xs
xsm
sm
md
lg

"ราม โมฮัมหมัด โทมัส" เด็กหนุ่มที่แนะนำให้เรารู้จัก "คุณค่า" ของความ "ไม่มี"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดย Feel Lost/So Free

แม้ชื่อของเขาจะยาว แต่หาได้มีนามสกุลอยู่ในนั้นไม่ ความพิเศษสุดของมันคือการรวมเอาความเป็นฮินดู/มุสลิม/คริสต์เอาไว้ในชื่อของคนๆ เดียว ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายของสังคมและวัฒนธรรมในประเทศอินเดียบ้านเกิดของเขาเป็นอย่างดี ซึ่งเรื่องราวชีวิตของเด็กหนุ่มชื่อยาวคนนี้แทบจะไม่ต่างอะไรกับอาหารอินเดีย ที่เข้าเนื้อทั้งความสนุก ตื่นเต้น สะเทือนใจ โศกสลด และร่ำรวยอารมณ์ขัน

เมื่อกล่าวถึงหนังสือ Q & A หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อเท่าไหร่ ต่างกับ Slumdog Millionaire ซึ่งเป็นชื่อที่แฟนหนังเกือบทุกคนน่าจะรู้จักกันดีในฐานะหนังที่ฟอร์มร้องแรงที่สุดในช่วงเทศกาลล่ารางวัลในรอบหลายๆ ปีที่ผ่านมา เมื่อกวาดรางวัลสำคัญๆ มาได้เกือบทุกสถาบัน เหลือเพียงรางวัลใหญ่จากเวทีออสการ์ที่จะมอบกันในปลายเดือนนี้

ขณะที่ตัวหนังจะยังไม่เข้าในบ้านเราจนกว่าผู้จัดจะแน่ใจว่ามันเป็นหนังแชมป์ออสการ์แน่นอนแล้ว คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการหยิบตัวหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจของมันมาดูเสียหน่อย ในเมื่อมีทฤษฎีที่ว่า "หนังไม่มีวันทำได้ดีกว่าหนังสือ" แต่เมื่อหนังที่ว่านี้กำลังจะชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของออสการ์ แล้วตัวหนังสือเองจะน่าเกรงขามสักแค่ไหน

Q & A เป็นนิยายอินเดียสมัยใหม่ ถูกตีพิมพ์เมื่อปี 2005 นี้เอง เนื้อเรื่องกล่าวถึง ราม โมฮัมหมัด โทมัส เด็กกำพร้าที่หาที่มาที่ไปไม่ได้ จนถูกตั้งชื่อแบบรวมมิตรออกมาแบบนี้ เรื่องของเรื่องก็คือเขาถูกจับไปสอบสวนอย่างบ้าเลือดเมื่อไปทำในสิ่งที่ปาฎิหาริย์ก็ไม่อาจทำให้เป็นจริงได้ เมื่อใครเล่าจะเชื่อว่าเด็กที่โตมาในสลัมและทำงานประเภทรองมือรองเท้าชาวบ้านมาทั้งชีวิต ดันไปออกรายการตอบปัญหาประเภทเกมเศรษฐี แล้วตอบคำถามถูกหมดทุกข้อ!

เป็นโจทย์ที่ทำให้ผู้อ่านคนไหนก็อยากจะหาคำตอบเกี่ยวกับมันได้ไม่ยาก แต่แทนที่เล่าตามลำดับเหตุการณ์จากหน้าไปหลังเหมือนกันพงศาวดาร หนังสือเล่มนี้ได้พาผู้อ่านผจญภัยไปตั้งแต่คำถามแรกจนคำถามสุดท้าย ซึ่งแต่ละเรื่องราวจะเป็นถ่ายทอดของเด็กหนุ่มคนนี้ในห้วงเวลาที่ต่างกรรมต่างวาระกันไป เรื่องราวอดีตที่ทับซ้อนกับอดีตอีกที ฟังดูแม้จะหน้าเวียนหัว แต่มันกลับกลายเป็นเสน่ห์ของผลงานชิ้นนี้อย่างยิ่งยวด เรื่องราวที่ผู้เขียนถ่ายทอดออกมาอย่างเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยชั้นเชิงของการเขียนเรื่องสั้นอันเหนือเมฆ ทุกครั้งที่ผู้อ่านเริ่มจะเคยชินกับวิธีการดำเนินเรื่อง ทุกอย่างก็พลิกผันไปแบบไม่ตั้งตัว แต่ละบทของเรื่องถูกนำมาเรียงร้อยเข้ากันอย่างวิเศษ จนกลายเป็นผลงานที่ทำให้คนที่อาจจบไปแล้วต้องกลับมาทบทวนมันใหม่อย่างน้อยก็สองครั้งด้วยความเต็มใจ

มีอย่างหนึ่งที่ผมมั่นใจก็คือ ใครก็แล้วแต่มีปัญหาซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่าน เขาต้องอยู่ในสถานะทางสังคมที่สูงกว่านายโทมัสคนนี้ทั้งนั้น แล้วเราจะเรียนรู้อะไรจากเด็กหนุ่มผู้ต่ำต้อยผู้นี้?

ในฐานะเด็กสลัม ที่มีโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตได้ไปเที่ยวตามประสาลูกคนรวยที่เอามรดกของพ่อแม่มาผลาญเล่นไปกับอาหารอันหรูหราและเรือนร่างของสตรี เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มสงสัยว่า การเป็นคนที่เกิดมา "ไม่เคยอิ่ม" อย่างเขา อาจจะดูน่าสมเพชน้อยกว่าคนบางคนที่ตายไปโดยไม่รู้ว่า "ความหิว" ของการมีชีวิตคืออะไร

ในฐานะเด็กกำพร้า ในเรื่องจะมีบรรยายภาพของโทมัสที่ฝันถึงแม่ผู้เป็นหญิงสาวผู้งดงามอยู่เสมอไม่ว่าชีวิตช่วงนั้นของเขาจะเป็นเช่นไร ในฐานะคนอ่านที่แร้นแค้นไม่ต่างจากโทมัสแต่โชคดีกว่าที่มีครอบครัวที่อบอุ่น ภาพที่บรรยายออกมาน่าจะสะท้อนความรู้สึกของผู้ที่โหยหาความรักที่ไม่เคยได้รับการเติมเต็มอย่างนี้ได้อย่างดี จนบางครั้งอดนึกไม่ได้ว่าบทสรุปมันจะเลวร้ายเช่นไรถ้าในที่สุดโทมัสหรือผู้ที่มีความต้องการไม่ต่างจากเขาได้พบในสิ่งที่เฝ้ารอมาชั่วชีวิต เพียงแค่ได้รู้ว่าความฝันที่วาดเอาไว้ต้องแตกกระจายไม่มีสิ้นดี จนบางครั้งน่าจะดีกว่าถ้าเราเก็บความฝันไว้กับตัวตลอดกาล เพราะ "ฝันที่เป็นจริง" กับสิ่งที่เรียกว่า "ความสุข" อาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกันเสมอไป

ถ้าจะถามว่า Q & A คือหนังสือประเภทไหน ผมบอกได้เลยว่ามันเป็นหนังสือตลก

คนที่มีโอกาสได้อ่านมัน นอกจากจะเพลิดเพลินไปกับการเดินทางไร้เข็มทิศของโทมัสและเพื่อนของเขา ตั้งแต่โรงภาพยนตร์ในมุมไบ, สถานีรถไฟในเดลี จนถึงเมืองที่ตั้งของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างอักรา มันยังสะท้อนให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ที่ชนิดต่อสู้แบบวันต่อวันของเพื่อนๆ ประชาชนชาวอินเดียของโทมัส ที่บรรยายได้สมกับคำกล่าวที่ว่า "การดิ้นรนจากนรกแห่งหนึ่ง ไปสู่นรกที่ไม่รู้จักอีกแห่งหนึ่ง"

ผู้อ่านหลายคนอ่านจะหลั่งน้ำตาไปกับสภาพชีวิตของเด็กกำพร้าที่ตกเป็นเหยื่อของความเลื่อมล้ำทางสังคมเท่าที่มนุษย์จะจินตนาการได้ ที่ไม่ยากที่จะจินตนาการให้เห็นภาพกับสิ่งเหล่านี้ที่มีอยู่จริงในปัจจุบันทั้งที่อินเดียและเมืองไทยของเรา รวมทั้งความสูญเสียและสิ้นหวังส่วนตัวของโทมัสในฐานะบุคคลที่ได้ชื่อว่า "ลำดับสุดท้ายของห่วงโซ่อาหาร" ที่แทบจะทำให้ผู้อ่านสิ้นศรัทธาไปกับราคาของความเมตตาที่เพื่อนมนุษย์มีเหลือเอาไว้แก่กัน

แต่กระนั้นผู้เขียนก็ไม่ลืมที่จะสอดใส่มุกตลกที่แสนจะเด็ดขาดลงไปในทุกอณูที่แสนอาดูรของนายโทมัส ทั้งมุกตลกแบบใสๆ ของเด็ก ประเภทชวนให้ขำอ้อมๆ และประเภทเย้ยหยันต่อความโหดร้ายของโลก เป็นความขบขันที่ไล่หลังความสะเทือนใจอย่างไม่คาดคิด เหมือนพยายามจะบอกว่าเรื่องเศร้าที่ไม่เกิดกับตัวเราเองก็คือเรื่องตลกชั้นดี หรือมองกลับกันตลกชั้นดีอาจจะเป็นเรื่องเศร้าของใครบางคน

หลังจากอ่านจบ ความรู้สึกเหมือน "การทรยศหักหลัง" เกิดขึ้นกับผมชั่วแวบหนึ่ง ในฐานะเด็กที่เคยวิ่งเล่นในย่านชุมชนแออัดแถบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อ 20-30 ปีก่อน ย่อมหวังถึง "วีรบุรุษ" ผู้สร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ที่มีพื้นเพไม่ต่างจากตัวเองหรือเจ้ารามเท่าไหร่ แต่กลายเป็นว่าผู้ที่แต่งเรื่องราวชีวิตเด็กสลัมได้อย่างน่าตื่นเต้นคนนี้กลับกลายเป็นทูตที่เกิดในตระกูลทนายความอันมีเกียรติอย่าง Vikas Swarup ที่แม้จะเป็นผลงานนิยายชิ้นแรก แต่เมื่อดูจากไอเดียในการเขียนงานส่งอาจารย์ตั้งแต่สมัยเด็กประถมแล้วก็ไม่แปลกใจที่จะแต่งเรื่องได้น่าสนใจขนาดนี้ ซึ่งวิธีเลี้ยงชีพของทูตขี้โม้คนนี้ทำให้ผมหายสงสัยได้ประการหนึ่งว่าเหตุใดโทมัสถึงมีอาวุธคู่กายอย่าง "ภาษาอังกฤษ" ที่ช่วยให้เขาไม่ต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ยากลำบากกว่าที่เป็นอยู่

จากจำนวนบทที่แบ่งออกเป็น 12 บท ทำให้อดนึกไม่ได้ว่าถ้าเรื่องนี้ทำออกมาเป็นหนังฮอลลีวูด หรือละครญี่ปุ่น (ที่มักฉาย 11-12 ตอนจบและลงตัวในการดำเนินเรื่องอย่างที่สุด) จะน่าตื่นเต้นซักแค่ไหน จนกระทั้งมันถูกสร้างออกมาเป็นหนังชื่อใหม่ที่เรียกว่า Slumdog Millionaire

ในฐานะที่ดูหนังของ Danny Boyle มาบ้าง จะสังเกตว่าเขาชอบใช้วิธีการเล่าเรื่องราวฝ่ายตัวละครเอกที่เป็นเด็กหนุ่มได้อย่างมีชั้นเชิงเสมอมา ส่วนตัวจึงเชื่อมั่นว่าเรื่องราวของนาย ราม โมฮัมหมัด โทมัส ผู้นี้น่าจะเป็นวัตถุดิบที่เพียงพอที่ผู้กำกับอังกฤษผู้นี้จะนำไปเล่นแร่แปรธาตุจนกลายเป็นตำนาน เหมือนกับที่นาย มาร์ค เรนตัน แห่ง Trainspotting เป็นอยู่ทุกวันนี้ (ในฐานะสองบุรุษที่ไม่มีอะไรมาขวางได้ ไม่ว่าจะเป็นความโสโครกของโถส้วมสาธารณะหรือบึงอุจจาระ)

แต่ความยอดเยี่ยมของ Q & A ที่ส่งผ่านไปยัง Slumdog Millionaire จะเพียงพอที่จะคว้าออสการ์ปีนี้ได้หรือไม่ สุดท้ายเวลาเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบ เพราะแม้จะคว้ารางวัลที่สามารถการันตีการเป็นเต็งหนึ่งเวทีออสการ์มาได้เกือบหมด แต่ก็ยังมีบางสถิติที่ดูจะไม่เข้าข้างหนังอินเดียลูกครึ่งอังกฤษเรื่องนี้อยู่เช่นกัน เพราะ 4 ปีแล้วที่หนังที่คว้าลูกโลกทองคำจะมาชวดออสการ์ตลอด (Slumdog Millionaire ได้ในปีนี้ และโกยมา 4) รวมทั้งความจริงที่ว่าหนังที่ได้ออสการ์จะเป็นหนังที่ทำเงินบนบ็อกซ์ออฟฟิศได้ดีที่สุดใน 5 เรื่องที่เข้าชิงของแต่ละปี (ตำแหน่งในปีนี้เป็นของ The Curious Case of Benjamin Button คู่แข่งอันดับหนึ่งนั่นเอง)

แต่ถ้าที่สุดแล้วกลายเป็นว่า Slumdog Millionaire จะเป็นหนังที่มีดาราหลักทั้งหมดเป็นคนอินเดียเรื่องแรกที่คว้าชัยออสการ์ได้อย่างยิ่งใหญ่ เหมือนครั้งที่ Bernardo Bertolucci ยอดผู้กำกับอิตาเลียนพา The Last Emperor ที่เป็นหนังเรื่องแรกที่มีนักแสดงหลักทั้งหมดเป็นคนจีนและเอเชียคว้าชัยได้เมื่อปี 1988 (มี Peter O'Toole เป็นนักแสดงอังกฤษ) ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่หนังที่สร้างจากหนังสือที่ยอดเยี่ยมอย่าง Q & A จะได้รับเกียรติที่เท่าเทียมกัน

เพราะ "คนเราไม่ควรสงสัยในปาฎิหาริย์" เมื่อในท้ายที่สุดแล้ว "โชคมาจากตัวของเราเอง"
กำลังโหลดความคิดเห็น