นานพอดูกว่าที่ ซองดรีน บองแนร์ จะเริ่มต้นทำหนังของเธอเอง หลังจากยืนอยู่ในฐานะดาราแถวหน้าของวงการหนังฝรั่งเศสมาเกิน 20 ปี
บองแนร์ได้ร่วมงานกับผู้กำกับดังๆ มากมาย อยู่ในหนังที่ถือเป็นประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของหนังฝรั่งเศสหลายเรื่อย เธอเล่นทั้งหนังที่นิ่งเงียบของ ฌาคส์ รีแวตต์ (Jeanne the Maid) ไปจนถึงหนังเมโลดราม่าสุดขีดของ เรฌีส์ วาร์กนีเยร์ (East - West)
เคยได้บทที่ท้าทายตัวเองมากๆ ใน Vagabond (บทหญิงจรจัด ผลงานของ อัญเญส์ วาร์ดา) และ La Ceremonie (สาวใช้โรคจิต ผลงานของ โคล้ด ชาโบรล) และมีเสน่ห์ที่สุดในหนังเรื่องแรกของเธอ To Our Loves– ซึ่งเป็นงานกำกับของ มอริซ ปิอาลาต์ ผู้ล่วงลับ
อันที่จริงบองแนร์ เริ่มต้นทำหนังของตนเองมานานแล้ว ด้วยรูปแบบของโฮม วิดีโอ บันทึกภาพชีวิตประจำวันและโอกาสพิเศษของคนในครอบครัว โดยวิดีโอเทปที่เก็บสะสมไว้หลายม้วนนั้น มีตัวละครเอกเพียงคนเดียวคือ ซาบีน น้องสาวแท้ๆ ของเธอเอง
บองแนร์เล่าว่า ซาบีนเกิดหลังเธอ 1 ปี แต่โชคร้ายที่หมอบอกว่า เธอเป็นออทิสติก นั่นหมายถึง ความสามารถในการใช้ชีวิต จะแตกต่างและด้อยกว่าคนทั่วๆ ไป
ทุกคนในครอบครัวประคบประหงมซาบีนอย่างดี พยายามให้เธอหัดเรียนเปียโนและวาดรูป เหมือนเด็กคนอื่นๆ ในปารีส ส่งเธอเข้าโรงเรียนร่วมกับเด็กทั่วไป และหวังว่าเธอจะมีชีวิตปกติสุขอย่างที่ควรจะเป็น แต่ความมุ่งมั่นก็ล้มเหลวในท้ายสุด
ปัจจุบันซาบีนอาศัยอยู่ในบ้านรับเลี้ยงคนที่ผิดปกติทางสมอง – ซึ่งซองดรีน บองแนร์เป็นคนไปหาทุนมาสมทบให้กับมูลนิธิฯ, อาการของเธอแย่ลง รูปร่างอ้วนเผละ น้ำลายไหลย้อย ความสามารถในการพูดลดลง เมื่ออะไรไม่ได้ดั่งใจก็จะร้องโวยวายอาละวาด - ไม่เหลือร่องรอยของเด็กสาวผู้ร่าเริงในวันวานอีกแล้ว
หนังเรื่อง Her Name is Sabine เป็นผลผลิตของวิดีโอเทปที่บองแนร์เคยถ่ายเก็บไว้ มารวมกับการเก็บภาพชีวิตในวัยใกล้ 40 ของซาบีน กลายเป็นสารคดีแบบง่ายๆ แต่งดงามเหลือเกิน
สาเหตุที่มันช่างงดงามอย่างที่กล่าวไป เนื่องจากคนทำหนังไม่พยายามยัดเยียดหรือบอกเล่าข้อมูลที่เกินความจำเป็น หากแต่ปล่อยที่ว่างให้คนดูใช้อารมณ์และความรู้สึกมาเติมเต็มด้วยตนเอง
อีกส่วนหนึ่ง คงมาจากการที่เราได้เห็นซองดรีน บองแนร์ปรากฏตัวขึ้นในหนังน้อยมาก เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการจับภาพซาบีนและเพื่อนๆ ในสถานรับเลี้ยงฯ ปล่อยให้เรื่องราวในภาพเกิดขึ้นโดยไม่เข้าไปแตะต้องให้เสียหาย
และยิ่งบองแนร์ตีตัวออกห่างจากหนังของเธอมากเท่าไร ความเศร้าก็ยิ่งพอกพูนขึ้นเท่านั้น เนื่องจากซาบีนเอาแต่มองกล้อง และถามพี่สาวตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่า “พรุ่งนี้เธอจะมาหาฉันไหม”
ภาพเก่าๆ ที่ตัดสลับเข้ามา ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงกับภาพของซาบีนในปัจจุบัน จากวิดีโอเก่าๆ ม้วนนั้น ซาบีนเป็นเด็กสาวยิ้มเก่งคนหนึ่ง เธอเต้นรำ เธอเล่นเปียโน สนุกสนานกับการเล่นน้ำทะเลราวกับไม่เคยเจอน้ำมาทั้งชีวิต
ในช่วงหนึ่งของอดีตที่ไม่นานมานี้ บองแนร์พาน้องสาวของตนเองนั่งเครื่องบินไปเที่ยวนิวยอร์ก และเธอเองก็คงไม่คาดคิด – ว่านั่นจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของซาบีน
เรื่องน่าเศร้าอีกเรื่องก็คือ ชะตาชีวิตที่ผกผันระหว่าง 2 พี่น้อง ที่ขึ้นสูงและตกดิ่งไปคนละทาง ซองดรีน บองแนร์กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ที่มีคนมาห้อมล้อม ในขณะที่น้องสาวของเธอ (ที่หนังแสดงให้ว่า ใบหน้านั้นสะสวยไม่แพ้กัน - หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ) กลายเป็นคนบ้าและไม่มีใครรู้จักเธอ
แม้จะบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบมาโดยตลอด แต่บองแนร์ก็ยอมรับในหนังเรื่องนี้ว่า เธอมีส่วนไม่น้อยต่ออาการที่แย่ลงของน้อง เธอบรรยายอย่างเศร้าๆ ในฉากที่พยาบาลพาซาบีนไปว่ายน้ำว่า แต่ก่อนพฤติกรรมของน้องสาวไม่ได้เลวร้ายเช่นนี้ แต่ทันทีที่พี่น้องทุกๆ คน ต่างออกจากบ้านเพื่อไปใช้ชีวิตตามทางของตัวเอง ซาบีนก็รู้สึกไม่ต่างจากคนที่ถูกทอดทิ้ง
เธอกลายเป็นคนอารมณ์ร้าย เหงามากๆ เข้า ก็ทำร้ายแม่ตนเอง แย่กว่านั้น เธอใช้ฟันกัดทุกส่วนของร่างกาย เพราะหาทางออกให้กับความเดียวดายไม่ได้ และแม่ตัดสินใจส่งเธอเข้าโรงพยาบาลบ้า เมื่อซาบีนวิ่งเอาหัวโหม่งกับฝาผนัง
มันกลายเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด ว่าทำไมซาบีนจึงหมกมุ่นอยู่กับคำถามที่ถามพี่สาวอยู่ซ้ำๆ ว่า “พรุ่งนี้เธอจะมาหาฉันไหม”
ส่วนหนึ่งของการสัมภาษณ์สตรีผู้หนึ่งที่เป็นแม่ของ โอลิวิเยร์ ชายหนุ่มที่เป็นออทิสติกเหมือนกัน และมีอาการลมชักขั้นรุนแรง เธอบอกกับบองแนร์ว่า ความทุกข์อย่างท่วมท้นเวลาเห็นลูกไม่สบายนั้น มีพอๆ กับความรู้สึกผิดที่เธอให้ลูกเกิดมาพร้อมกับอุปสรรคอันใหญ่หลวงในการดำเนินชีวิต
โอลิวิเยร์ เป็นลมชักบ่อยมาก วันที่ออกไปเดินเล่นริมลำธาร เขาเป็นลมชักถึง 5 ครั้งระหว่างเดินเท้ากลับที่พัก และยังพูดอะไรไม่ปะติดปะต่อ อาการโดยรวมนั้น สาหัสกว่าซาบีนมาก
และอาจเป็นความรู้สึกผิดส่วนตัว Her Name is Sabine (Elle s'appelle Sabine) จึงเป็นการไถ่โทษอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน บางช่วงของหนังเป็นการทบทวนอดีตไปด้วยกันอย่างช้าๆ ของ 2 พี่น้อง อธิบายเป็นความรู้สึกไม่ได้ มันเป็นรสชาติขมๆ ของความเศร้าและรสหวานที่ปลายลิ้นของการรำลึกถึงอดีตที่ผ่านพ้น
ซีเควนซ์ท้ายๆ ของเรื่อง บองแนร์จับน้องสาวมานั่งหน้าทีวี และเปิดวิดีโอม้วนๆ เก่าให้ดูอีกครั้ง ซาบีนร้องไห้โฮ เมื่อเห็นภาพตนเองกำลังขึ้นเครื่องบินไปอเมริกา เธอพูดออกมาอย่างไม่น่าเชื่อว่า “ฉันร้องไห้เพราะตอนนั้นฉันมีความสุขเหลือเกิน ที่ได้ไปอเมริกา”
ส่วนที่น่าชมเชยอีกเรื่อง เห็นจะเป็นการบอกเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบๆ กลางๆ ของบองแนร์เอง กล่าวคือ ไม่ได้คิดว่าชะตากรรมของคนเป็นน้อง - เป็นความสูญเสียของมนุษยชาติอะไรเทือกนั้น เธอตั้งคำถามกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างง่ายๆ และที่สำคัญ - อย่างเป็นไปได้
เธอถามทิ้งท้ายอย่างเศร้าๆ ว่า เมื่อไหร่ซาบีนจะดีขึ้นนะ? หรือเมื่อไหร่ซาบีนจะไม่ต้องทานยาเยอะขนาดนี้อีก?
เมื่อไหร่นะ ที่เราจะไปเที่ยวด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง? ซองดรีน บองแนร์ปล่อยให้ภาพเก่าๆ ของน้องสาวหยุดนิ่ง ก่อนจะเลือนหายไปในความมืดพร้อมๆ กับเสียงสุดท้ายของคำถามนั้น