โดย : อภินันท์ บุญเรืองพะเนา
มาอีกแล้วครับท่าน!!... “ฮูลีอาน เฮอร์นานเดซ” ผู้กำกับสัญชาติเม็กซิกันขวัญใจชาวเกย์หลายๆ คน กับผลงานเรื่องที่สอง Broken Sky ที่ใครๆ ก็ดูได้ แม้ว่าจะไม่ใช่เกย์ เพราะหากตัดเรื่อง “เกย์” หรือ “ไม่เกย์” ออกไปก่อน จะเห็นว่า สารที่หนังเรื่องนี้กำลังสื่อกับผู้ชมก็คือ เรื่องราวความรักดีๆ ที่มีทั้งมุมหวานและมุมเศร้าคละเคล้ากันไป ซึ่งพร้อมจะเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คน ไม่ว่าคุณจะสังกัดเพศเกย์หรือเพศไหนก็ตามที
อย่างไรก็ดี ก่อนอื่น คงต้องยอมรับครับว่า เฮอร์นานเดซคนนี้นับเป็นคนทำหนังระดับมือรางวัลขนานแท้ เพราะนับตั้งแต่ปล่อยผลงานชิ้นแรกอย่าง A Thousand Clouds of Peace ออกสู่สายตาคนดูเมื่อปี 2003 หนังเรื่องนั้นก็สามารถคว้ารางวัลหนังยอดเยี่ยม (สายหนังเกย์-เลสเบี้ยน) จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองเบอร์ลินมาครองได้สำเร็จ ในขณะที่ Broken Sky ก็ไม่ยอมน้อยหน้า เพราะหนังก็ไปคว้ารางวัลหนังเกย์ยอดเยี่ยมมาเช่นกัน เพียงแต่ต่างสถานที่ คือจากเทศกาลหนังเกย์และเลสเบี้ยน เมืองโตริโน่
กับผลงานทั้งสองชิ้นที่ผ่านมา เราจะเห็นว่า จุดเด่นของหนังในแบบเฮอร์นานเดซก็คือความเรียบง่ายทั้งของเรื่องราวและวิธีการเล่าเรื่องที่ไม่แพรวพราวหวือหวาอะไรเลย แต่จะไปเน้นที่ภาวะอารมณ์ความรู้สึกสุขทุกข์ของตัวละครผ่านบรรยากาศที่ดูเงียบๆ เหงาๆ ตามสูตรของหนังพูดน้อย (แน่นอนว่า คนที่ชอบดูหนังซึ่งเดินเรื่องเร็วๆ และต้องมีบทพูดเยอะๆ ก็อาจจะไม่ชอบผลงานของเฮอร์นานเดซ เท่าๆ กับคนที่แอนตี้เกย์ซึ่งก็คงเบือนหน้าหนีตั้งแต่รู้ว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับชายรักชายแล้ว จริงไหม??)
มากไปกว่านั้น ผมยังเห็นว่า อารมณ์ส่วนใหญ่ในหนังของเฮอร์นานเดซนั้นมี Sense ของความโรแมนติกในอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูง แต่ก็เป็นความโรแมนติกในแบบที่ผมชอบที่จะเรียกว่า “โรแมนติกเจ็บปวด” คือถึงแม้จะดูงดงามชวนฝัน แต่ก็ผสมผสานด้วยความทุกข์เศร้าร้าวลึกอย่างถึงที่สุดไว้ด้วยในขณะเดียวกัน...
ด้วยเนื้อเรื่องที่สุดแสนจะเรียบง่าย Broken Sky (หรือ El Cielo Dividido) พาผู้ชมไปมองดูชีวิตรักของหนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย 2 คน คือ “เจอราโด้” กับ “โฮนัส” ที่เริ่มต้นอย่างงดงามชวนเคลิบเคลิ้ม ก่อนที่บางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้นซึ่งเป็นเสมือน “บททดสอบ” ความรักที่พวกเขามีให้แก่กันว่ามันจริงแท้แค่ไหน?
เหมือนผลงานเรื่องที่ผ่านมาของเฮอร์นานเดซ ผมคิดว่า ทั้งผมและผู้ชมอีกหลายๆ คนน่าจะรู้สึกมีความสุขมากที่สุดกับช่วงเวลาประมาณ 30 นาทีแรกของหนัง เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นไป หนังจะเริ่มพาตัวเองเดินเข้าสู่โซนแห่งความเศร้าและดิ่งลึกสู่บรรยากาศที่หม่นหมองอย่างถึงที่สุด ราวกับจะรีดเค้นเอาน้ำตาจากคนดูให้ได้ยังไงยังงั้น
และที่สำคัญ ดูเหมือนว่าในเรื่องนี้เฮอร์นานเดซจะเพิ่มขีดความ hurt ให้เข้มข้นขึ้นอีกหลายช่วงตัว เพราะในขณะที่ A Thousand Clouds of Peace พูดถึงความเจ็บปวดแบบหนึ่งซึ่งเกิดจากการที่คนรักหลบลี้หนีหน้าโดยไม่ล่ำลาบอกกล่าว แต่ Broken Sky กลับดูปวดร้าวยิ่งกว่า เพราะมันถึงว่า ถึงแม้ “ร่างกาย” ของคนรักจะอยู่ในอ้อมกอดของเราก็จริง แต่ทว่าในใจของเขานั้น กลับนึกไปถึงใครอื่นอีกคน (ซึ่งมันก็คือการนอกใจดีๆ นี่เอง)
ไม่ว่าจะอย่างไร ผมเห็นว่า ในส่วนของเนื้อหา หนังยังมีจุดบกพร่องอยู่บ้างในเรื่องความสมจริง (Realistic) และความเป็นไปได้ (Possibility) เพราะดูๆ ไปมันก็ค่อนข้างจะทำใจเชื่อได้ยากว่า คนคนหนึ่งจะเลิกแฮปปี้กับคนรักของตัวเองง่ายดายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร คือเพราะเหตุผลแค่ว่า ไปเห็นคนอีกคนโดนใจมากกว่าเท่านั้นหรือ? เพราะอะไร ตัวละครซึ่งดูเหมือนจะเข้าอกเข้าใจในรักมากที่สุด แต่พอถึงจังหวะหนึ่ง เขากลับละทิ้งคนรักเก่าได้อย่างเย็นชาขนาดนั้น (ไร้หัวใจอย่างที่สุด)
แต่เอาล่ะ ถ้าจะคิดว่านี่เป็นภาพสะท้อนถึงความงี่เง่าของคนเราก็ได้เช่นกัน เพราะใครล่ะจะปฏิเสธว่า โลกนี้ไม่ได้มีคนแบบที่...หลงใหลคนอื่นเพียงเพราะเรื่องรูปร่างหน้าตา??
ขณะเดียวกัน เมื่อคิดถึงถ้อยคำคลาสสิกที่หนังหยิบยกมาเอ่ยอ้างว่า หญิงชายเราเกิดมาต่างก็ต้องเดินทางตามหา “ชิ้นส่วนที่หายไป” (The Missing Piece) เพื่อมาเติมตัวเองให้เต็ม ผมถือว่าเนื้อหาที่ว่าบกพร่องนั้นก็พอให้อภัยได้ เพราะเข้าใจว่า ประเด็นหนึ่งซึ่งหนังพยายามจะบอกก็คือ หากไม่ใช่ “มิสเตอร์ไรท์” ตัวจริง ก็ยากยิ่งที่คนสองคนจะอยู่ร่วมกันได้ตลอดไป และนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งซึ่งทำให้เกย์หนุ่มดิ้นรนไขว่คว้าหารักในแบบที่ตัวเองคิดว่าดี (คนในโลกของเราส่วนมากก็เป็นแบบนี้ มิใช่หรือ?)
มองดูที่กลวิธีการดำเนินเรื่อง Broken Sky เดินไปข้างหน้าด้วยลีลาเนิบช้า เรียบๆ เรื่อยๆ (ชนิดที่นับญาติกันได้สบายๆ กับหนังทุกๆ เรื่องของเจ้ย-อภิชาติพงษ์ วีระเศรษฐกุล) มีการใช้เนื้อเพลงเป็นตัวสื่อเนื้อหาและภาวะอารมณ์ความนึกคิดของตัวละครในหลายช่วงหลายตอน ขณะที่ความคิดสร้างสรรค์เชิงทดลองอีกอย่างที่เราจะเห็นได้เด่นชัดก็คือ การที่เฮอร์นานเดซแทบไม่ใส่บทพูดอะไรในหนังเลย และบทพูดเท่าที่มีก็ไม่ได้สื่อสะท้อนถึงสิ่งที่เป็นเนื้อหาสาระอะไรเลยสักนิด แต่หันไปใช้บริการบทบรรยายแทน ด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงแห่งการบรรยายที่ให้ความรู้สึกคล้ายๆ กับว่ากำลังนั่งฟังการร่ายบทกวีที่สุขุมละเมียดละไม ขณะเดียวกัน แสงเงาที่ดูอึมครึมทึมเทาในหลายๆ ฉากก็บอกถึง “หัวใจที่ไม่ชัดเจน” ของตัวละครได้เป็นอย่างดี
ว่ากันอย่างถึงที่สุด ถ้าจะให้เปรียบเทียบระหว่างงานเก่ากับงานใหม่ ผมว่า A Thousand Clouds of Peace และ Broken Sky ต่างก็เป็นหนังโรแมนติกเหงาๆ เศร้าๆ งามๆ ที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งซึ่งผมอยากตั้งข้อสังเกตก็คือ ความยาวของ Broken Sky ที่ลากยาวไปเกือบๆ สองชั่วโมงครึ่ง ซึ่งถือว่ายาวเกินไปสำหรับหนังที่มีเนื้อหาไม่มากอย่างเรื่องนี้ เข้าใจนะครับว่า ผู้กำกับเขาคงต้องการให้คนดูค่อยๆ ละเลียดอารมณ์ของเรื่องราวไปเรื่อยๆ เพียงแต่บางที มันก็อาจจะกลายเป็นความน่าเบื่อไปได้เหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ในผลงานเรื่องแรกของเฮอร์นานเดซ เราจะเห็นครับว่า ผู้กำกับชาวเม็กซิกันผู้นี้เป็นคนที่มีทักษะในการพูดจาหลักแหลมพอตัว จากบทสนทนาหลายๆ ประโยคที่คมคายจับใจ แต่ก็ฟังดูปวดร้าวบาดลึกอยู่ในที ซึ่งกระจายอยู่ตลอดทั้งเรื่อง เช่นนี้ ผมจึงเห็นว่า เฮอร์นานเดซเขาน่าจะเหมาะมากกว่ากับหนังที่จำเป็นต้องพึ่งพาบทพูดบ้าง เพราะหนังดีๆ ไม่จำเป็นต้อง “พูดน้อย” เสมอไป และไดอะล็อกดีๆ บางที ก็เป็นตัวช่วยอีกตัวหนึ่งซึ่งดึงดูดคนดูให้มีอารมณ์ร่วมอยู่กับหนังไปจนตลอดรอดฝั่งได้เช่นกัน (น่าแปลกใจที่วงการหนังสั้นบ้านเราส่วนหนึ่งก็มีเอียงไปทิศทางนี้ค่อนข้างเยอะแล้ว คือทำหนังให้เงียบเข้าไว้แบบเจ้ย ไม่รู้เพราะคิดว่าความเงียบมันคือ “อาร์ต” หรือ “แนว” หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ผมว่า หนังดีๆ ไม่ได้วัดกันที่ “พูดน้อย” หรือ “พูดมาก” แน่นอน อย่างหนังของวู้ดดี้ อัลเลน ก็พูดมากเป็นต่อยหอย แต่ใครล่ะจะกล้าพูดว่านั่นคือหนังด้อย และที่สำคัญ ต่อให้ “รูปแบบ” ทางศิลปะจะต่ำต้อยหรือเลอเลิศแค่ไหน ที่สุดแล้ว คำถามที่หนังแต่ละเรื่องต้องตอบให้ได้ก็คือ มันสามารถถ่ายทอดเนื้อสารที่ตัวเองต้องการสื่อได้ครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่อย่างไร)
และก็มาถึงคำถามสำคัญที่หลายๆ คนถามไถ่ผมอยู่เรื่อยๆ ครับว่า ทำไมหนังเกย์จึงชอบมีฉากเซ็กซ์ๆ หรือนำเสนอแต่เนื้อหาที่หดหู่หม่นหมอง? (แน่นอนที่สุด Broken Sky มีครบทั้งสองอย่าง) ซึ่งจริงๆ ผมว่าคงไม่ใช่เรื่อง “ชอบมี” หรือ “ไม่ชอบมี” หรอกครับ แต่น่าจะเป็นเรื่องของความตั้งใจของผู้กำกับแต่ละคนมากกว่าว่าเขาต้องการจะนำเสนอเนื้อหาแบบไหน ถ้าจำไม่ผิด ก็เคยมีหนังเกย์อีกนับสิบๆ เรื่องที่เข้ามาฉายในบ้านเรา ซึ่งเป็นหนังเกย์ในแนวที่ดูสนุกๆ เช่น Go!Go!G-Boy หรือแม้กระทั่ง Formula 17 อันโด่งดัง ดังนั้น ผมว่า มองเป็นเรื่องๆ ไปจะดีกว่า
Broken Sky ก็เช่นเดียวกัน คือมันอาจจะเป็นหนึ่งในหนังเกย์หลายๆ เรื่องที่ไม่สนุก (ในความหมายของความบันเทิง) แต่ถ้าดูจากเนื้อหา ผมว่ามันก็ไปได้ไกลจนสุดทางอย่างที่ผู้กำกับเขาอยากจะให้เป็น สิ่งที่คนดูจะได้รับ จึงไม่ใช่ความสนุกสนานในแบบ Go!Go!G-Boy แต่จะเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ในการดูหนัง (แน่นอนครับ พอพูดคำว่าหนัง มันก็มีมากมายหลายแบบ ไม่ใช่แค่ตลก ผี หรือแอ็กชั่น) โดยประสบการณ์ใหม่ที่ว่านี้ อย่างน้อยๆ ก็คือการดำเนินเรื่องที่ฉีกขนบออกไปจากสูตรสำเร็จเดิมๆ
เหนืออื่นใด ถ้าคุณกำลังมองหาหนังรักหวานๆ เศร้าๆ ดูสักเรื่อง Broken Sky ก็คือทางเลือกหนึ่งซึ่งไม่น่าจะทำให้ผิดหวัง แต่ก็อย่างที่รู้กันครับว่า หลายๆ คนอาจจำเป็นต้องวางอคติบางอย่างไว้นอกโรงหนังเสียก่อน ถูกต้องไหม?
*** ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายเฉพาะที่โรงหนังเฮาส์ อาร์ซีเอ แห่งเดียวเท่านั้น