xs
xsm
sm
md
lg

“ปลื้ม” กลัวแพ้! ลังเลลงผู้ว่าฯ กทม.หลังโพลชี้ “อภิรักษ์” ชนะขาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ม.ล.ปลื้ม
โพลชี้ “อภิรักษ์” คะแนนนำท่วมท้น ทำ “ปลื้ม” ไม่กล้าเสี่ยงลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.เหตุกลัวแพ้ เจ้าตัวอ้าง ไม่อยากเลือกข้างเข้าสังกัดพรรคการเมือง เพราะไม่อยากมีศัตรูเพิ่มขึ้น ไม่เถียงหากคนจะมองว่ายอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ พร้อมบอกปัญหาบ้านเมืองต้องแก้ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ

ติดป้ายแนะตัวเอิกเกริกในฐานะผู้ลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมาหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) แถมยังร่างนโยบาย 19 ข้อ มาเรียกคะแนนเสียงจากคนกรุง แต่พอสอบถามความคืบหน้าล่าสุดกับ “ปลื้ม ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล” เจ้าตัวกลับตอบไม่เต็มเสียงว่าจะลงสมัครดีหรือไม่ ทั้งที่วันที่ 1 ก.ย.ที่จะถึงนี้ ต้องไปยื่นใบสมัครแล้ว

โดยเจ้าตัวให้เหตุผลอย่างตรงไปตรงมา ว่า ปอดกับผลโพลที่ระบุ “อภิรักษ์ โกษะโยธิน” ผู้ว่าฯคนปัจจุบัน มีคะแนนทิ้งขาด ในขณะที่ตนมาที่ 2 และคงไม่มีประโยชน์หากลงแล้วพ่ายแพ้ ก่อนจะอ้างเหตุไม่เลือกลงในนามพรรคการเมืองใด เนื่องจากกลัวผลกระทบระยะยาว

“คุณอภิรักษ์ หมดวาระวันที่ 28 ส.ค.หาเสียงจริงๆ ก็จะเริ่มวันที่ 29 ซึ่งถ้าผมจะลงวันที่ 29 ผมต้องหยุดออกสื่อแล้ว เพราะฉะนั้นถ้ายังเห็นผมในสื่อก็แสดงว่าผมไม่ลง แต่ถ้าหายไปแสดงว่าผมลง หลักๆ ผมได้ส่งสารไปแล้วว่าผมต้องการที่จะทำอะไรบ้าง และผมเป็นใคร ซึ่งคิดว่าคนกรุงเทพก็คงจะรู้จักปลื้มระดับหนึ่งแล้ว”

“แต่ทีนี้เสียงตอบรับจากโพลที่ออกมา ระบุว่า ทางคุณอภิรักษ์มีคะแนนนำค่อนข้างห่าง ประมาณ 35-40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผมมีประมาณ 16-17 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้าจะดันจริงๆ ให้ถึงสัก 20 เปอร์เซ็นต์ ก็น่าจะทำได้ แต่ในความเป็นจริงถ้าผมลุยของผมคนเดียว มันก็คงมีโอกาสยากที่จะแซงคุณอภิรักษ์ เพราะฉะนั้นเรามีความเป็นจริงที่มันเป็นอย่างนี้ แต่จริงๆ ก็ไม่ได้อยู่เหนือการคาดการณ์ ปกติคนที่เป็นผู้ว่าฯมาจะมีฐานเสียงอยู่แล้ว และมีผลงานที่เคยทำมา”

“แต่ก็ต้องดูว่าฐานเสียงที่เหลืออยู่จะรวบรวมเป็นก้อนใหญ่มากพอที่จะโค่นคุณอภิรักษ์ได้หรือไม่ สมมติฐานเสียงตัวแทนของพลังประชาชนก็อาจจะมีคนของเขา ซึ่งผมประเมินว่าอาจจะได้ 28 เปอร์เซ็นต์ สมมติผมได้ 15 เปอร์เซ็นต์ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ คุณเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประมาณเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ คนที่ชนะก็คือ คุณอภิรักษ์ ไม่ต้องทำอะไรเลย ผมอยู่อันดับสอง แต่ประเด็นคือ การเลือกตั้งผู้ว่าฯการอยู่อันดับ 2, 4, 5, 6 มันไม่มีความหมาย ฉะนั้น ถ้าจะชนะเบอร์หนึ่งได้ มันก็ต้องรวมฐานเสียงของอันดับที่ผมแยกกลุ่มออกมา ให้เป็นหนึ่งเดียวถึงจะชนะคุณอภิรักษ์ได้”

“วันสมัคร คือ 1 ก.ย.แต่วันเลือกตั้ง 5 ต.ค.แต่ประเด็นมันติดอยู่บางเรื่องที่ยังพูดไม่ได้ว่าทำไมผมถึงยังตอบไม่ได้ โอเคที่เห็นติดป้ายแนะนำตัวไปเพราะผมอยากส่งสารถึงคน กทม.อยู่แล้ว เพื่อเช็กฟีดแบ็กจากประชาชน ถ้าฟีดแบ็กสูสีก็ต้องลงแน่ๆ เข้าใจมั้ยครับ แต่พอฟีดแบ็กมันออกมาอยู่เบอร์ 2 มันก็ต้องคิดดูให้ดีว่าอยู่เบอร์ 2 มันคุ้มมั้ย แล้วถ้าต้องรวมฐานเสียงทั้งหมดเพื่อโค่น คุณอภิรักษ์ ออก มันมีผลกระทบเยอะ ซึ่งผมพูดถึงมากไม่ได้”

“สูตรที่ผมจะรวมฐานเสียงทั้งหมดเพื่อโค่นอภิรักษ์ มันจะสร้างผลกระทบระยะยาวต่อครอบครัวผม แล้วมันจะผ่านจุดที่เรียกว่า Point of no return ในชีวิตผม เพราะผ่านไปเกมนั้นผมจะไม่สามารถกลับมาจัดรายการได้อีกแล้วครับ มันจะไปการเมืองอย่างเดียวเลย แล้วมันจะแรงมาก”

ผู้สื่อข่าวย้ำถาม จากคำตอบหมายถึงหากอภิรักษ์ลงคุณก็จะไม่ลงใช่หรือไม่? เรื่องนี้เจ้าตัวบอกว่า...
“ไม่ใช่ครับ ประเด็นมันอยู่ที่ว่าผมจะลงหัวเดียวกระเทียมลีบ แล้วก็ยอมเป็นที่สอง โดยที่ไม่สนคุณอภิรักษ์หรือเปล่า ซึ่งถ้าจะทำก็ทำได้ เพียงแต่ว่าผมก็ต้องทิ้งหลายอย่างในชีวิตผม ตัวผมคิดอยู่เสมอว่าถ้าไปการเมืองแล้ว ผมไม่กลับมาสื่อ เพราะฉะนั้นถ้าไปก็ต้องไปชนะ ถ้าไปแล้วแพ้ ผมจะดำเนินการทางการเมืองต่อมันก็ได้ แต่มันก็ยังไงล่ะ...”

“ฉะนั้น มันอยู่ที่ว่าจะรวมฐานเสียงที่ว่าเป็นก้อนเดียวได้มั้ย ให้ชนะอภิรักษ์ แต่ทั้งหมดนี้มันก็ไม่อยู่นอกการคาดการณ์ของผมอยู่แล้ว มันก็ทราบอยู่แล้วว่าคุณอภิรักษ์เหมือนรถบรรทุก ผมเหมือนรถสปอร์ต เขามาใหญ่ มีเครือข่ายพรรค แต่ผมเหมือนรถสปอร์ตถ้าจะแซงมันก็อาจจะแซงได้ ถ้าอัดฉีดเต็มที่ แต่แซงเสร็จอาจจะพลิกคว่ำก็ได้ ในการรวมฐานเสียงทั้งหมดให้มันได้มากว่าอภิรักษ์ มันก็มีอุปสรรคเยอะ”

“โพลไม่ได้เซอร์ไพรส์ผม แต่มันอยู่ที่ว่า ผมจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ชนะคุณอภิรักษ์หรือเปล่า ผมอาจจะไม่ต้องการที่ยอมฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ที่มีอยู่เพื่อจะรวมฐานเสียง มันทำได้ไม่ใช่ทำไม่ได้ แต่ขึ้นอยู่กับว่าผมจะทำหรือเปล่า มันมีผลกระทบข้างเคียงเยอะ ถ้าจะเดินเกมเพื่อโค่นอภิรักษ์จริงๆ ซึ่งพูดง่ายๆ มันจะสร้างศัตรูขึ้นมาใหม่เยอะมาก มันจะรุนแรงมาก ซึงผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะอยากทำอย่างนั้นหรือเปล่า”

เผยไม่ต้องการชนะด้วยการเลือกข้างเพื่อให้พรรคการเมืองสนับสนุน เพราะหวั่นกับผลกระทบที่จะตามมา
“มันมีผลกระทบข้างเคียงเยอะ ถ้าเกิดผมยอมทำทุกอย่างเพื่อชนะอภิรักษ์ ซึ่งอาจจะไม่คุ้ม ณ เวลานี้ มันประมาณนั้นมากกว่า (พูดง่ายๆ ว่าไม่กล้าเสี่ยง?) ในเกมภาพรวมต้องเข้าใจว่า ประเทศในตอนนี้แบ่งออกเป็นสองฝั่งสองฝ่าย คนที่ยืนอยู่ตรงกลางก็ได้รับความนิยม แต่ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง ในการเลือกตั้งมันเป็นเปอร์เซ็นต์น้อย คนส่วนใหญ่เวลาออกมาเลือก ส่วนใหญ่เขาจะเลือกสังกัดพรรค ทั้งๆ ที่เวลาเขาพูดมักจะบอกว่าชอบคนอิสระ แต่เวลาเลือกกลับเลือกคนที่มีสังกัดพรรค”

“จากการสำรวจของผมแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ เค้าคูหาเลือกตั้งแล้วเลือกคนที่ไม่มีสังกัดพรรค ที่เหลือ 70 เปอร์เซ็นต์ เลือกคนที่มีสังกัดพรรคหมด ในที่สุดมีแค่สองพรรคใหญ่ได้ แต่ในที่สุดแล้วยืนอยู่ตรงกลางก็ได้คะแนนเสียง ผมก็ได้ แต่มันพอที่จะโค่นสองขั้วใหญ่มั้ย ไม่พอ นอกซะจากว่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่เหลือเชื่อจริงๆ แบบที่นานทีปีหน ซึ่งถ้าถามใจผม ผมไม่ได้อยากเลือกข้าง ถ้าเกิดประเทศถูกแบ่งเป็นสองข้าง แต่ผมก็รู้ว่าถ้าไม่เลือกข้าง เราก็ทำในสิ่งที่เราทำได้แต่ว่า ใครชนะก็อาจจะไม่เป็นสิ่งที่เราไม่บรรลุ”

“ซึ่งความรู้สึกสองจิตสองใจที่คุณได้รับจากผมในวันนี้ คือผมสองจิตสองใจในการที่จะต้องเลือกข้าง แต่ในขณะที่ถ้าจะทำในสิ่งที่จะโค่นคุณอภิรักษ์ได้ มันจะต้องเลือกข้าง ในขณะที่การยืนอยู่ตรงกลางอย่างที่ผมยืนอยู่ มันดี และมันก็ได้คะแนนเสียง แต่อย่างมากที่สุดไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์ อันนี้คือความเป็นจริง”

“ถามว่าในที่สุดจะเลือกข้างมั้ย คือ ถ้าจะมีอนาคตทางการเมือในระดับชาติ ในที่สุดมันต้องมีสังกัดพรรค ซึ่งเป็นจุดบกพร่องในรัฐธรรมนูญ จริงๆ รัฐธรรมนูญบังคับให้คนเลือกข้างเอาอย่างนี้ดีกว่า เพราะฉะนั้นถ้าเล่นในเกมใหญ่ก็ต้องมีข้าง แต่คล้ายๆ ในเวลา ณ ตอนนี้ผมยังไม่อยากเลือกข้าง ถ้าผมเลือกข้าง วันนี้ผมคุยกับคุณก็ไม่มีสองจิตสองใจแล้วล่ะ ใช่มั้ยครับ”

อีกเหตุผลที่สำคัญ คือ เสียดายอาชีพสื่อมวลชน เพราะถ้ากระโดดไปเล่นการเมืองแล้วจะกลับมาทำอีกไม่ได้
“ผมว่าการเมืองเป็นอะไรที่ ถ้าไปแล้วมันไม่มั่นคงนะ และเมื่อถ้าตายไปแล้วคุณจะเป็นสื่อก็ไม่ได้ มันก็ไม่ดี มันก็เลยมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ซึ่งผมก็ต้องประเมินให้ดีเท่านั้นเอง”

“แต่ว่าในที่สุดแล้วยังไงๆ ผมก็ต้องไปที่ไหนสักที่หนึ่ง และก็คงในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย แต่ตอนนี้มันเกือบถึง Point of no return แล้ว หมายความว่า ชีวิตสื่อผมมันค่อยๆ หายไปแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่อยากให้ชีวิตตรงนี้หายไปไงครับ ผมเสียดายความมั่นคง ความไม่โดนด่า เป็นนักการเมืองตื่นมาก็โดนด่าไม่ว่าคุณจะทำอะไร เสียมากกว่าได้อีกครับ”

“แต่ก็ไม่อยากคิดอะไรมาก เพราะมันก็คิดมาเยอะแล้วครับเรื่องนี้ ถ้าถึงวันแล้วผมไม่ลงสมัคร มันก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ เพราะคนทำงานการเมืองเสียสละเยอะทุกคน เสียเงินเสียชีวิตส่วนตัวเสียงาน เพราะฉะนั้นทำอะไรก็ต้องระวัง เราก็ทำให้คนแฮปปี้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จะให้ทุกคนแฮปปี้คงเป็นไปไม่ได้ ก็แล้วแต่คนจะตีความ เพราะถ้าคนจะสนับสนุนเรา คนก็จะสนับสนุนเรา ผมรับตามความเป็นจริงอยู่แล้ว ถ้าผมลงแล้วแพ้ผมไม่ชอบลง เอาตามความเป็นจริง เพราะมันต้องลงทุน ทั้งแรงและเงินทุน”

“ชื่อเสียงผมก็มีแล้ว แล้วผมก็ไม่ได้เข้าไปเพื่อโกงกิน มันก็เลยเป็นสิ่งที่ปวดหัว แต่มันต้องทำเพราะอาชีพสื่อของผมมันมาถึงจุดที่อิ่มตัวในระดับหนึ่งแล้วไง และก็ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างในสิ่งที่ผมอยากทำแล้ว”

“ส.ส.ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่คิดถึง แต่ผู้ว่าฯก็เป็นสิ่งหนึ่งที่คิดถึงเหมือนกัน เพียงแต่มันเป็นช่วงจังหวะทางการเมือง และเป็นจังหวะทางชีวิตด้วย (ทำไมไม่รอจังหวะใหญ่ที่จะลงสมัคร ส.ส.ไปเลย?) อันนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ผมทำก็ได้ ไม่แน่เหมือนกัน (หัวเราะ) มันไปได้หลายวิธีครับ”

บอกไม่กลัวกระทบความน่าเชื่อถือ หากครั้งนี้กลัวจนเปลี่ยนใจไม่ลงสมัคร
“ไม่กลัวครับ เพราะผมเข้าใจแล้วว่า คนถ้าเค้าชอบใครแล้วเค้าก็จะชอบคนนั้น ถ้าคนไม่ชอบเขาก็ไม่ชอบ คนที่จะชอบเค้าก็หาเรื่องที่จะชอบอยู่ตลอด เช่นกัน ถ้าจะไม่ชอบก็จะหาเรื่องไม่ชอบ เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ไม่ต้องหนักใจ สิ่งที่ผมเรียนรู้ก็คือ คุณทำให้คนที่เกลียดคุณมาชอบคุณ ส่วนใหญ่มันไม่ได้อยู่ที่ตัวคุณกับผม แต่อยู่ที่จิตใจเขาเอง”

“นี่เป็นความจริงสำหรับนักการเมืองแทบทุกคน ยกเว้นนอกจากคุณจะทำความเลวจริงๆ หรือไม่ก็ทำความดีจริงๆ คนถึงจะเปลี่ยนใจ (ณ วันนี้พอจะประเมินได้มั้ยว่า สัดส่วนของคนที่ชอบและไม่ชอบเท่าไหร่?) อันนี้ผมไม่ควรตอบเลย”

พร้อมแสดงทัศนะเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองในปัจจุบัน โดยเจ้าตัวระบุว่าอันดับแรกต้องแก้ที่รัฐธรรมนูญ
“ประชาธิปไตยสไตล์แบบไทยที่ใช้ทุกวันนี้ ถูกตีกรอบโดยรัฐธรรมนูญที่ไม่เอื้อต่อการเติบโตของพรรคการเมือง พรรคการเมืองเจ้าของจริงๆ ไม่ใช่นายทุน แต่เป็นสมาชิกที่เป็นเจ้าของพรรค แต่ทีนี้เราจะไปยุบพรรคๆ เรื่อยๆ แทนที่เราจะไปเอาคนที่โกงหรือคนที่แสวงหากำไรผ่านพรรคการเมือง เอาคนพวกนั้นเข้าคุกสิ แต่คุณจะมายุบพรรคที่ประชาชนศรัทธา เขาก็เบื่อ ในที่สุดก็ไม่ออกมาคูหาเพราะเบื่อ”

“หนึ่ง ต้องเลิกยุบพรรค ต้องแก้รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญวางไว้ให้ยุบไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด สอง นักการเมืองต้องประพฤติตนเองให้ดีขึ้น ด้วยการโกงกินประเทศชาติน้อยลง สาม ต้องออกจากวัฏจักรปฏิวัติ สี่ สื่อมวลชนต้องนำเสนอข่าวนักการเมืองแบบแฟร์ๆ ไม่ใช่ว่าอคติแล้วมาใส่ร้ายป้ายสี ว่า นักการเมืองเลวทุกคน มันต้องช่วยกัน มันไปได้แต่ว่าที่ตอนนี้ไปไม่ได้เพราะต้องแก้รัฐธรรมนูญนี้ก่อน ในมาตรา 237 เขียนไว้เพื่อให้ยุบพรรคการเมืองได้ง่ายมาก การที่พรรคการเมืองถูกยุบประชาชนไม่มีตัวแทนนะ แต่นักการเมืองก็ต้องประพฤติตนเองให้ดีขึ้นด้วย”

พร้อมสรุปอนาคตทางการเมืองของตนเองว่า หากไม่ลงสมัครผู้ว่าฯก็กลับไปทำข่าวเหมือนเดิม แต่ยังไงวันข้างหน้าก็ต้องกลับมาเล่นการเมืองอย่างแน่นอน
“ผมไม่ชอบผูกมัดตนเองกับสื่อ เพราะสื่อชอบให้แหล่งข่าวผูกมัดตัวเองด้วยคำตอบ ผมก็เลยไม่ค่อยคุยกับหนังสือพิมพ์ จะคุยเวลาจำเป็นเพราะว่าเค้าชอบผูกมัดเรา ไม่ต้องรอลุ้นก็ได้ว่าจะลงหรือเปล่า ผมแค่บอกว่าขอเวลานั่งคิดก่อน ถ้าไม่ลงผมก็กลับมาทำข่าวต่อ”

“แต่งานบันเทิงผมไม่ได้ทำอยู่แล้ว แกะดำกับเป็นปลื้มเลิกไปตั้งแต่กลางปี สัญญาตอนนั้นผมจะทำแค่ปีเดียวอยู่แล้ว แค่อยากเรียนรู้ แต่ตอนนี้พอแล้ว แต่รายการข่าวยังทำอยู่ ผมจัดวิทยุวันละ 4 รายการ FM 96.5 ตอนสี่โมง FM 105 ตอนบ่ายสองโมงครึ่ง FM 97 ตอนบ่ายโมง FM 106 ตอนสองทุ่มครึ่ง ส่วนทีวีผมทำทางทรูวิชั่น แล้วก็เรื่องเด่นเย็นนี้ เสาร์-อาทิตย์ เพราะฉะนั้นงานตรงนี้ผมทำต่อถ้าไม่ลง”

“แต่ในที่สุดผมต้องไปการเมืองนะครับ มันหนีไม่พ้นแล้วล่ะ เพียงแต่ว่าไปแล้วต้องชนะแค่นั้นแหละ และไปแล้วก็ต้องตรงอุดมการณ์ของผม ซึ่งผลกระทบข้างเคียงกับครอบครัวจะมีแน่นอน แต่ผมพยายามจะลดให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ในสิ่งที่ผมควบคุมได้ แต่ยังๆ ไงก็ต้องทำงานการเมือง ผมเบรกตัวเองมาเยอะแล้วในเรื่องการเมือง ผมยังไม่ปล่อยตัวเองออกมาเต็มที่ แต่ถ้าผมเบรคตัวเองก็แสดงว่าผมไม่ลง แต่ก็คงเป็นการเบรกครั้งสุดท้ายแล้ว เพราะเบรกตัวเองมาเยอะแล้ว”

“ลงแล้วไม่ชนะมันไม่มีประโยชน์ จะมีก็ตรงที่ได้พบปะคน ได้เรียนรู้ในการหาเสียงอะไรต่างๆ ผู้ว่าฯมัน Zero sum game ไง มันไม่ใช่การเมืองระดับประเทศ ถ้าแพ้คุณก็กลับไปทำงาน ผมดูก็รู้แล้วว่าผมจะชนะหรือแพ้ ผมเข้าใจกระแสประชาชนมากพอที่จะลงแล้วได้หรือไม่ได้ (ถ้าคนมองว่าคุณรับความพ่ายแพ้ไม่ได้รู้สึกยังไง?) ก็น่าจะรู้สึกดีครับ (หัวเราะ)”
ผู้ว่าฯ อภิรักษ์
กำลังโหลดความคิดเห็น