xs
xsm
sm
md
lg

จบ "องค์บาก 2" หรือจะเป็นจุดจบ "จา-เจียง"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ร่วมกันสร้างชื่อมาจาก "องค์บาก1" ก่อนจะตอกย้ำความสำเร็จชนิดโด่งดังไปทั่วโลกใน "ต้มยำกุ้ง" กับคอนเซ็ปต์ ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้สตั้นท์ คงจะไม่มีใครคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกยอดนักบู๊ "จา พนม ยีรัมย์" กับนายใหญ่สหมงคลฟิล์มฯ "เจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ" ที่มีให้แก่กันเหมือนดั่งพ่อกับลูกจะต้องมาถึงคราวมึนตึงในวันนี้

โดยมีชนวนเหตุมาจากภาพยนตร์เรื่อง "องค์บาก 2"

จุดเริ่มต้นของความวุ่นวายเริ่มขึ้นจากที่พระเอกนักบู๊มีความคิดที่จะทำหนังเอง ทางค่ายสหมงคลฟิล์มฯ จึงได้เปิดบริษัทที่ชื่อไอยราฟิล์มให้ มี "ปรัชญา ปิ่นแก้ว" และ "พันนา ฤทธิไกร" รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและโปรดิวเซอร์ โดยโปรเจ็กต์แรกของไอยราฟิล์มก็คือหนังเรื่อง "องค์บาก 2" ซึ่งจารับหน้าที่ทั้งแสดงนำและผู้กำกับ

ช่วงนั้นเองก็มีกระแสข่าวถึงความขัดแย้งระหว่างเขากับ "ปรัชญา ปิ่นแก้ว" ท่ามกลางกระแสข่าวลือดังแล้วเปลี่ยนไป หรือปัญหาภายในของบริษัท ที่คนนอกไม่อาจทราบได้ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับนักแสดงที่คนทั่วโลกให้ความสนใจเลือกที่จะละทิ้งกลับบ้านนอกไปเลี้ยงช้าง

การถ่ายทำองค์บาก 2 ที่มีการระบุว่ามีต้นทุนสูงถึง 200 ล้านบาทเป็นไปอย่างเงียบๆ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และเริ่มปรากฏเป็นข่าวในช่วงเดือนพฤษภาคม 2551 ถึงการหายตัวไปอย่างลึกลับของจา พนม ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่าเจ้าตัวสติแตก รวมถึงความไม่พอใจที่องค์บาก 2 ถูกตัดงบ

ภายหลังสหมงคลฯ จึงได้ออกมาเปิดแถลงข่าวชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าวโดยยืนยันว่าไม่มีการหั่นงบประมาณของหนังเรื่องนี้และเป็นทางฝ่ายจา พนมเองที่ใช้เงินเป็นจำนวนมาก แถมยังเบี้ยวกองในหลายๆ ครั้ง ก่อนจะมีข่าวต่างๆ ออกมาอีกมากมายในทำนองว่า เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะมีคนชักใยอยู่เบื้องหลังพระเอกชื่อดังเพื่อหวังผลประโยชน์และให้เขาฉีกสัญญากับทางสหมงคลฯ

ขณะที่พระเอกนักบู๊เองก็ได้ออกมาโต้ถึงเรื่องดังกล่าวและยืนยันว่าตนไม่ได้เพี้ยน แถมอ้างว่าใช้เงินส่วนตัวทำหนังเรื่องนี้อีกต่างหาก

ข้อมูลที่ดูสับสน และตัวละครเรื่องนี้เริ่มเพิ่มมากขึ้น เมื่อจาติดต่อครอบครัวไม่ได้ และหลังจากสื่อแจงข้อเท็จจริงผ่านรายการ "ไนน์เอ็นเตอร์เทน" พร้อมบุคคลที่เรียกตนเองว่า "ทนาย" ทั้งที่รู้จักกันได้ไม่ถึงเดือนจากการเจอกันในที่วิปัสสนาก็เข้ามามีบทบาทมากกว่าผู้เป็นพ่อเป็นแม่

ต่อมาทางจาจึงได้ส่งทนายยื่นเงื่อนไขกับทางสหมงคลฟิล์ม 7 ข้อด้วยกัน 1.คือ งบประมาณของงานที่เหลือทั้งหมดในงานโปรดักชั่นขอเหมา 55 ล้าน ไม่รวมงานโพสต์ ค่าตัวดารา ไฟสตูดิโอ โรงถ่าย ฟิล์ม 2.ทีมงานงานโปรดักชั่น จาพยมขอเลือกเองโดยมีอาจารย์พันนา รวมอยู่ด้วย 3.ให้ผู้จัดการส่วนตัวของจา พนมตรวจสอบดูแลบัญชีและค่าใช้จ่าย 4.ระยะการถ่ายทำงานที่เหลือจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายใน พ.ย. 51 5.ขอรายละเอียดค่าตัว ค่าจ้างและรายละเอียดเรื่องนี้ 6.รายได้ของจัดการภาพยนตร์ทั้งหมดขอเหมา 50 ล้านบาท 7.ยกเลิกสัญญาจ้างนักแสดง

ท่าทีของ "จา พนม" ที่ดูเปลี่ยนไปและข้อเรียกร้องที่มากขึ้น สอดคล้องกับการให้สัมภาษณ์ของ "ปรัชญา" ที่ว่า มีบุคคลหลายกลุ่มที่หวังผลประโยขน์จากชื่อเสียงของจา พนม จริงหรือ?

โดยอีกกระแสก็ว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น เกิดจากความอัดอั้นตันใจของจาเองที่อยากฉีกสัญญาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่กับค่ายอื่น จึงทำให้พระเอกนักบู๊อยากโบกมือลาผู้ปลุกปั้น และสัญญาที่ยาวนานเป็น 10 ปี

แต่อีกมุมมองที่น่าสนใจไม่น้อย คือตัวละครที่เพิ่มมากขึ้น เช่นสาวมาเฟียเกาหลี พี่เขย ครอบครัว และทนาย รวมทั้งต้นสังกัดต่างมีเงื่อนงำ จนมีหลายคนคิดว่านี่คือ "หนัง" หรือ "เรื่องจริง" หรือเรื่องจริงที่ถูกกำหนดมาให้แค่โปรโมทหนัง

เพราะในความเป็นจริงนั้นจาสร้างหนังเรื่องนี้มากว่า 80% เขาจะกล้าทิ้งหนัง ชื่อเสียงไว้ตรงนี้หรือไม่?

ล่าสุดแม้จะได้นายตำรวจมาเป็นคนกลางให้ทั้งสองได้มีการพูดคุยจับไม้จับมือกันเป็นที่เรียบร้อยโดยที่ทางพระเอกหนุ่มยืนยันว่าจะกลับมาทำงานให้เสร็จ แต่จากคำพูดของทั้งสองฝ่ายที่ออกมาดูเหมือนว่าปัญหาต่างๆ ก็จะยังคงมีอยู่ต่อไปอย่างแน่นอน

"ผมน้อยใจเสี่ยเพราะว่าก่อนหน้าที่จะรับทำองค์บาก 2 เสี่ยเคยสัญญาว่าจะดูแลครอบครัว ดูแลทุกอย่างไม่ให้จากังวลให้ทำหนังให้เต็มที่แต่ ณ วันนี้งบก็โดนตัดผมต้องไปขอเงินเสี่ย พองบหมดก็ต้องดินเข้าไปขอใหม่ ทำให้เกิดปัญหาเป็นความรู้สึกไม่ดีอยู่ในใจ"

"ก็เสียใจที่ไม่ทำตามสัญญา น้อยใจครับ แต่เรื่องทุกเรื่องผมไม่มีหลักฐานเหมือนเสี่ยแต่มีความจริงใจและความศรัทธา ผมไม่อยากยุ่งกับธุรกิจและเวลาเข้าไปคุยกับเสี่ย เสี่ยบอกกูพูดกับมึงไม่รู้เรื่อง เนี่ยเป็นเหตุผลที่ผมตั้งทนายขึ้นมาและให้ไปคุยแทนที่สหฯ"

ส่วนที่ที่ผ่านมาเจ้าตัวไม่ได้คุยกับทางครอบครัวนั้นจาบอกว่าเพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง ก่อนแจงผู้จัดการส่วนตัวที่คอยดูแลจัดการเงินในบัญชีให้เป็นเพื่อนและไม่ใช่ผู้ที่ทำให้พระเอกนักบู๊เปลี่ยนไป

"ไม่ใช่ จริงๆ จากแต่ก่อนอยู่กับพี่เขยแต่เปลี่ยนไปอยู่กับทีมผู้จัดการและทนาย เป็นเพื่อนกัน ผมไม่มีที่ปรึกษาทางธุรกิจ พ่อแม่ไห้ความปรึกษาไม่ได้ ให้ได้แค่ความห่วงและกำลังใจ เรื่องธุรกิจไม่มีใครช่วยได้ก็ต้องพึ่งผู้มีความรู้ด้านกฎหมาย ยืนยันไม่มีปัญหาอะไรกับพี่เขย"

"ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ผมต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ผมสงสารพ่อแม่เป็นเพราะชื่อเสียงของผมทำให้เกิดผลกระทบเกิดขึ้นเหมือนดาบสองคม เอาไว้เสร็จงานนี้จะกลับไปที่บ้านแต่ตอนที่มีปัญหาตอนที่พ่อไปแจ้งความจริงๆ เป็นเรื่องเข้าใจผิด ได้อธิบายให้พ่อกับแม่ฟังแล้วและเขาได้กลับที่สุรินทร์แล้ว คือตอนนั้นอธิบายไปเท่าไรเหมือนไม่เข้าใจก็เลยขาดการติดต่อไปดีกว่า"

ด้านผู้บริหารของสงมงคลฯ เองก็ได้พูดถึงข้อตกลงกันในครั้งนี้ว่าไม่เกี่ยวกับสัญญา 7 ข้อที่ทนายของจายื่นมา..."ไม่มี ฉีกทิ้งหมด ตอนนี้ใช้งบไม่รู้จะเท่าไหร่ก็ต้องใช้ หนังจะจบแล้ว เราจะปล่อยหนังออกแบบไม่ดีไม่ได้ บริษัทไม่เคยสร้างหนังส่งออกไม่ดี ถ่ายเสร็จเดือนไหนก็แล้วแต่พันนากับจาเขา แต่เอาจาไปถ่ายหนังให้จบ"

"ถ่ายหนังแล้วค่อยคุยกัน เราอยากให้เรื่องนี้จบไป ยังมีคนนั่งตั้งตารอคอย เมืองนอกก็รอสัญญาอยู่ก็มาทำหนังให้จบ เพราะผมมีปัญหาเสียหายมาก วันนี้มาบอกกันให้เข้าใจจะได้จบไป"

คงจะต้องรอดูกันว่าด้วยบรรยากาศวุ่นวายเช่นนี้จะทำให้กระแสของหนังองค์บาก 2 ได้รับการตอบรับขนาดไหน? เช่นเดียวกับสัญญาของหนุ่มจากับทางสหมงคลฟิล์มว่าจะลงเอยเช่นใด? รวมไปถึงความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างคนที่ชื่อ "พนม ยีรัมย์" กับ "สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ" ว่าจะเป็นเช่นไร?

...เพราะดูเหมือนว่าที่จบไปแน่ๆ แล้วในวันนี้ก็คือสัญญาใจของทั้งสองที่แม้จะจับมือกัน แต่ก็แทบจะไม่มองหน้ากันเลยนั่นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น