xs
xsm
sm
md
lg

The Wrestler : เฒ่าทระนง

เผยแพร่:   โดย: โสภณา เชาว์วิวัฒน์กุล

ดิฉันเพิ่งกลับจากการเดินทางไกล หยุดงานเขียนต่างๆ อย่างสิ้นเชิงรวมแล้วร่วม 2 เดือนเต็ม

ถึงวันนี้ดิฉันกลับถึงบ้านมา 2 สัปดาห์เศษ พยายามจะเริ่มต้นเขียนอีกครั้งตั้งแต่วันแรกที่มาถึง อย่างไรก็ตาม สองเดือนที่ห่างหายไป ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้ดิฉันฝืดและตันไปมากกว่าที่คาดไว้เยอะ

ในฐานะของคนที่เขียนหนังสือเป็นอาชีพ ตลอด 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นฝันร้ายขนานแท้ ดิฉันเขียนไม่ออก เขียนอย่างที่ใจคิดไม่ได้ เขียนแล้วไม่ชอบใจ ไม่สามารถทนอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนได้ หนักเข้าก็ถึงขั้นไม่อยากเขียน สูญเสียความมั่นใจ และหวาดกังวลหวั่นวิตกไปเลยเถิดว่า จะไม่สามารถเขียนอะไรได้อีกแล้วในชีวิต

ขณะกำลังฟุ้งซ่านบ้าคลั่งร่ำๆ คิดจะเปลี่ยนอาชีพอยู่รอมร่อ ก็บังเอิญมาดู The Wrestler เข้าเสียก่อน

หนังไม่ได้จุดประกายให้ดิฉันลุกขึ้นมาเขียน แต่มันให้คำตอบต่อคำถามคาใจบางข้อที่ดิฉันหมกมุ่น ตรึกตรอง ใคร่ครวญมานานแล้ว และยังหาไม่พบ

The Wrestler เล่าเรื่องของนักมวยปล้ำชราผู้หนึ่ง เขาชื่อ แรนดี้ สมญานามที่เรียกขานกันในวงการคือ แรนดี้ ‘เดอะ แรม’

หนังใช้ภาพข่าวหนังสือพิมพ์บอกเล่าความรุ่งโรจน์บนสังเวียนปล้ำของแรนดี้ในช่วงเครดิตเปิดเรื่อง ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นที่หนึ่ง เคยสยบคู่ต่อสู้แข็งๆ เคยมีแฟนๆ ติดตามอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เคยเป็นเป้าสนใจของสื่อทุกครั้งที่ขยับตัว

อย่างไรก็ตาม มาบัดนี้ 20 ปีผ่านไป แรนดี้ผ่านจุดที่สูงที่สุดมาแล้ว และกำลังร่วงโรยลงตามลำดับ เขาผันตัวจากการปล้ำบนเวทีใหญ่มาสู่เวทีเล็กๆ – ยังคงเป็นที่รักใคร่ของผู้ชม ทว่าจำนวนแฟนก็ต่ำมากเมื่อเทียบกับแต่ก่อน ‘เดอะ แรม’ ในทุกวันนี้อยู่ในสภาพไม่ต่างจากเครื่องจักรเก่าคร่ำที่รอวันจะปลดระวาง สังขารเสื่อมทรุด ประสาทหูและตาเสื่อมสภาพ ใจยังสู้ แต่สุขภาพหัวใจเริ่มสู้ไม่ไหว ร่างกายที่ครั้งหนึ่งเคยแกร่งกำยำ บัดนี้บอบช้ำแทบจะครบทุกส่วน

แรนดี้เองใช่จะไม่ตระหนักถึงความโรยราของตนเอง หนังบอกว่าเขามีความคิดที่จะเริ่มชีวิตใหม่ พยายามทำมาหากินทางอื่น พยายามก่อร่างสร้างความสัมพันธ์กับสาวอะโกโก้ที่ตนชอบพอ เรียกร้องขอโอกาสแก้ตัวใหม่กับลูกสาวที่ตนเคยทอดทิ้ง

กระนั้นก็ตาม การเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับคนวัยสี่ห้าสิบที่ประกอบอาชีพเดียวมากว่าครึ่งชีวิต

แรนดี้ให้โอกาสตัวเองทดลองใช้ชีวิตใหม่ เพียงเพื่อจะพบว่า เขาคิดถึงสังเวียนผ้าใบมากแค่ไหน

เขาพาตัวเองขยับห่างจากวงการมวยปล้ำ เพียงเพื่อจะพบว่า มันคือที่เดียวในโลกที่ใช่ และเขาคิดถึงมันเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิต

ดาร์เรน แอโรนอฟสกี้ ทำ The Wrestler เป็นผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องยาวลำดับที่ 4 (ถัดจาก Pi, Requiem for a Dream และ The Fountain) เท่าที่ทราบ แอโรนอฟสกี้อยากจับเอาเรื่องของนักมวยปล้ำและวงการมวยปล้ำมาทำเป็นหนังนานแสนนานมาแล้ว และโครงการ The Wrestler ก็เริ่มต้นตั้งไข่ตั้งแต่เขายังทำ The Fountain ไม่เสร็จโน่น

แอโรนอฟสกี้มีความผูกพันฝังใจอันใดกับกีฬามวยปล้ำ (หรือใครจะเรียกว่า ‘การแสดง’ ก็สุดแท้แต่) ดิฉันเองก็ไม่แน่ใจ ได้แต่เดาจากเนื้องานว่า เขาน่าจะ ‘อิน’ กับกีฬาประเภทนี้พอสมควร เพราะ หนึ่ง เขาบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดในหนังได้อย่างสมจริงและน่าเชื่ออย่างยิ่ง (หนังใช้วิธีการถ่ายด้วยกล้องแฮนด์เฮลด์ตามติดตัวละครเยอะ หลายช่วงตอนจึงให้ความรู้สึกไม่ต่างจากหนังสารคดี นอกจากนั้น ตัวละครนักมวยปล้ำในหนังส่วนใหญ่ยังเป็นนักมวยปล้ำในชีวิตจริง)

สอง รายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะก่อน-ระหว่าง-หรือหลังการแข่งขัน ยังได้รับการปฏิบัติอย่างใส่ใจ (เคยทราบไหมคะว่า นักมวยปล้ำต้องอบผิวให้เป็นสีแทนสวยอยู่เสมอ อีกทั้งยังต้องย้อมผมเพื่อไม่ให้ตนดูแก่หงำยามอยู่บนเวทีด้วย)

เหนืออื่นใด ชีวิตหลังเวทีของนักมวยปล้ำทั้งหลาย ได้รับการถ่ายทอดอย่าง ‘ให้เกียรติ’ และเป็นธรรม

ประการหลัง ขยายความได้ว่า ในสายตาของคนจำนวนไม่น้อย กีฬามวยปล้ำไม่ได้ต่างอะไรจากมวยล้มต้มคนดู ใครต่อใครพูดกันมานักต่อนักว่า มวยปล้ำเป็นแค่การแสดง เป็นการแหกตา ที่เห็นคว้าเก้าอี้ฟาดใส่กันโครมๆ ตบหน้า ฟันคอ เด้งเชือก จับหัวโขกมุม ทุ่มตัวทับ นับ 1-2-3 นั้น แท้ที่จริง “มันเตี๊ยมกันมาแล้วทั้งนั้น”

แอโรนอฟสกี้ไม่พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงดังกล่าว หนังเปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งว่า มวยปล้ำเป็นการแสดงประเภทหนึ่งจริงๆ นักมวยปล้ำที่เห็นจะฆ่ากันตายบนเวที หลังเวทีก็สนิทสนมเกื้อกูลเป็นเพื่อนฝูงพี่น้องในสังกัดเดียวกันทั้งนั้น ทุกอย่างถูกจัดฉากไว้ล่วงหน้าจริง ทุกลีลาท่วงท่ามีการตระเตรียมเตี๊ยมกันไว้ก่อนจริง

กระนั้นก็ตาม อีกสิ่งที่จริงแสนจริงเช่นกันก็คือ นักมวยปล้ำทุกคนล้วนตั้งใจจริงกับบทบาทที่ตนได้รับ พวกเขาทุ่มเทสุดตัว ในยามเจ็บตัว พวกเขาเจ็บจริง เหงื่อทุกหยด เลือดทุกหยาดที่สาดกระเซ็นบนเวทีก็ของจริง ดิฉันชอบที่ โรเจอร์ อีเบิร์ต นักวิจารณ์จากนสพ.ชิคาโก ซัน-ไทม์ส พูดถึงเรื่องนี้ทำนองว่า การที่นักมวยปล้ำเตี๊ยมกันล่วงหน้า ก็เพียงเพื่อให้แน่ใจว่าตนจะบาดเจ็บในจุดที่ยอมรับได้ และไม่เจ็บในที่ที่ไม่พึงปรารถนาเท่านั้น

พูดอีกแบบก็คือ นักมวยปล้ำ –อย่างน้อยก็ในหนังเรื่องนี้- ไม่ใช่พวก 18 มงกุฎลวงโลก ทว่าเป็นแต่เพียงคนหาเช้ากินค่ำ ที่ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้ เพื่อหารายได้ให้เพียงพอต่อรายจ่าย – เหมือนอย่างคุณ เหมือนอย่างดิฉัน เหมือนอย่างที่คนส่วนใหญ่ในโลกจำต้องทำ – ก็เท่านั้น

กล่าวสำหรับ มิคกี้ รูร์ค – ในฐานะผู้รับบทแรนดี้ ‘เดอะ แรม’ เขาคือหัวใจสำคัญที่ทำให้ The Wrestler ทรงพลังถึงเพียงนี้อย่างไม่ต้องสงสัย รูร์คทอดความโรยราของแรนดี้ผ่านทางสีหน้าและแววตาได้อย่างยอดเยี่ยม ขณะเดียวกัน ในยามที่ต้องหยุดยืนต่อหน้าบุตรสาวและสาวอะโกโก้ที่ตนหลงรัก รูร์คก็ทำให้แรนดี้กลายเป็นผู้ชายที่อ่อนโยน ขลาดเขลา โหยหาความรักที่ครั้งหนึ่งตนเคยทิ้งขว้าง

หลายคนที่ติดตามงานและชีวิตของรูร์คมาบ้าง กล่าวประสานเป็นเสียงเดียวกันว่า การที่รูร์คเข้าใจและเข้าถึงบทแรนดี้ได้ถึงเพียงนี้ เหตุผลสำคัญน่าจะเป็นเพราะมันมีความละม้ายคล้ายคลึงกับชีวิตจริงของเขาจนแทบจะแยกไม่ออก

ว่ากันอย่างสรุป ครั้งหนึ่ง –ในช่วงต้นยุค 80 โดยประมาณ- รูร์คเคยเป็นนักแสดงหัวแถวของฮอลลีวู้ด เขามีโอกาสร่วมงานกับผู้กำกับเด่นๆ หลายคน อาทิ กับ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ใน Rumble Fish, กับ ไมเคิล ชิมิโน (ผู้กำกับ The Killing Field) ใน Year of the Dragon, กับ อลัน พาร์เกอร์ ใน Angel Heart ฯลฯ และถูกจัดให้เป็นเซ็กส์ซิมโบลฝ่ายชายประจำยุคจากบทบาทในหนังอย่าง 9 ? Weeks และ Wild Orchid

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นชีวิตนักแสดงของรูร์คก็ตกต่ำลงตามลำดับ เขาปฏิเสธบทเด่นหลายบทอย่างเย่อหยิ่ง ทำลายโอกาสในชีวิตด้วยความยะโสโอหัง ชีวิตส่วนตัวเริ่มมีปัญหา (รูร์คเคยถูกจับข้อหาซ้อมภรรยาครั้งหนึ่งในปี 1994) จากที่เคยเป็นดาราเนื้อหอม กลายเป็นบุคคลอันตรายที่ไม่มีใครอยากทำงานด้วย (อลัน พาร์เกอร์เคยกล่าวว่า การร่วมงานกับมิคกี้ รูร์คถือเป็นฝันร้ายโดยแท้)

ต้นยุค 90 รูร์คจึงบ่ายหน้าออกจากวงการบันเทิงแล้วหวนคืนสู่สังเวียนมวยซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยทำได้ดี (ก่อนเข้าวงการ รูร์คเป็นนักมวยสมัครเล่นฝีมือดีคนหนึ่ง) แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก ซ้ำร้าย สังเวียนผ้าใบยังทิ้งความบอบช้ำบนร่างกายและใบหน้าของเขามากมาย ลงท้ายรูร์คจึงตัดสินใจแขวนนวมเป็นการถาวร เขากลับมารับงานแสดงอย่างจริงจังอีกครั้ง กระนั้น ก็ไม่เคยเรียกร้องชื่อเสียงและความสำเร็จเก่าๆ ของตนคืนกลับมาได้เลย

บทแรนดี้ ‘เดอะ แรม’ จึงถือเป็นโอกาสเกิดใหม่ในฐานะนักแสดงของมิคกี้ รูร์ค ไม่มีใครสงสัยในรางวัลจากสารพัดสถาบันที่เขาได้เข้าชิงและได้รับ แต่ที่ยังไม่มีใครแน่ใจนักก็คือ เขาจะหล่อเลี้ยงรักษาชื่อเสียงและความไว้วางใจที่ได้รับในครั้งนี้ไว้ได้นานแค่ไหน

ในความเห็นส่วนตัว ดิฉันไม่รู้สึกว่า The Wrestler เป็นหนังที่หดหู่ (แม้เรื่องราวจะชวนให้คิดอย่างนั้นมาก) มันเพียงแต่ให้ความรู้สึกขมขื่นระหว่างที่ดู ทว่าพลันที่หนังจบลง ดิฉันกลับพบว่ามีแง่มุมบางด้านที่สร้างพลังใจชวนให้ฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูก

เหตุการณ์สำคัญตอนหนึ่งซึ่งปรากฏในตอนท้าย –และจะนำไปสู่บทสรุปส่งท้ายของเรื่อง- คือ การที่แรนดี้ได้รับการชักชวนให้ขึ้นปล้ำกับคู่ปรับเก่าจอมอหังการรายหนึ่ง แน่นอน นั่นคือโอกาสที่เขาจะเรียกร้องความฮึกเหิมเก่าๆ กลับมาอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกัน สภาพร่างกายของเขาในตอนนั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่น่าจะรับศึกหนักเช่นนั้นไหว

อย่างไรก็ตาม เดาไม่ยากว่าแรนดี้จะตกปากตอบรับคำท้านั้นในที่สุด

ไม่ใช่เพราะปากหนักปฏิเสธไม่ได้

ไม่ใช่เพราะหวังเงินรางวัล

ไม่ใช่เพราะมั่นใจว่าจะชนะ

แต่เพราะมวยปล้ำเป็นอย่างเดียวในชีวิตที่เขาทำได้ ทำได้ดี และรักที่จะทำ

เวทีแข็งกระด้างแห่งนั้น เป็นที่เดียวในโลกที่เขาบอกตัวเองได้อย่างภาคภูมิใจว่า มันคือ ‘ที่ที่ใช่’

เป็นที่เดียวที่เขายืนหยัดได้เต็มสองขา และยืดอกรับลมหายใจแห่งชีวิตได้อย่างทระนง



กำลังโหลดความคิดเห็น