได้ว่า เนื่องจากสื่อนี่เองที่จำกัดพื้นที่การแสดงออกทางอื่นๆ ของบุคลากรในวงการบันเทิง ให้เหลือเพียงเรื่องในมุ้งใกล้มุ้งเฉียดมุ้งเท่านั้น
ภาพของวงการจึงถูกทำให้เหลวไหลเลื่อนเปื้อน มีแต่สนุกสนานเฮฮา ไปงานโน้นออกงานนี้ อวดเครื่องแต่งกาย อวดเครื่องประดับ การทำงานก็มุ่งขายแต่เลิฟซีน เล่นเลิฟซีนทีทั้งๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากนุ่งน้อยห่มน้อยบ้าง หรือกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันบ้าง ก็กลายเป็นบทที่ท้าทายไป ทั้งๆ ท้าทายความสามารถตรงอวัยวะส่วนไหนก็ไม่รู้
และแม้แต่ขายข่าวเฉพาะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กันอย่างเดียวแล้ว ก็ยังทำให้ดีไม่ได้
คือ ทำให้เห็นเป็นจริงเป็นจังไม่ได้ นอกจากถูกโต้แย้งกลับมาเกือบตลอดเวลา ว่า จงใจสร้างข่าว หรือเต้าข่าว ไปกันเป็นหมู่ กลับเจาะพูดถึงแค่สองคน หรือกดมุมภาพถ่ายแค่สองคน ทำให้สื่อเสียเครดิตเสียความน่าเชื่อถือในสังคมเข้าไปอีก
ยิ่งข่าวบันเทิงถูกชิงพื้นที่การขายกันมากขึ้นเท่าไหร่ คือ มีรายวันบันเทิงเกิดตามกันมาเท่าไหร่ ข่าวซึ่งน่าเชื่อถือได้ก็มีแต่ลดน้อยถอยลง
ตีพิมพ์เรื่องอะไร ชาวบ้านมีแต่พูดกันว่าจริงหรือเปล่า อย่าเพิ่งไปเชื่อ ดังนั้น เพื่อช่วยให้เพิ่มแรงจูงใจในการขาย นอกจากข่าวประเภทนี้ ภาพข่าวจึงมีแต่ภาพวับๆ แวมๆ โป๊ๆ เปลือยๆ ขายเนื้อหนังบรรดาดาราสาวๆ พร้อมกันไป
แทนที่จะยกระดับตัวเอง หรือช่วยยกระดับวงการ มีแต่ทำให้ตัวตกต่ำลง
...
ในความเป็นจริง สื่อหรือนักข่าวบันเทิงทั้งหมด คงจะไม่ได้เป็นเหมือนที่คุณลำแขวิพากษ์วิจารณ์ (รวมทั้งที่ผมรู้สึก) หรอกครับ แต่คงไม่ปฏิเสธนะครับว่าส่วนใหญ่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ไม่ใช่เรื่องผิด เรื่องเลวร้ายหรอกครับกับการที่มนุษย์อย่างเราๆ อยากจะรู้ว่า ดาราคนไหนเป็นแฟนกับใคร? ทำไมนักร้องหญิงคนนั้นเปลี่ยนแฟนบ๊อยบ่อย ตอนนี้ใครควงใครอยู่? ฯลฯ เพราะอย่างน้อยๆ ก็ทำให้ผู้เสพพอที่จะได้รู้ว่า ดาราคนไหนมีนิสัยเช่นไร? ดาราคนไหนมีนิสัยชอบพูดโกหก ดาราคนไหนสมควรจะที่จะรับรางวัลคนดีศรีสังคม หรือสมควรจะเป็นตัวอย่างให้กับเยาวชนหรือไม่?
แต่ถึงขนาดที่จะเอาเนื้อหาตรงนี้มาเป็น “แก่นสาระ” เลยผมมองว่าไม่ใช่เรื่องที่ถูก
แน่นอนครับว่า จุดมุ่งหมายของความบันเทิงก็เพื่อความสนุก แต่ความสนุกจะไม่ให้อาหารกับสมองสักนิดเชียวหรือ?
สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นเพราะที่ตัวดารา หรือจะเป็นเพราะสื่อเอง ที่ทำให้วงบันเทิงดูเหมือนจะมีแต่เรื่องไร้สาระ ท้ายที่สุดทุกอย่างก็จะวนมาตั้งปุจฉาที่ผู้บริโภคอยู่ดีแหละครับว่าต้องการเสพความบันเทิง หรือเสพข่าวจากสื่อในลักษณะรูปแบบเช่นใด?
เพราะการให้เหตุผลว่า “ไม่มีทางเลือก” นั้น ผมรู้สึกว่ามันจะเป็นโลกทัศน์ที่แคบเกินไปสักหน่อยในยุคปัจจุบันครับ