โดย : อภินันท์ บุญเรืองพะเนา
ไม่รู้เป็นความบังเอิญที่เข้าจังหวะลงล็อกกันพอดิบพอดีอะไรขนาดนั้น เพราะในขณะที่เสียงของผู้คนจำนวนหนึ่งในสังคมบ้านเราเอ่ยปากไถ่ถามกันเซ็งแซ่ถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนบางคน (คงไม่ต้องบอกนะครับว่าคนบางคนที่ว่านั้นเป็นใคร?) ในช่วงนี้ก็มีหนังถึง 2 เรื่องที่ผมเห็นว่า กำลังพูดถึงประเด็นคล้ายๆ กัน นั่นก็คือเรื่องของมาตรฐานทางศีลธรรมและจริยธรรมในสามัญสำนึกของมนุษย์แต่ละคน
ครับ หนังสองเรื่องที่ผมพูดถึง เป็นหนังฟอร์มเล็กๆ และได้เข้าฉายแค่ในโรงเล็กๆ (ลิโด้, สยาม) แต่เอาเถอะ หนังเรื่องหนึ่งจะดีหรือไม่ดี บางที ก็ไม่ได้อยู่ที่ฟอร์มเล็กหรือใหญ่อยู่แล้ว จริงไหม? และที่ผ่านๆ มา ความเป็นจริงก็ได้พิสูจน์ให้เราเห็นมานักต่อนักแล้วว่า หนังหลายต่อหลายเรื่องที่ทำท่าวางก้ามใหญ่โตมาแต่ไกลนั้น เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้ดีเด่สมคำคุยแต่อย่างใด (มีเรื่องไหนบ้างนั้น เชื่อว่า เราๆ ท่านๆ ก็คงพอจะรู้ๆ กันอยู่)
กลับมาที่หนังฟอร์มเล็กๆ 2 เรื่อง...เรื่องแรกคือ Reservation Road ซึ่งเป็นผลงานการกำกับของ “เทอร์รี่ จอร์จ” คนทำหนังที่แจ้งเกิดได้อย่างสวยงามจากผลงานดราม่าจริงจังอย่าง Hotel Rwanda เมื่อหลายปีก่อน และ Reservation Road ก็คืออีกหนึ่งชิ้นงานที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า เทอร์รี่ จอร์จ คนนี้เป็นคนทำหนังฝีมือดีอีกคนหนึ่งซึ่ง “เชื่อมือได้”
แน่นอนครับว่า Reservation Road อาจจะไม่ใช่หนังที่ “ดีโคตรๆ” ถึงขั้นที่ใครจะยกให้เป็นหนังสุดโปรดในดวงใจ แต่มันก็มีอะไรดีๆ หลายอย่างในตัวเองที่น่าพูดถึงอยู่พอสมควร ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ชั้นเชิงลีลาของเรื่องราวที่พลิกกลับไปกลับมา ชนิดที่เล่นเอาคนดูสับสนจนตัดสินใจไม่ได้ว่า ควรจะไปทางซ้ายหรือขวาดี
จะว่าไป Reservation Road ก็เหมือนภาพสะท้อนโลกแห่งความจริงที่ว่า ไม่มีอะไรที่ “ขาวล้วน” หรือ “ดำล้วน” เพราะมันมีสัดส่วนของทั้งสองสีผสมอยู่ด้วยกัน บางคนอาจจะบอกว่ามันเป็นโลกสีเทาๆ แต่หนังเรื่องนี้ก็พยายามชี้ให้เราได้เช่นกันว่า บางที มันก็เป็นเรื่องยากเอามากๆ ที่เราจะ “รัก” หรือ “เกลียด” ใครสักคนได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราได้ “รู้เห็น” ชีวิตและตัวตนของคนคนนั้นอย่างรอบด้านแล้ว
อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าประเด็นที่เป็นเสาหลักซึ่งหนังเรื่องนี้ต้องการบอกกับคนดูจริงๆ เป็นเรื่องของความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี เหมือนที่ตัวละครคนหนึ่งในหนังซึ่งเผลอพลั้งทำผิดไปและไม่กล้าสารภาพผิด แต่ก็ต้องถูกความรู้สึกผิดตามติดหลอกหลอนทุกย่างก้าวจนชีวิตอยู่ไม่เป็นสุขเพราะกลัวจะถูกจับได้
ชีวิตที่มีความผิดติดตัว ไม่มีวันได้อยู่อย่างปลอดโปร่งโล่งใจ คำถามง่ายๆ ธรรมดาๆ ที่คนทำผิดทุกๆ คนจะต้องตอบให้ได้ก็คือ เขาจะเลือกสารภาพความผิดบาปนั้นออกมา หรือรอเวลาให้สังคมสืบสาวค้นพบเอง ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนครับว่า ถ้า “มาตรฐานทางศีลธรรม” ในใจของคนทำผิดนั้นๆ ยังฟังก์ชั่นดีอยู่ เขาก็คงไม่ปล่อยให้สังคมเสียเวลาควานหาให้ยาก แต่ก็อีกนั่นแหละ เชื่อเถอะครับว่า คนทำผิด ร้อยทั้งร้อย ไม่ค่อยจะยอมรับผิดกันง่ายๆ หรอก ว่าไหม?
และที่เลวร้ายไปกว่านั้น หลายๆ รายยังดื้อด้านทนทานยิ่งกว่าห่วงหนาตราช้างซะอีกแน่ะ (อันนี้ไม่ได้จะแดกดันใครนะครับ แค่พูดให้ฟังเฉยๆ ว่ามันมีคนแบบนี้อยู่จริงๆ ด้วย พับผ่าสิ!!)
มาดูกันต่อที่หนังอีกเรื่องซึ่งเกี่ยวเนื่องกันอย่างชัดเจนในประเด็นเกี่ยวกับมาตรฐานทางศีลธรรมในใจของมนุษย์อย่าง In Bruges ที่เขียนบทและกำกับโดย “มาร์ติน แม็กโดแน็ก” ซึ่งถึงแม้จะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไรนักในหมู่คนดูหนังชาวไทย แต่เชื่อแน่ว่า หลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อของผู้กำกับคนนี้มาบ้างแล้วจากเวทีออสการ์เมื่อปี 2006 ที่ผลงานเรื่อง “Six Shooter” ของเขาได้รับรางวัลในสาขาภาพยนตร์สั้นประเภทไลฟ์แอ็กชั่นยอดเยี่ยม
บอกตามตรงครับว่า หนังเรื่องนี้เหนือความคาดหมายอย่างมากมาย เพราะถ้าวัดกันที่หน้าหนัง ทีแรก ผมคิดว่า In Bruges คงจะหนักไปในทางแอกชั่นเลือดกระฉูดท่วมจอ ไม่น่าจะหนีไปจากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อดูจากชื่อภาษาไทยที่ว่า “คู่นักฆ่าตะลุยมหานคร” ก็ยิ่งโน้มน้าวให้เกิดความรู้สึกล่วงหน้าไปว่า หนังคงจะเต็มไปด้วยฉากไล่ล่าตามฆ่ากันเลือดสาดเป็นแน่แท้ แต่พอได้ดูจริงๆ มันทำให้ผมต้องหันกลับมา “มอง” หนังเรื่องนี้ใหม่
ครับ ว่ากันอย่างตรงไปตรงมาที่สุด In Bruges ไม่อาจจะเรียกว่าเป็นหนังแอ็กชั่นได้เลย แม้จะมีฉากยิงกันให้เห็นบ้าง 4-5 ครั้ง แต่ฉากเหล่านี้ พูดได้เลยว่า นอกจากจะไม่ได้ตอบสนอง “อารมณ์ความมันส์” อะไรแล้ว ยังชวนให้รู้สึกน่าประหลาดใจมากยิ่งกว่า ขณะเดียวกัน ส่วนที่ดีที่สุดของ In Bruges ก็ไม่ได้อยู่ที่ฉากแอ็กชั่นอะไรพวกนั้น หากแต่เป็นประเด็นเนื้อหาซึ่งท้าทายต่อความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
และก็อย่างที่ผมเกริ่นไว้ในตอนต้นว่า ทั้ง Reservation Road และ In Bruges ต่างก็พูดในประเด็นที่คล้ายคลึงกัน แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็ยังมีสิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน อย่างน้อยที่สุดก็คือบรรยากาศและอารมณ์ของเรื่องราว เพราะในขณะที่เรื่องแรกดูจะเป็นหนังฮาร์ดคอร์ซีเรียสจริงจัง แต่เรื่องหลังกลับเดินไปข้างหน้าด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีอารมณ์ขันในลักษณะตลกร้าย (Black Comedy) นั้นคือเสน่ห์อย่างหนึ่งซึ่งทำให้หนังดูมีสีสันและไม่เครียดจนเกินไป และที่เด็ดยิ่งกว่าก็คือว่า มันเป็นตลกร้ายที่ขำไม่ออก ซ้ำมิหนำ ยังนำความเจ็บปวดเหลือประมาณมาให้ตัวละครซึ่งพบว่าสถานการณ์ต่างๆ ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของพวกเขา (ตลกแบบนี้ บางทีอาจจะเรียกว่าเป็น “ตลกสถานการณ์” ได้เหมือนกัน)
มองดูที่โครงสร้างเรื่องราว In Bruges เป็นหนังที่มีจุดเริ่มต้นอย่างง่ายๆ แล้วค่อยๆ หมุนเกลียวให้ซับซ้อนพันละวันพันละเกมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะก้าวไปสู่จุดพีคของ Conflict และจบลงอย่างน่าฉงนสนเท่ห์
โดยหลักๆ In Bruges พูดถึงมือปืนรับจ้างในกรุงลอนดอนสองคน “เรย์” (โคลิน ฟาร์เรล) กับ “เคน” (เบรนดัน กลีซัน) ซึ่งกำลังตกที่นั่งลำบากจากการปฏิบัติภารกิจที่ผิดพลาดอย่างรุนแรงจนถูกเจ้านายให้ใบแดงและส่งมาหลบซ่อนตัวที่เมืองบรูจส์ ประเทศเบลเยียม โดยไม่คาดคิดเลยว่า เมืองแห่งนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตและตัวตนของพวกเขาไปอย่างไม่มีวันเหมือนเดิม
ต้องยอมรับอย่างหนึ่งครับว่า จุดเด่นของ In Bruges นอกเหนือไปจากเรื่องราวอันยอกย้อนที่มีการ “พลิกเปลี่ยน” ไปเรื่อยๆ อย่างคาดเดาได้ยากแล้ว อีกส่วนหนึ่งซึ่งถือเป็นความดีของหนังก็คือ การดีไซน์ตัวละครให้มีลักษณะอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดหลากแง่หลายมุม และพลิกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ได้ตลอดเวลา ไม่ต่างจากสถานการณ์ในเรื่อง ตัวละครลักษณะนี้ หลายๆ คนอาจจะเรียกว่า Round Character ที่มีมิติหลากหลายอยู่ในตัวเอง ซึ่งตรงกันข้ามกับพวก Stereotype ที่ถ้าดีก็ดีไปเลย แต่ถ้าเลวก็เลวแบบสุดๆ
ดังที่เราจะได้เห็นว่า ถึงแม้ตัวละครที่พูดถึงทั้งสองคนจะเป็นนักฆ่า แต่ทว่าในส่วนลึกๆ ความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดีของพวกเขาก็ยังไม่ตายไปเสียทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนุ่มนักฆ่าอารมณ์อ่อนไหวอย่างเรย์นั้น เมื่อเขา “พลาด” ไปแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถลบล้างความรู้สึกผิดออกไปจากจิตใจได้เลย ขณะที่เพื่อนคู่หูรุ่นพี่อย่างเคนก็มีธาตุแห่งความอ่อนโยนละเมียดละไมอยู่ในใจไม่น้อยไปกว่าบรรดานักบวชทั้งหลาย
พูดง่ายๆ ก็คือว่า เขาทั้งสองต่างก็มี “มาตรฐานทางใจ” ไม่ต่างจากคนดีๆ ปกติทั่วไป เพียงแต่ที่ผ่านมา มันอาจจะยังไม่ฟังก์ชั่นอย่างที่ควรจะเป็น ต่อเมื่อพวกเขาได้พบเห็นหลายสิ่งหลายอย่างในเมืองบรูจส์แล้ว ด้านดีๆ ที่เคยหลับใหลอยู่ในใจของพวกเขาก็ดูเหมือนจะถูกปลุกให้ลุกขึ้นมาทำหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง (เห็นหนุ่มเรย์เดินเงอะๆ งะๆ งงๆ ในความแปลกใหม่ของเมืองบรูจส์แล้ว ทำให้นึกถึง “แฮร์รี่” คนอเมริกันซึ่งไป “หลับๆ ตื่นๆ” อยู่ในประเทศญี่ปุ่น ในหนังอีกเรื่องอย่าง Lost in translation)
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยครับว่า เพราะอะไร หนังถึงเลือกใช้ชื่อเมืองมาตั้งเป็นชื่อเรื่อง เพราะถ้าลองพิจารณาดูดีๆ เราจะเห็นว่า สภาพแวดล้อมตลอดจนบรรยากาศของเมืองบรูจส์แห่งนี้มีส่วนสำคัญยิ่งต่อ “ความเปลี่ยนแปลง” ของมือสังหารทั้งสองอย่างมากมาย อย่างน้อยที่สุด ภาพวาดขุมนรกในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งก็ทำให้เรย์รู้สึกหวั่นเกรงต่อผลกรรมของตนเองจนจิตใจอยู่ไม่เป็นสุข ส่วนเคนก็รู้สึกถึงความงดงามของโลกและชีวิตมากยิ่งขึ้นจากการได้ทัศนาทัศนียภาพอันรื่นรมย์ของเมืองบรูจส์ (ไม่แปลกใจอีกเช่นกันถ้าหนังเรื่องนี้จะทำให้หลายๆ คนอยากแพ็กกระเป๋าไปเยือนเมืองแห่งนี้)
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าหนังจะพาเราเดินทางไปไกลแค่ไหนในแง่ของเรื่องราว แต่บทลงท้าย ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวงกลับมาจบลงอย่างเรียบง่ายด้วยปรัชญาพื้นฐานของมือปืนทั่วๆ ไป นั่นก็คือ มือปืนที่แท้จริงต้องรักษาไว้ซึ่งสปิริตและเกียรติศักดิ์ศรีของตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากทำผิดก็ต้องยินดียอมรับผิด และไม่ต้องรอให้ใครมาโห่ไล่หรือลงโทษ แต่ชิงลงโทษตัวเองก่อนเลย
และนี่ก็คือเหตุผลข้อหนึ่งซึ่งทำให้ In Bruges มีฉากปิดท้ายที่น่าฉงนสนเท่ห์และสุดแสนแปลกประหลาด ชนิดที่คนดูคาดไม่ถึง !!