ถ้าใครบางคนเคยบอกว่า ชีวิตคนเราก็เหมือนกับบทเพลงสักเพลงนึง ชีวิตของตัวละครใน Tokyo sonata ก็คงเปรียบได้กับบทเพลงชิ้นเยี่ยม ที่บรรเลงได้อย่างกลมกล่อม เต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์ เพลงที่จะทำให้คุณหัวเราะได้ทั้งน้ำตา หรือกระทั่ง ร้องไห้ออกมาด้วยความปิติตื้นตัน
ในช่วงที่หนังดีดีหาดูได้ยากเต็มที หลายคนเริ่มเบื่อหน่ายกับหนังฮอลลีวูดที่เนื้อหาและรูปแบบเริ่มวนเวียนซ้ำซาก หลายคนผิดหวังกับหนังไทยที่ทุกคนคาดหวังว่าจะเห็นพัฒนาการอะไรใหม่ๆ บ้าง หนังอย่าง ฝัน-หวาน-อาย-จูบ ที่อยากจะเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ เป็น ฝันเฟื่อง-จืดสนิท-น่าละอาย-จูบรสเฝื่อน หรือ คุณอาจจะรู้สึกอยากหลับไปพร้อมกับนางเอกเรื่อง Happy Birthday ที่เยิ่นเย้อจนชวนให้ง่วงหงาวหาวนอน
ผมจึงอยากแนะนำหนังญี่ปุ่นดีดี ให้คุณผู้อ่านสักเรื่อง ก่อนที่มันจะอำลาโรงไปในเร็วๆ นี้ หลังจากทำการฉายอย่างเงียบๆ ที่โรงภาพยนตร์ House RCA มาร่วมเดือน
Tokyo Sonata บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวชนชั้นกลางชาวญี่ปุ่นธรรมดาๆ ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งคุณสามารถพบเห็นได้ทั่วไป ทั่วทุกมุมโลก พ่อ มีหน้าที่ทำงาน หารายได้เลี้ยงครอบครัว หน้าที่การงานมีความเจริญก้าวหน้าจนได้เป็นหัวหน้าแผนกในบริษัท แม่ ทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน เลี้ยงดูลูกชายสองคนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น และ วัยที่เริ่มจะเป็นหนุ่ม ชีวิตของพวกเขาดำเนินมาอย่างเรียบง่าย เป็นขั้นตอน และดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใดๆ เลยแม้แต่น้อย
แต่ชีวิตก็คือชีวิต (อย่างที่พี่บอย โกสิยพงษ์ ว่าไว้) วันหนึ่งมันก็ดำเนินมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ปัญหาต่างๆ ที่เคยซุกซ่อนตัวอยู่เหมือนภูเขาน้ำแข็ง ก็เผยตัวตนของมันออกมาอย่างเต็มตัว ครอบครัวเล็กๆ ที่เคยอยู่กันอย่างปกติสุข ก็อาจจะถึงคราวต้องล่มสลายลง ถ้าพวกเขาไม่คิดที่จะเรียนรู้และยอมรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
Tokyo Sonata เป็นผลงานการกำกับของ คิโยชิ คุโรซาวา ที่ผันตัวเองจากการกำกับงานสยองขวัญ ในแบบฉบับของ J-Horror อย่าง Cure (1997) และ Pulse (2001) มากำกับหนังดราม่าอย่าง Tokyo Sonata และทำได้ดีอย่างน่าประหลาดใจ ส่งผลให้เขาคว้ารางวัล Jury Prize จากงานเทศกาลหนังระดับโลกอย่าง Festival De Cannes มานอนกอดได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าเนื้อหาของ Tokyo Sonata จะเป็นดรามาหนักๆ แต่คูโรซาวา ก็ถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างน่าติดตาม และไม่ทำให้คนดูรู้สึกเครียดไปกับตัวหนังแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ในบางตอนอาจจะทำให้คุณต้องหัวเราะออกมากับอารมณ์ขันแบบร้ายๆที่แฝงอยู่ในตัวหนังเป็นระยะๆ ในอารมณ์บรรยากาศตามแบบฉบับของหนังญี่ปุ่นชั้นดี
ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวของสมาชิกในครอบครัวแต่ละคน เริ่มจาก เรียวเฮ ผู้พ่อ ที่เคยภาคภูมิใจในสถานะของการเป็นผู้นำครอบครัว จนมาวันหนึ่งที่สถานะของเขาเริ่มสั่นคลอนเพราะภาวะเศรษฐกิจ แต่ด้วยสถานภาพทางสังคมและค่านิยมของคนญี่ปุ่น ทำให้เรียวเฮต้องปกปิดปัญหาของเขา แต่เขาจะสามารถหลอกทุกคนรวมถึงตัวเองไปได้นานแค่ไหน? ในวันที่โลกดูเหมือนจะหันหลังให้กับชายวัยกลางคนอย่างเขาเสียแล้ว
เมกูมิ อาจจะดูเหมือนแม่บ้านชาวญี่ปุ่นทั่วไป ที่ทำหน้าที่แม่บ้านอย่างเต็มตัว ดูเหมือนคนไม่มีปากไม่มีเสียง จนกระทั่งเกือบจะไม่มีตัวตน เธออุทิศตัวเองให้แก่ครอบครัว จนไม่มีเวลามาสนใจว่าจริงๆ แล้วตัวเองต้องการอะไรกันแน่จากชีวิตแต่งงาน แต่เธอก็เป็นเหมือนกาวที่คอยประสานชายหนุ่มทั้งสามคนในครอบครัวเข้าด้วยกัน เพื่อที่จะให้ครอบครัวเล็กๆ ของเธอดำรงอยู่ต่อไปได้
ทาเคชิ ลูกชายคนโต เป็นสัญลักษณ์แทนคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ที่ไม่อยากจะดำเนินตามแนวทางเดิมๆ เช่นคนรุ่นพ่อแม่ของเขา ทาเคชิเลือกที่จะเลือกทางเดินชืวิตของเขาเองในแบบที่เค้าต้องการ และเริ่มออกห่างจากครอบครัวมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เป็นเหมือนคนหนุ่มทุกคนที่ใฝ่ฝันจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ จนมาวันหนึ่งโลกก็สอนให้รู้ว่าเขาเป็นแค่ส่วนหนึ่งเล็กๆ บนโลกใบนี้เท่านั้น
ลูกชายคนเล็ก เคนจิ อยู่ในวัยที่เริ่มกำลังจะเป็นหนุ่ม เด็กวัยนี้มักจะชอบคิดว่าคนรอบๆ ข้าง เช่น พ่อ แม่ หรือ ครู ไม่มีใครเข้าใจเขา แต่เคนจิก็เป็นเด็กที่มีความกล้าที่จะต่อสู้ในสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าถูก หรือ กล้าที่เดินตามความฝันของตัวเอง เช่น การนำเงินค่าอาหาร ไปจ่ายเป็นค่าเรียนเปียโน ถึงแม้จะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองรัก
ส่วนเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นไปอย่างไรนั้น จะไม่ขอกล่าวถึงให้เสียอรรถรสในการรับชม แต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณผู้อ่านจะเข้ามาแสดงทรรศนะ แลกเปลี่ยนกัน หลังจากได้ไปชมภาพยนตร์มาแล้ว
สุดท้ายนี้ เมื่อหนังใช้ชื่อว่า Tokyo Sonata ถ้าจะไม่กล่าวถึงเพลงประกอบหลักในหนังก็คงจะไม่ได้ หนังใช้เพลง Clair De Lune อันเป็นผลงานการประพันธ์ของคีตกวีระดับโลก อย่าง De Bussy ซึ่งเพลงนี้คอหนังคงรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะได้ถูกบรรดาผู้สร้างจับเอาใส่ในหนังของตนเองมานับครั้งไม่ถ้วน
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเพลงๆ นี้ก็คือ ทุกครั้งที่คุณได้ยิน คุณจะต้องตั้งใจฟังมันจนจบทุกทีไป นับเป็นผลงานการประพันธ์ที่อยู่เหนือกาลเวลาจริงๆครับ เพลงเพลงนี้เข้ากับหนังอย่างเหมาะเจาะ ขึ้นต้นมาอย่างราบเรียบ แล้วมาเร่งเร้า สับสนในช่วงกลาง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็คลี่คลาย และ ประทับตราตรึงอยู่ในห้วงคำนึงของคุณไปอีกหลายวัน
และนี่จะเป็นความรู้สึกของคุณหลังจากที่ได้ชมหนังเรื่องนี้