นอกจาก “กิ๊บ (นามสมมติ)” แล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่า “นายใหญ่” ยังมีแหล่งบำบัดความใคร่อีกมากหน้าหลายตา แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะผ่านแล้วก็ผ่านไป ที่ติดอกติดใจเสมือนหนึ่งต้องมนตราราวท้าวยศวิมลต้องมนต์พระนางจันทา มเหสีฝ่ายซ้ายมิปานนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า “กุหลาบ” เป็นนามสมมติแห่งหญิงผู้นั้น แม้จะได้นามกุหลาบ แต่ก็มิได้เลอโฉมแต่ประการใด ตรงกันข้าม กลับเป็นหญิงสาวหน้าตาธรรมดา ซ้ำผิวพรรณ ยังตรงกันข้ามกับบ้านใหญ่เข้าทำนอง “ตัวดำ ร่างบึก แต่มากด้วยลีลา” เธอจึงได้นามกรว่า “กุหลาบดำ” ตามท้องเรื่อง
ปัจจุบัน “กุหลาบดำ” เป็นข้าราชการหลายซี บิดาก็เคยมีตำแหน่งเป็นหน้าตา เป็นตัวแทนการเจรจาระดับชาติ อีกประเด็นสำคัญที่ “กุหลาบดำ” ต้องตาต้องใจ “นายใหญ่” ก็ด้วยหน้าตาไปละม้ายคล้ายคนรักเก่าในอดีตของ “นายใหญ่” สมัยเมื่อครั้งเป็นวัยรุ่นนั่นเอง แต่คนรักเก่าครั้งนั้นจะเป็นรักแรก-แรกรัก หรือไม่ มิอาจคาดเดาได้ รู้แต่ว่า คนรักเก่าคนนั้นไม่ใช่บ้านใหญ่ในปัจจุบัน ความประทับใจตรงจุดนี้เอง ส่งผลให้ “กุหลาบดำ” เป็นที่โปรดปรานยิ่งนัก
แม้ว่า “นายใหญ่” จะมีตำแหน่งใหญ่โต แต่เวลาที่ต้องการออกนอกลู่นอกทางแล้ว “นายใหญ่” จะใช้กลอุบาย “ธรรมดาๆ” ที่หลายคนคาดไม่ถึง ด้วยการฉากหลบออกด้านหลังไปนั่งรถคันเล็กๆ ไปเดินตามห้าง ไปกินข้าวตามร้านต่างๆ อย่างคนธรรมดา ซึ่งทำให้ผู้ที่พบเห็นไม่แน่ใจ และมักตั้งคำถามกับตัวเองหรือคนรอบข้างเสมอว่า “ไม่ใช่มั้ง-ไม่น่าใช่นะ ระดับนี้แล้ว-คงไม่น่า-ถ้าใช่ คงไม่มาอย่างนี้หรอก” ฯลฯ
ใครจะรู้บ้างว่า “นายใหญ่” คนนี้แหละ ชอบใช้รถคันเล็กๆ ที่คนไม่สงสัย บางครั้งลงทุนไปต่อแท็กซี่ ที่น่าตกใจจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ไม่ได้ห้ามและบังคับให้เชื่อ สถานที่ที่ “นายใหญ่” ชอบเป็นชีวิตจิตใจ คือ“ม่านรูด”!!! จะด้วยเหตุผลกลใด หรือจะชอบกระจกรอบห้อง หรือ ฝ้า หรือ เพดาน ทว่าหลากลีลาของกุหลาบดำจะเผ็ดร้อนเร้าใจคล้าย“โรส แห่งไททานิกในรถโบราณ”ด้วยหรือไม่นั้น ยากแท้หยั่งถึง
นอกเหนือจากนั่งรถแท็กซี่เข้าโมเต็ลแล้ว เวลาเดินทางไปยังต่างจังหวัด “นายใหญ่” มักจะไม่ชอบนั่งชั้นเฟิร์สคลาส แต่มักชอบนั่งชั้นธรรมดาๆ หรือหนักสุดถึงขั้นลงทุนนั่ง "เที่ยวบินโลว์คอส" เสียด้วยซ้ำ เนื่องจากต้องการแนบชิดกับ “กุหลาบดำ” ให้มากที่สุด และเพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสังเกตมากนักนั่นเอง เพราะขณะนั้น “นายใหญ่” ยังไม่เป็นที่รู้จักของสาธารณชนมากนัก
เรื่องกลกามของ “นายใหญ่” ใช่จะไม่รู้ถึงหูของ “พี่ใหญ่” ที่ได้ไว้วางใจมอบน้องสาวไว้ให้ในอ้อมอก ด้วยหวังให้ช่วยสร้างครอบครัวที่อบอุ่นขึ้น แต่แทนที่ “พี่ใหญ่” จะว่ากล่าวตักเตือน เพื่อใม่ให้กระทำการนอกใจน้องสาว กลับบอกให้ระวังตัว ให้คอยป้องกันพวกปากหอยปากปูอย่าได้เข้ามาล่วงรู้กลกามชั่วโดยเด็ดขาด! หากใครล่วงรู้ก็ต้องดำเนินการกลั่นแกล้งโยกย้ายให้พ้นเส้นทาง เรื่องเหล่านี้จึงถูกซุกอยู่ใต้พรม ไม่มีใครกล้าปริปาก หรือบังอาจรื้อขึ้นมาเป็นเครื่องต่อรองได้
ในทางตรงกันข้าม ยังมีผู้ที่รู้เรื่องที่ซุกอยู่ใต้พรม และกลับนำเรื่องเหล่านี้มาเป็นประโยชน์ใส่ตนเอง ด้วยการตั้งตนเป็น“แม่เล้า”คอยสนองตัณหาให้ “นายใหญ่” เสียเอง ซึ่งปัจจุบัน “แม่เล้า” คนนี้ก็ได้ดิบได้ดีเกินกว่าข้าราชการธรรมดาทั่วไป เป็นข้าราชการใหญ่ในสังกัด คอยจัดหาเด็กให้นายใหญ่เสพสุข คอยสับรางไม่ให้นายใหญ่ต้องเผชิญหน้ากับบ้านใหญ่ ซ้ำยังเป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดในทางพฤตินัยในการโยกย้ายข้าราชการที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามให้พ้นเส้นทางเสียด้วย รวมทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการจัดเก็บ ผลประโยชน์ต่างๆให้กับผู้เป็นนาย
เรื่องนี้เป็นที่รู้กันธรรมดาทั่วไปว่า เมื่อเวลา “แม่เล้า” ต้องการที่จะพูดคุยกับผู้เป็นนาย ภาพที่ชินตากันจะปรากฏเป็นภาพที่ “แม่เล้า” กระซิบกระซาบข้างหู “นายใหญ่” หรือขนาดบางครั้ง ปลายจมูกเกือบชนกันด้วยซ้ำ แต่นายใหญ่จะมีอะไรกับตัวแม่เล้าด้วยหรือไม่นั้น ไม่มีใครยืนยันได้ เว้นเสียแต่ว่านายใหญ่จะชอบลองของแปลก!
“แม่เล้า” ผู้นี้ เป็นผู้จงรักภักดีต่อนายใหญ่ยิ่งนัก ใครที่ไม่ใช่พวกนายใหญ่ หรือพวกของตน หรือใครที่รับรู้เรื่องใต้พรมของนายใหญ่ หล่อนก็จะดำเนินการในทุกรูปแบบเพื่อย้ายให้พ้นวงโคจรอุบาทว์ไปเสีย เป็นการเปิดทางสะดวกในการทำมาหากินของหล่อน และนายใหญ่ของหล่อนเอง
เรื่องเช่นนี้ แม้กฎบ้านกบิลเมืองจะไม่สามารถดำเนินการเอาผิดได้ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดจริยธรรมอย่างมหันต์ เราคงต้องเฝ้าภาวนาขอให้ “กฎแห่งกรรม” ปรากฏผลอย่างเร็วพลันเท่านั้น !!!
มาวมญฺเญถ ปาปสฺส น มตฺตํ อาคมิสฺสติ = อย่าดูหมิ่นความชั่วว่าเล็กน้อย คงจักไม่มีผลมาถึงตัว