“เต๊ะ ศตวรรษ” เปิดใจคบ “บุ๋ม ปนัดดา” สุดประทับใจที่เป็นคนใจบุญ ไม่สนจะเป็นหม้ายหรือมีพันธะ เผย บุ๋มเข้าใจพันธมิตรฯ ไม่เคยทะเลาะกันเรื่องการเมือง แต่ไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะกลัวฝ่ายหญิงจะตกงาน
ลือกันมานานว่า “เต๊ะ ศตวรรษ เศรษฐกร” กำลังกิ๊กกั๊กอยู่กับ “บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี” ท่ามกลางกระแสข่าวเมาท์แตกว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะฝ่ายชายก็เปิดตัวเป็นพันธมิตรฯชัดเจน ด้านฝ่ายหญิงก็เป็นผู้ประกาศข่าวเอ็นบีที ชัดเจนว่าเดินคนละเส้นทาง
แต่แล้วความลับก็มาแตกเมื่อจู่ๆ ก็มีคนตาดีแอบเห็นเต๊ะมารอรับบุ๋มในงานแห่งหนึ่ง ส่งผลให้บุ๋มต้องสารภาพว่า กำลังคบหาดูใจกันอยู่ ด้านฝ่ายหญิงเปิดปากไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนวันนี้ฝ่ายชายก็ยอมรับเช่นกันว่ากำลังดูๆ กันอยู่ เผย สุดแสนประทับใจที่ฝ่ายหญิงเป็นคนใจบุญ ไม่สนถึงจะเป็นหม้าย หรือมีพันธะ ยันถึงจะคบกันแต่ก็ยังยืนอยู่ฝั่งพันธมิตรฯเหมือนเดิม
“เมื่อวันนั้นผมไม่ได้ไปรับพี่บุ๋มครับ แต่ว่าไปด้วยกัน คือ พี่บุ๋มเขาจะต้องไปงานที่โลตัส ผมก็เลยไปด้วยเพราะผมต้องไปที่ชั้นบนเพื่อใช้ส่งเอกสาร (แล้วไปไงมาไงถึงได้มาด้วยกัน) ก็ไปกินข้าวกันมาก่อนก็เลยมาด้วยกัน (ไปด้วยกันสองต่อสอง ?) ก็ไปกันสองคนครับเพราะรถมันนั่งได้แค่สองคน (หัวเราะเสียงดัง) คือ ช่วงนี้ถ้าจะต้องเจอกันบ่อยก็เพราะว่ามันมีเรื่องหนังสั้นที่เต๊ะทำกับเพื่อนแล้วพี่บุ๋มมาเล่นให้ครับ”
“คือ ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายในการที่เราจะสนิทกับใคร หรือกำลังคุยหรือจะเจอกับใคร เพียงแต่คนอาจจะงงๆ ว่าสองคนนี้มาเจอกันได้ไง”
“กับพี่บุ๋มนี่สนิทกันมาก เรียกว่า เป็นผู้หญิงที่สนิทที่สุดตอนนี้ ก็เหมือนที่พี่บุ๋มพูด คือ คุยๆ กันอยู่ แต่ว่ามันยังไม่ได้ไปไกลมาก ก็เป็นอะไรที่คุยกันถูกคอก็คุยกันไป แต่ในประเด็นที่คนแปลกใจ ก็คือ พี่บุ๋มอยู่ฝั่งเอ็นบีที ผมอยู่ฝั่งพันธมิตรฯคุยกันได้ไง คือ ผมรู้จักพี่บุ๋มก็เพราะว่า พี่บุ๋มเป็นคนชอบทำบุญ ซึ่งผมก็ทำงานอาสาอยู่แล้ว พอดีไปเจอกันช่วงที่ไปบริจาคของช่วยน้ำท่วม พอคุยกันแล้วมันไม่มีปัญหาก็เลยสนิทกัน”
“ตอนนี้เราเจอกันเยอะมาก อย่างช่วงที่แล้วน้ำท่วมแล้วก็ไปด้วยกันหลายที่ อย่างที่พี่บุ๋มบอกว่าไปเจอพ่อแม่เต๊ะก็ไปเจอที่เมืองกาญจน์ คือ เราไปเลี้ยงอาหารและก็แจกของให้เด็กที่จังหวัดกาญจนบุรี ผมไปกับทีมกู้ภัย พี่บุ๋มก็เอาของไปแจกให้กับเด็ก คือ ไปกันเยอะมากประมาณ 20 คน เพื่อนผมก็ไป เพื่อนเขาไป ผมก็อยากให้มองในแง่ที่เปิดกว้างนิดนึงอย่าไปมองว่าใครอยู่สีอะไร เพราะเขาทำงานตรงนั้น คือ ผลประโยชน์ที่เราทำต่างๆ ตรงนี้มันอยู่กับเด็ก ถ้าเราแยกแยะตรงจุดนี้มันจะเป็นเรื่องที่ดี”
“แต่ถามว่าความสัมพันธ์จะพัฒนามากไปกว่านี้หรือเปล่า ตรงนี้ไม่ได้มีการระบุไว้ว่าจะเป็นแบบไหน เพราะเราก็โตๆ กันแล้ว คุยรู้เรื่องก็คุยกัน ในส่วนที่จะเป็นแบบไหนในอนาคตไม่ได้แพลนไว้ ตอนนี้จะเป็นเรื่องปรึกษากันมากกว่า อย่างเต๊ะก็อาจจะปรึกษาพี่บุ๋มในแง่ของธุรกิจ เพราะเขาก็มีความรู้ตรงนั้น”
หลายๆ คนเป็นห่วงว่า “เต๊ะ” คบกับ “บุ๋ม” แล้วอาจจะโอนเอียงไปฝั่งเอ็นบีที
“คนก็อาจจะเป็นห่วงนะครับ แต่ทำไมไม่มองว่าเขาจะมาทางผมบ้างล่ะครับ (หัวเราะ) จริงๆ แล้วผมว่าทุกอย่างมันมีเหตุและผล ในเรื่องที่คนคิดแตกต่างกันย่อมเป็นเรื่องปกติ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่ออกมาชุมนุมกับพันธมิตรเหมือนผม ก็ต้องมีคนที่บ้านบอกว่า เฮ้ย....ออกมาทำอะไร”
“แต่กรณีที่ทุกคนคิดว่า การที่ผมมาคบกับพี่บุ๋มแล้วแบบแกย้ายค่ายย้ายพรรคด้วยหรือเปล่า จริงๆ แล้วผมอยากจะบอกว่าผมก็เหมือนเดิม กับเรื่องอุดคติอุดมการณ์ในการมองการเมือง หรือการที่เราจะปกป้องประเทศมันไม่ได้เปลี่ยนเพราะบุคคลเดียว ทุกวันนี้ผมก็ยังคิดเหมือนพันธมิตรฯ”
“ฉะนั้น ถ้าถามว่า เต๊ะเปิดตัวกับพันธมิตรฯ เต๊ะคิดก่อนหรือเปล่า คิดครับเต๊ะคิด ไม่ใช่แบบว่าอยู่ดีๆ ไปก็ไป เราชั่งน้ำหนักด้วยเหตุด้วยผลแล้วถึงตัดสินใจ ฉะนั้น ถ้ามีคน 10 คนมานั่งคุยกับเต๊ะในเรื่องของที่เขาเข้าใจในอีกรูปแบบหนึ่ง เราก็ฟังแล้วก็เอามาวิเคราะห์ ผมคิดว่าเรื่องอุดมการณ์ตรงนี้มันไม่ได้เปลี่ยนเพราะเต๊ะไปคุยกับใคร ที่ผ่านมาเต๊ะได้ชั่งน้ำหนักมาเรียบร้อยแล้ว”
“นั่นคือ ในส่วนของเต๊ะนะครับ แต่ส่วนของพี่บุ๋มคำว่าเป็นกลางของคนที่ทำงานอยู่ในนั้นก็ยังมีอยู่ แต่บางทีมันแสดงออกไม่ได้ เหมือนคนที่ทำงาน AIS ก็คงมีหลายคนที่อยากจะออกมากับพันธมิตร แต่เขาก็ออกมาไม่ได้เพราะสายงานของเขาดันไปเกี่ยวข้องกับบุคคลหนึ่ง ซึ่งไม่คิดว่าบุคคลนี้จะเป็นตัวปัญหา หรือว่าสถานที่นี้องค์กรนี้จะเป็นตัวสร้างปัญหา ผมว่ามันกลืนเข้าไม่เข้าคายไม่ออกในฐานะของคนที่จะต้องเลี้ยงชีพ”
“การที่เราจะโจมตี หรือการที่จะพูดถึงชัยชนะที่เราทำอยู่ตรงนี้ ผมว่าพวกปลาน้อยปลาเล็กๆ อย่าไปใส่ใจเลย เพราะอำนาจมันไม่ได้อยู่ที่เขา เหมือนที่เราบอกว่าเราไม่โกรธตำรวจ แต่เราเกลียดผู้บัญชาการหรือคนที่สั่งการลงมา แต่ตำรวจชั้นผู้น้อยเขาก็เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียเขา ฉะนั้นมันก็น่าจะแยกแยะ แต่ว่าบางทีมันก็เป็นเรื่องของอารมณ์ ทำไมถึงต้องอ่านข่าวอันนี้ ทำไมถึงต้องพูดถึงคนนี้ ผมก็ถึงได้บอกกับพี่บุ๋มว่า ก็ดันซวยไปทำงานผิดที่ เขาก็หัวเราะบอกว่า ใครจะไปรู้ล่ะว่าที่นี่มันจะมีปัญหา”
“ที่ผมพูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าผมจะแก้ตัวให้ใคร ที่สำคัญ ไม่ว่าผมจะคุยกับใครตัวผมก็ยังเหมือนเดิม สิ่งที่กลัวที่สุดเลยก็คือแบบเต๊ะไปอยู่ฝั่งอื่นแล้ว ผมก็อยากจะบอกว่ามันไม่เกี่ยวครับ คนจะมองว่าผมสีเหลือง แต่มองคุณบุ๋มสีแดง มันก็เลยเป็นปัญหาที่คนจะเอามาคุยกัน แต่ว่าการที่ผมคุยกับพี่เขา หรือว่าสนิทกัน ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะว่านอกจากจะไปร่วมทำบุญด้วยกันแล้ว ผมก็ยังชวนพี่บุ๋มมาเล่นหนังสั้นให้กับผมด้วย มันก็เลยต้องเจอกันบ่อย”
เผยถึงภาพลักกษณ์จะยืนอยู่คนละฝั่ง แต่ก็ไม่เคยทะเลาะกันเรื่องพันธมิตร
“มันอยู่ที่ว่าเราคุยกันเรื่องอะไร แต่ว่าคุยเรื่องพันธมิตรเต๊ะไม่เคยทะเลาะกับเขาเลยนะ มีบางครั้งช่วงที่เต๊ะออกไปพันธมิตรโทรถามพี่บุ๋มอยู่แถวไหน มากินข้าวกันไหม เขาก็ขับรถมารับที่พันธมิตร คือเขาก็ไม่ได้ห้ามผม เขาก็รู้ว่าผมทำอะไรอยู่ ผมก็รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่”
“จริงๆ ถ้าผมพูดอะไรชัดๆ ไปจะทำให้ส่งผลกระทบต่องานคนอื่นเขา แต่ผมอยากจะบอกตรงนี้ว่า มันอาจจะไม่ได้รุนแรงหรือร้ายแรงอย่างที่หลายคนเข้าใจนะ แต่ว่ามันตกเป็นเป้าสายตาเพราะเขาเป็นดาราและเป็นผู้ประกาศ โดยเฉพาะการเป็นผู้ประกาศช่วงเช้าจะซวยที่สุด เพราะว่าอะไรต่างๆ ที่มันจะเกิดขึ้น หรือกำลังจะเกิดขึ้นเขาจะต้องเป็นคนอ่าน”
“ผมถึงได้บอกไงว่า งั้นก็ซวยไป เขาก็บอกว่า เออ....แล้วจะให้พี่ทำยังไงล่ะ ถ้าไม่อ่านแบบนี้จะให้คิดข่าวขึ้นมาเองเหรอ ก็เข้าใจว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องสื่อสารออกมา ซึ่งก็ทำให้กลุ่มคนรวมถึงตัวผมเองก็ไม่ชอบอยู่แล้วที่จะสร้างข่าวที่บิดเบือนเป็นประโยชนต์ต่อพวกเขาเอง ผมไม่ชอบเหมือนกัน ฉะนั้นถ้าจะด่าก็ควรจะด่าคนที่เขียนลงมา หรือด่าคนที่เป็นเจ้านายเขาที่สั่งการลงมา ตรงนั้นน่าจะเป็นอะไรที่แก้ปัญหามากกว่า”
ถึงแม้ “บุ๋ม” จะไม่ได้เป็นคนเขียนข่าว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็เป็นหนึ่งในกลไกที่บิดเบือนการนำเสนอข่าวสาร
“ก็คงจะเป็นเพราะคนเราต้องทำมาหากิน อันนี้ก็พูดกันตรงๆ ไม่งั้นตำรวจสองสามพันนายที่มาล้อมเราก็ต้องไปลาออกหมด คือมองในแง่ทำมาหากินนะครับ ตรงนี้ผมไม่ได้บอกให้ใครมาคิดเหมือนผมนะครับ แต่ปัญหาหลักๆ ก็คือว่า ไม่ต้องกังวลว่าผมจะไปโผ่ลฝ่ายอื่น ผมยังเหมือนเดิม แต่ว่าตอนนี้ผมกำลังจะไปทำในส่วนที่สนับสนุนให้ข่าวสารกับคนรอบข้าง อย่างน้องเต๊ะเรียนมหาวิทยาลัยก็จะมีการพูดคุยให้กับเพื่อนๆ ของน้องเข้าใจว่า ตอนนี้ปัญหาของประเทศชาติมันคืออะไร เรากำลังใช้วิธีปากต่อปากตัวต่อตัวเลย”
แสดงกับ “บุ๋ม” ก็ต้องมีการเผยแพร่ข่าวสารแบบตัวต่อตัว
“ผมเองก็มีการพูดคุยกับพี่บุ๋มเหมือนกัน พี่วันนี้มีข่าวอะไรบ้าง พี่บุ๋มก็จะวันนี้มีข่าวนายกนจะแบบนั้นแบบนี้ ผมก็จะเลวกันอีกแล้วนะ(หัวเราะ) เวลาที่ผมมีความเห็นไปอีกด้านหนึ่งในข่าวที่พี่บุ๋มอ่าน เขาก็ไม่ได้มีฟีดแบคกลับมาในลักษณะโต้แย้งผมนะ ผมคิดว่าคนไทยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันไม่ยากหรอกที่จะเลือกระหว่างขาวกับดำ สีมันตัดกันซะขนาดนั้น”
“จริงๆ แล้วผมไม่อยากเห็นคนไทยเลือกข้างหรอก เพราะเราก็รักในหลวงเหมือนกัน แต่บางคนที่คิดว่ารักในหลวง และคิดว่ากำลังทำในสิ่งที่คิดว่าปกป้องในหลวง แต่จริงๆ แล้วกำลังเดินผิดทางอยู่มันก็มี บางทีไม่อยากบอกว่าเขาเป็นรากหญ้าหรืออะไร เพียงแต่เขาโดนปิดกลั้นหรือโดนทำให้เข้าใจในอีกรูปแบบหนึ่ง อาจจะเสื้อเหลืองเป็นกบฏ เป็นคนที่ทำให้รถติด เป็นคนที่สร้างความวุ่นวายใช้ความรุนแรง”
“บางคนเขายังไม่เห็นว่าสิ่งที่เราทำมันมีผลดีกับทุกคน ไม่ใช่ว่าทำเพื่อคน 20 ล้านคนที่เป็นเสื้อเหลือง แต่เวลาผลที่มันดีประเทศกลับมาสู่จุดลงตัว พวกคุณได้ผลตรงนี้หมด แต่พวกคุณไม่รู้เอง วันนี้พวกคุณออกมาต่อต้านเราเย้วๆ เอาหนังสติกมายิงเอาระเบิดมาเขวี้ยง เอาตีนมาตบ น่าจะกลับไปคิดทบทวนดู”
“เรื่องของพี่บุ๋มกับผมก็อยากจะบอกให้ทุกคนสบายใจว่า ผมยังเหมือนเดิมไม่ต้องกลัวว่าผมจะเปลี่ยนไป ถ้าผมคุยกับพี่บุ๋มแล้วเฮฮากันมีความสุขผมก็คุย แต่ถ้าคุยแล้วทุกข์ผมก็คงจะไม่คุย เหมือนที่ถามว่าคุยกันเรื่องการเมืองแล้วมีปัญหาไหม ถ้ามีปัญหาผมก็คงจะไม่คุย คือจุดยืนของเต๊ะ เต๊ะเลือกแล้ว คือถ้าคุยกันแล้วต้องทะเลาะกัน หรือมาบอกว่า การกระทำของเต๊ะที่ทำอยู่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทั้งที่เราได้ศึกษามาแล้ว ถ้าเขาพยายามจะเปลี่ยนเรา ผมก็คงไม่คุยด้วย คงไม่ต้องบอกนะว่าพี่บุ๋มคิดอะไรอยู่”
“คือถ้าเลือกได้พี่บุ๋มเขาก็คงไม่อยากจะเป็นปัญหากับใคร เหมือนกับเต๊ะเองตอนที่ไปกระทรวงการคลังก็เจอคนให้นิ้วกลางตลอดทาง มันก็ช่วยไม่ได้เพราะคุณคิดไม่เหมือนผม แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่า ความคิดของผมผิดแล้วผมจะต้องมาเปลี่ยนเพราะคนให้นิ้วกลางกับผม”
“พี่บุ๋มเองเขาเจอฟีดแบคตะโกนด่าบ้างอะไรบ้าง เขาก็เสียใจนะ เพราะเขาเป็นเหมือนลำโพงที่ไม่ใช่ผู้เล่นเทป คือต้องมองกันแบบนี้นะ เพราะบางคนจะบอกว่า ทำไมผู้ประกาศข่าวจะต้องพูดแบบนี้ เขาอาจจะเป็นกลไกหนึ่งในการกระจายข่าว แต่ต้องถามกลับไปว่า แล้วเขารู้หรือว่าว่าองค์กรแห่งนี้จะเป็นแบบนี้ ถ้ารู้ว่าเป็นขี้ก็คงไม่มีใครไปแตะ แต่นี่เขาลงมาแล้วและมันมาเป็นแบบนี้ มันก็คืองานที่เขาต้องเลี้ยงชีพ ก็เคยถามเหมือนกัน แล้วพี่บุ๋มเขาก็บอกว่า แกเลี้ยงชั้นไหมล่ะ(หัวเราะ) แล้วจะให้ผมทำไง ผมก็เลี้ยงใครไม่ได้”
“เวลามีข่าวอะไรผมก็จะฟอร์เวิล์ดให้พี่บุ๋มตลอด เขาก็รับรู้มาตลอด ตอนที่พนักงานช่อง 11 มีการรวมตัวกันพี่บุ๋มก็เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ปัญหาภายในมันคืออะไร ตัวเขาเองไม่ชอบอะไร มันก็มีพูดถึงขึ้นมา แต่ว่าดีเทลตรงนี้ขอให้ไม่ได้มาจากฝั่งเต๊ะก็แล้วกัน ก็อยู่ที่ว่าเขาจะคุยหรือเปล่า”
“เออ....คือผมไม่อยากจะบอกว่าเขาอยู่ฝ่ายไหน ก็ให้เขาอยู่กลางๆ ก็แล้วกัน แต่สิ่งที่ผมกำลังจะบอกคือ ไม่ว่าเต๊ะจะคิดอะไร หรือจะทำอะไรอยู่ บุคคลที่เต๊ะคุยด้วยเขาไม่ได้แย้งหรือแสดงอาการในลักษณะที่ว่า แกทำอะไรอยู่ ทำอย่างนี้ได้ไง มันก็คงจะบอกถึงความคิดอะไรบางอย่าง อย่าพูดอะไรมากเลยเดี๋ยวเขาจะตกงาน”(หัวเราะ)
เอาเป็นว่าปัญหาเรื่องความคิด ระหว่างฝั่ง เต๊ะ พันธมิตร กับ บุ๋ม NBT ไม่น่าจะมีปัญหา แต่เรื่องข่าวคราวความแรงของบุ๋มที่ผ่านมาก็ไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน ซึ่งตรงนี้เต๊ะบอกว่า...
“ผมว่าความตรงของคนมันมีอยู่หลายๆ รูปแบบ ถ้าตรงและคิดอะไรในแง่สร้างสรรค์ก็คงไม่มีปัญหา แต่ว่าการที่ผู้หญิงคนหนึ่งแสดงออกทางความคิดของตัวเองมากๆ มันก็เกินลิมิตเหมือนกัน ผมก็เคยถามว่า เฮ้ย...ทำไมพี่ต้องพูดตรงขนาดนั้น เขาก็ถามว่า หรือจะให้เฟลกเหมือนคนอื่น มันก็เป็นคำตอบที่ผมก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน”
“บางทีคำว่าแรงถ้าจะหมายถึงการที่บอกว่า เกลียดก็บอกว่าเกลียด ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่เอาก็คือไม่เอา มันกลายเป็นว่าสร้างปัญหาก็คงไม่น่าจะใช่ สิ่งที่พูดออกมามันน่าจะถูกกลั่นกรองออกมาแล้ว คนที่วุฒิภาวะอย่างเขาก็น่าจะรู้ว่าฟีดจะเป็นอย่างไร”
“โดยส่วนตัวผมมองว่าพี่บุ๋มเป็นผู้หญิงที่เก่ง และก็เป็นที่ปรึกษาให้กับหลายๆ ที่ เขาเป็นผู้หญิงที่ตั้งใจเรียน ทุกวันนี้ก็ยังเรียนอยู่ ก็ถือว่าเป็นคนที่มีความขวนขวายเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง พอได้รู้จักก็รู้สึกว่า เขาก็เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ตลก และก็เป็นผู้หญิงที่สู้ชีวิตคนหนึ่ง การที่เป็นแม่หม้ายมันไม่ใช่เรื่องสนุกอยู่แล้ว ต้องมาอยู่ในภาวะที่แบ่งพรรคแบ่งพวก และตัวเองต้องไปอยู่ตรงกันมันก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เป็นอะไรที่ไม่ง่าย”
“พี่บุ๋มเป็นผู้หญิงที่ดูเหมือนจะดุแต่จริงๆ แล้วเขาเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและอ่อนแอด้วยซ้ำ เวลาไปทำบุญกับเด็กเห็นแล้วก็เข้าใจนะ คือผู้หญิงเวลาที่อยู่กับโลกภายนอกก็ต้องเข้มแข็ง แต่พอเขาอยู่กับเด็กๆ ก็เห็นถึงความอ่อนโยนของเขา ผมเข้าใจนะการที่เป็นผู้หญิงหม้ายมันไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องมาตอบปัญหาสังคม และผจญปัญหารอบด้านเต็มไปหมด เขาก็เป็นผู้หญิงที่สู้ชีวิตคนหนึ่ง ผมก็รู้สึกประทับใจที่ได้เห็นตัวตนอีกด้านหนึ่งของเขาที่คนอื่นไม่เห็น”
“ผมประทับใจพี่บุ๋มที่เขาเป็นคนง่ายๆ ไม่เหมือนที่เรามอง นิสัยก็โอเค ความรู้ความสามารถความคิดความอ่านก็เป็นผู้ใหญ่ ก็สมกับวัยของเขา ถ้ามันมีอะไรที่ผมจะสามารถดึงความคิดตรงนั้นออกมาใช้ได้มันก็เป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน”
“เหตุการณ์ที่ประทับใจในตัวเขาก็คือ เขาเป็นใจบุญ เวลาที่ไปกินข้าวหรือไปทำอะไรเขาจะสงสารไปหมด เขาเป็นคนที่ค่อนข้างเห็นอกเห็นใจคนอื่น ซึ่งตรงนี้มันคล้ายกับเต๊ะเพราะเต๊ะก็ทำงานอาสาชอบช่วยเหลือคน พี่บุ๋มเองถ้ามีเวลาเขาก็จะช่วย ล่าสุดที่ตาปูดตาแตกก็เพราะไปกับกลุ่มเต๊ะนี่แหละ เขาไปดำน้ำสร้างปะการังเทียมให้กับปลา มันก็เป็นงานการกุศลเพียงแต่ว่าพวกเราไม่ได้ไปออกข่าว”
“แม้กระทั่งวันที่มีข่าว 7 ตุลา พี่บุ๋มก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ผมก็เข้าไปที่พันธมิตรตอนบ่ายก็ส่งรูปให้เขาดู นี่คือรูปที่พี่ไม่เคยเห็น คือคนที่ดูวีทีอาร์ดูมอนิเตอร์เขาก็เห็นแค่ตรงนั้น ทุกอย่างมันถูกตัดต่อออกมาหมดแล้ว มีคนเลือกมาให้เขาเห็นแค่นั้น แต่ผมเป็นคนที่เห็นเต็มๆ มาถามผมเลยข้างในเป็นไง ผมก็เล่าให้เขาฟัง และก็ส่งภาพให้เขาดู เขาก็ตกใจทำไมมันแรงขนาดนี้ เขาก็เศร้า ผมก็เออ...ก็มันแรงแบบนี้ไงแต่คุณไม่เห็นเอง เพราะฝั่งคุณปิดคุณหมด ปิดทุกคนที่ดูทีวี โอ๊ย....ตกงานแน่ๆ บุ๋มเอ๊ย”(หัวเราะ)
คนสวย มีตำแหน่งการันตี ทำงานดี เรียนเก่ง รักเด็ก ถามว่าผ่านไหม “เต๊ะ” บอกว่า อนาคตเป็นไงไม่รู้ แต่ตอนนี้ “บุ๋ม” คือผู้หญิงที่สนิทที่สุด
“มันไม่ใช่ว่าผ่านหรือไม่ผ่าน คือถ้าคุยแล้วแฮบปี้ก็คุยต่อไป ไม่ได้มองว่าต้องเป็นไง อนาคตต้องไง ตอนนี้ก็คบๆ ศึกษากันอยู่ ดูๆ ว่านิสัยใจคอเป็นไง ก็ยอมรับว่าตอนนี้พี่บุ๋มก็คือผู้หญิงที่สุดในตอนนี้ และมีอะไรก็ปรึกษากันมากที่สุด”
“ทุกอย่างก็คงต้องดูกันไปเรื่อยๆ ผมไม่แคร์ว่าเขาจะเป็นหม้ายหรือมีพันธะอะไรต่างๆ ผมไม่ได้มองว่าเป็นข้อไม่ดีหรือเป็นเรื่องที่แย่ แต่เป็นเรื่องที่เราจะต้องระวังมากขึ้นด้วยซ้ำ ในการที่เราจะคุยกับใครหรือรู้สึกอะไรกับใคร คนที่เขาเคยเจ็บมาขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไปเล่นๆ กับเขา เพราะฉะนั้นถามว่า ผมเป็นอะไรกับพี่บุ๋มตอนนี้ก็คงจะตอบได้ว่า กำลังคุยๆ อยู่ แต่ในจุดที่ว่าจะเป็นแฟนมันไกลตรงนั้นมันคงอีกยาวไกลมาก เพราะยังไม่รู้เลยว่า จะคุยกันถึงตอนไหน”
“และอย่างที่บอกว่า เต๊ะไม่ได้แคร์ว่าเขาจะเป็นหม้ายแล้วจะคุยกันไม่ได้ เพียงแต่ถ้าเรามีคนรอบข้างที่อยู่ในสถานะแบบนี้ การที่เราให้กำลังใจเขาผมถือว่าเป็นเรื่องดีนะที่ทำให้คนๆ หนึ่งสามารถเดินต่อไปได้ ผมไม่เคยปิดกลั้นว่าคนที่เข้ามาหาเต๊ะจะเป็นใคร ทุกคนไม่มีใครอยากมีแผลหรอก ทุกคนอยากมีครอบครัวที่เพอร์เฟค พ่อผมก็ไม่ได้ว่า เขาก็ยังพูดเลยว่าดูข่าวลูกบุ๋มด้วยนะ วันที่ไปกาญจน์พ่อก็พาไปเที่ยวน้ำตกกัน ไปกัน 20 กว่าคน”
“ส่วนกับข่าวที่ว่าเขากำลังพยายามง้อคุณวี(วีระพงศ์ พิพิธสุขสันต์) ผมก็รู้สึกดีนะครับ ถ้าเกิดต่างคนต่างมีทิฐิมีความผิดพลาด ผมก็เห็นด้วยที่เขาจะกลับมาคุยกัน อย่างน้อยก็ได้กลับมาเป็นพ่อแม่ของน้องอันดามันก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ ส่วนตัวผมก็เป็นเพื่อนเป็นกำลังใจให้ได้เหมือนเดิม”
แต่บุ๋มประกาศเลิกง้อ “วี” แล้ว และกำลังคบกับ “เต๊ะ” อยู่
“ก็ถ้ามันเป็นแบบนั้นก็อยู่นอกเหนือคอนโทรลของเต๊ะแล้ว เต๊ะว่าทุกคนก็ต่างให้โอกาสกันแล้ว แต่ถ้าฟีดแบคที่เขาทำไปมันกลับมาในรูปแบบไม่เหมือนกับที่เขาคาดหวัง เขาก็คงไม่ได้ยินดีเท่าไหร่แต่ว่าการที่เต๊ะกับพี่บุ๋มสนิทกันเป็นเพื่อนกันก็ไม่ใช่เรื่องแย่”
“ความสัมพันธ์ตอนนี้กับพี่บุ๋มค่อนข้างแฮบปี้เพราะเราคุยกันรู้เรื่อง แต่ห่วงอย่างเดียวคือ เขามาคุยกับเต๊ะแล้วจะเป็นปัญหาเรื่องงานกับเขาเปล่า เพราะผมมันโคตรชัดเจนเลย(หัวเราะ) ก็ห่วงว่าเขาจะตกงานหรือเปล่า”
“แต่ว่าในกระแสที่คนพันธมิตรจะมองเขายังไงก็คงจะห้ามไม่ได้ แต่เต๊ะจะบอกว่า ในส่วนของเต๊ะยังเหมือนเดิมอยู่แล้ว แต่ถ้าจะมีคนมาบอกว่าอย่าไปคุยกับคนๆ นี้นะ เต๊ะอยากจะบอกว่า เต๊ะเป็นคนที่เข้าใจมากที่สุดว่าใครอยู่ตรงจุดไหน เพียงแต่ว่าพูดอะไรมากออกไปมันจะมีผลกระทบกับตัวเขา และคนๆ เดียวก็อาจจะกระทบกับหลายๆ คนได้ เพราะเขาก็มีคนจะต้องดูแลอยู่หลายคน”