xs
xsm
sm
md
lg

15 หนังลืมไม่ลงของ "พอล นิวแมน" (2)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จะมีนักแสดงซักกี่คนที่สามารถฝากผลงานอันทรงคุณค่าเอาไว้ได้ทั้ง 6 ทศวรรษที่อยู่บนเส้นทางมายา เหมือนดัง "พอล นิวแมน" ดาราใหญ่ที่ลาโลกไปด้วยวัย 83 ปีด้วยโรคแทรกซ้อนจากมะเร็งปอด เพื่อเป็นสดุดีการจากไปของเขา ทาง Entertainment Weekly ได้จัดทำบทความเกี่ยวกับผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขา มาดูกันว่า 15 ผลงานที่ทรงคุณค่าที่นักแสดงผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ได้ฝากเอาไว้เป็นมรดกของโลกมีเรื่องอะไรกันบ้าง

FORT APACHE THE BRONX (1981)

เรื่องราวของคู่หูตำรวจผิวขาวที่เข้าไปดูแลในย่านเสื่อมโทรมที่ชุกชุมได้ด้วยยาเสพติดมากที่สุดของนิวยอร์ก ที่เลวร้ายขึ้นไปอีกเมื่อพวกเขาต้องรับมือกับเพื่อนร่วมกรมที่แสนฉ้อฉล เป็นพล็อตเรื่องที่ภายหลังถูกพัฒนาขึ้นให้สมจริงยิ่งขึ้นในซีรีส์อย่าง Hill Street Blues หรือ The Wire ในเรื่องที่นิวแมนรับบทเป็นตำรวจไอริชผู้เจนโลกที่แสดงได้เข้าขากันมากับ ราเชล ติโคติน ที่ว่ากันว่าเป็นสาวที่แสดงคู่กับนิวแมนได้เยี่ยมที่สุดตั้งแต่ แพตริเซีย นีล จากเรื่อง Hud เป็นต้นมา พร้อมกับฉากจบของเรื่องที่โชว์โทสะทางการแสดงของนิวแมนได้อย่างถึงแก่น

THE VERDICT (1982)

การแสดงที่ไม่อาจลืมเลือนของนิวแมนที่รับบทเป็นนายขี้เหล้าจากบอสตันที่อ่อนล้า กับโอกาสสุดท้ายในการรักษาวิญญาณของเขาจากการว่าความในคดีปฏิบัติโดยมิชอบตามกฏหมายในโรงพยาบาลอันยาวนาน ถือเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในครึ่งหลังทางอาชีพของเขา ในบทที่เขาดูสิ้นหวังและซีดเซียวกับเสียงพูดที่ห้าวต่ำ เป็นการแสดงที่เอาตัวเข้าแลกแบบที่อาจทำลายภาพลักษณ์ความเป็นหนุ่มที่มีเสน่ห์ของวงการใน 20 ปีที่ผ่านมา โรเจอร์ อีเบิร์ต นักวิจารณ์ชั้นแนวหน้าเคยกล่าวถึงการแสดงครั้งนี้เมื่อปี 1982 ว่า "มีหลายครั้งที่ดูเราเห็นความเหี่ยวย่นบนใบหน้าเขาและดวงตาของเขาก็ดูอ่อนล้ามากๆ จนทำให้เรารู้ว่าบทชายแก่ที่เขาจะเล่นในอีก 10 ปีข้างหน้าจะออกมาเช่นไร" เป็นต้นแบบให้กับซีรีส์แนวขึ้นโรงขึ้นศาลนำไปเลียนแบบกันนับไม่ถ้วน แต่การแสดงในผลงานลุ่มลึกของผู้กำกับ ซิดนีย์ ลูเม็ต และบทอันเฉียบแหลมของ เดวิด มาเม็ต ได้ทำให้มันเป็นการแสดงที่อยู่เหนือกาลเวลา จนทำให้เขาเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่ 6 ซึ่งเขากล่าวถึงการแสดงครั้งนั้นว่า "ในบรรดาการแสดงส่วนตัวที่ชมปลื้มมากที่สุด เรื่องนี้นำเรื่องอื่นไปหลายขุม"

THE COLOR OF MONEY (1986)

แฟสต์ เอ็ดดี เฟลสัน กลับมาอีกครั้งหลังจาก 25 ปีผ่านไป ที่แม้จะแก่ขึ้นแต่ก็เขี้ยวลาก ที่นอกจากผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี ได้ทำภาคต่อของ The Hustler ให้อยู่ในบรรยากาศของ 80 แต่บทของ ริชาร์ด ไพรส์ ได้เปิดโอกาสให้นิวแมนได้ละเลงระดับอันหลากหลายของความ ยโส ฉุนเฉียว กังวล และเหยีอดหยามที่มีต่อเด็กในคาถาของเขา (ทอม ครูส วัยกระเตาะ ผู้ที่นิวแมนเคยคัดตัวเขาให้มารับบทในหนังที่เขากำกับอย่าง Harry & Son) ให้กลายเป็นลูกศิษย์ผู้เก่งกาจอย่างที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ทำไม่ได้ ผลก็คือการคว้ารางวัลออสการ์มาครองได้เป็นผลสำเร็จ

MR. AND MRS. BRIDGE (1990)

การรับบทเป็น วอลเตอร์ บริดจ์ สามีและพ่อชาวมิดเวสเทิร์นผู้เรียบง่ายในยุค 30 จากเมืองแคนซัส ซิตี้ เป็นบทของชายที่ไม่รู้วิธีที่จะแสดงออกถึงอารมณ์ที่อยู่ภายใน ที่สำเร็จในเรื่องการงานแต่ต้องเตือนตัวเองเสมอไม่ให้ลืมจูบเมียที่แสนอุทิศตนและพูดคุยกับลูกๆ เขาเป็นชายที่ไม่เหมือนกับชายใดที่นิวแมนเคยรับเล่นมาก่อน (แม้ โจแอน วูดวาร์ด ภรรยาที่ร่วมแสดงในเรื่องนี้ด้วยกันจะบอกกับเขาในภายหลังว่า 'นั่นแหล่ะ ตัวคุณเลย') ที่แม้ความอ่อนโยนในบทจะถูกมองข้ามไป แต่การแสดงเป็นชาวมิดเวสเทิร์นที่เป็นตัวเขาเองในแบบที่ไม่ต้องแสร้งทำถือเป็นการแสดงที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในช่วงท้ายของเส้นทางอาชีพนักแสดงของเขา

NOBODY'S FOOL (1994)

การกลับมารับบทร่วมสมัยครั้งแรกในเกือบทศวรรษของนิวแมน ในเรื่องราววุ่นๆ สุดชวนหัวของ ซัลลี ชายนิวยอร์กผู้อยู่ช่วงสุดท้ายของวัยทองกลับปัญหาร้อยแปดของเขากับเพื่อนบ้านและความสัมพันธ์ที่กลับคืนมาของครอบครัว ที่นิวแมนได้มอบการแสดงอย่างเป็นธรรมชาติได้อย่างดีเยี่ยม (โดยเฉพาะกับเด็กที่เล่นเป็นหลานชาย ซึ่งเป็นครั้งแรกในการแสดงที่นิวแทนได้เข้าฉากกับเด็ก) ซึ่งการแสดงที่ยอดเยี่ยมในวัยเฉียด 70 ครั้งนี้สร้างความประทับใจต่อนักวิจารณ์มากๆ จนเป็นครั้งแรกที่เขาคว้ารางวัลจากสถาบัน New York Film Critics Circle และ National Society of Film Critics ได้สำเร็จ เช่นเดียวกับการเสนอชื่อข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่ 8

ROAD TO PERDITION (2002)

นิวแมนรับบทเป็น จอห์น รูนีย์ เจ้าพ่อแห่งชิคาโกในยุคเศรษฐกิจตกต่ำผู้สุขุมพอๆ กับการเป็นชายแก่ไอริชที่มีเสน่ห์และร้ายกาจ เป็นบทที่ตัวเขายอมรับว่า "เป็นบทที่วิเศษ เหมาะกับความเป็นสุภาพบุรุษในวัยขนาดผม" ที่แม้ว่าในผลงานของ แซม เมนเดส เรื่องนี้เขาจะปรากฏตัวออกมาไม่บ่อยนัก แต่นักแสดงชั้นครูอย่างเขาได้ใช้ทั้งทักษะเล็กๆ น้อยๆ, การแสดงที่ทำให้ตกตะลึง และความนิ่งเฉยที่แสนเย็นชา ในฉากที่รูนีย์ชั่งตวงความเป็นคนที่หลงเหลืออยู่ต่อระดับความเลวร้ายที่เขายินดีจะทำ เขาช่างดูตราตรึงในฉากที่เขาร่วมแสดงกับ ทอม แฮงส์ คู่ปรับที่เขารักเหมือนลูก กับ แดเนียล เคร็ก สารเลวที่เขาเป็นพ่อแท้ๆ เป็นผลงานการปรากฏตัวบนจอใหญ่ครั้งสุดท้ายของ พอล นิวแมน เช่นเดียวกับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่ 9 และครั้งสุดท้าย

EMPIRE FALLS (2005)

มินิซีรีส์ความยาว 4 ชั่วโมง ถือเป็นบทบาทการแสดงครั้งสุดท้ายของ พอล นิวแมน ที่เป็นเหมือนการกลับมาเยือนของเพื่อนเก่า ทั้งนักเขียนบท ริชาร์ด รุสโซ (Nobody's Fool, Twilight) กับนักแสดงอย่าง เอสเตล พาร์สันส์ (Rachel, Rachel) และ โรบิน ไรท์ เพนน์ (Message in a Bottle) และการแสดงครั้งสุดท้ายกับภรรยาของเขา โจแอน วูดวาร์ด (แต่ไม่ได้เข้าฉากด้วยกัน) ซึ่งบทเล็กๆ อย่างพ่อผู้เกียจคร้านของ เอ็ด แฮริส ในเรื่องนี้ส่งให้เขาคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ และยังเป็นการคว้ารางวัลเอ็มมีได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย

CARS (2006)

หลังจากที่เขาฉลองวันเกิดครบรอบ 80 ปีไปได้ไม่นาน นิวแมนก็ได้กล่าวถึงความปรารถนาที่จะกลับมาแสดงกับเพื่อนเก่าอย่าง โรเบิร์ต เรดฟอร์ด เพื่อเป็นการทิ้งทวนเส้นทางการแสดงของเขา แต่กลายเป็นว่าผลงานการพากย์ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและสนุกสนานของการ์ตูนดังจากค่าย Pixar เรื่องนี้กลับกลายเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของเขา ซึ่งนับว่าเป็นการทิ้งทวนวงการได้อย่างสมบูรณ์แบบที่เปิดโอกาสให้ความสามารถในการแสดงของเขาและสิ่งที่เขารักมากที่สุดอย่างรถยนตร์มาร่วมกันเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายเรื่องนี้

ในเดือนพ.ค. 2007 พอล นิวแมน ได้ประกาศข่าวการลาวงการของเขา โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากการสูญเสียความมั่นใจและแรงบันดาลใจที่กีดขวางเขาจากการทำงานในระดับที่ "ผมอยากจะทำได้...ซึ่งผลงานเรื่องนี้ถือเป็นการปิดฉากเส้นทางการแสดงของผม" และเป็นการอำลาวงการด้วยผลงานที่ทำรายได้มากที่สุดในอาชีพนักแสดงของเขาเช่นกัน

15 หนังลืมไม่ลงของ "พอล นิวแมน" (1)
เตรียมลา "พอล นิวแมน" ขอเล่นเรื่องสุดท้ายก่อนเกษียณ
"พอล นิวแมน" นักแสดงดังเสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็ง
กำลังโหลดความคิดเห็น