xs
xsm
sm
md
lg

“นิรุตติ์” แฉ “จา” คลั่งศาสนา ทำตัวเป็นฤๅษีจริง แต่ยันไม่ทิ้งงาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“หนิง นิรุตติ์” ป้อง “จา พนม” ไม่ได้บ้า บอกแค่ซึ้งในรสพระธรรม ก่อนแจง “องค์บาก 2” ยังมีการถ่ายทำอยู่เสมอ เพราะจาไม่ได้หายไปไหน ยันพระเอกนักบู๊มีความรับผิดชอบสูง แต่ที่ข่าวออกมาในแง่ลบ ตนคิดว่าน่าจะเกิดจากความเข้าใจผิดระหว่างทีมงานแน่นอน

หลังจากพระเอกนักบู๊ “จา พนม ยีรัมย์” ออกมาเคลียร์ข่าวสติแตก หนีงานเข้าป่าไปทำสมาธิ พร้อมโต้โกงเงินสหมงคลฟิล์ม ค่ายต้นสังกัด ด้าน “เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” และผู้เกี่ยวข้อง ก็ได้ออกมาแถลงข่าวโต้กลับแล้วว่า พระเอกนักบู๊ละทิ้งหน้าที่ในการกำกับหนัง เข้าใจผิดเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณตามที่ตกลง ไม่เป็นมืออาชีพ เพราะอ่อนประสบการณ์ แต่ถึงอย่างไรตนยังพร้อมให้อภัยหาก “จา” กลับมาทำหนังให้เสร็จ

ด้านดาราอาวุโส “หนิง นิรุตติ์ ศิริจรรยา” หนึ่งในนักแสดงนำของเรื่อง องค์บาก 2 ออกมาเผยว่า ตนเพิ่งจะได้คุยกับผู้กำกับนักบู๊เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยระบุชัดว่า จาไม่ได้หนีไปไหนตามที่เป็นข่าว ยังมีการถ่ายทำหนังเป็นระยะ พร้อมแจงกระแสข่าวที่ออกมาจากปากของทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกัน น่าจะเป็นการเข้าใจผิดยันการถ่ายทำภาพยนตร์องค์บาก 2 ล่าช้าไม่ใช่เพราะพฤติกรรมความแปลกของ “จา” แน่นอน
“ไม่ได้หยุดถ่าย ต้นเดือน ก.ค.นี้ ก็ถ่ายอยู่เขาใหญ่ เขาก็นั่งกำกับอยู่ ยังมีอาจารย์มาสอนโขนอยู่เลย อันนี้คงไม่ใช่ความลับของบริษัท หรือของหนังนะครับ คือ ในเรื่องจะต้องเอาท่าทางการรำของโขนมาประยุกต์เข้ากับศิลปะการต่อสู้ของไทย การถ่ายทำมันยาก ต้องใช้เวลา แล้วบางทีมีฝนตกบ้าง แดด แสง ไม่ได้บ้าง ก็ต้องรอไม่ก็ยกเลิกกอง แต่เรื่องเบี้ยวกองผมไม่รู้ ผมก็เจอเขาอยู่ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเบี้ยวหรือไม่ แต่มีบ้างนัดแล้วก็คืนคิว มีเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากฉากยังไม่เสร็จก็มีบ้าง ก็มีไปถ่ายกระบี่ เขาใหญ่ แม้กระทั่งโรงถ่ายไอยรา ที่รามคำแหงเท่าไหร่จำไม่ได้ ผมก็ไปถ่าย”

“จาไม่ได้หายไปอย่างที่เป็นข่าว ล่าสุด ก็เจอเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว เมื่อสองสามเดือนก็ไปก็ถ่ายกัน เจอกันเวลาทำงาน หรือไม่ก็โทรศัพท์คุย ก่อนหน้าที่จะไปถ่ายที่จันทบุรีเขาก็ไปหล่อพระ เขาก็ชวนผมไปแต่ผมอยู่กรุงเทพฯ เขาไม่ได้บอกไว้ก่อน แล้วเขาไปถึงเมืองจันท์แล้วก็บอกผมมาหล่อพระถวายวัด นึกว่าอาอยู่จะได้ชวนอามาร่วมด้วย ถ้าหากให้ผมคิด คือ ในฉากเรื่ององค์บาก 2 มันมีฉากหล่อพระ เขาคงไปศึกษาวิธีการหล่อไม่เกี่ยวกับการหายไปไหน เพราะฉะนั้นเรากำลังมองคนละอย่าง ผมมองอย่างเป็นกลางผมเจอเขาเมื่อไม่นานมานี้ยืนยัน”

“ส่วนเรื่องงานล่าช้า เพราะจา อันนี้ขอยืนยันแต่ว่า พฤติกรรมของเขาถ้าหากเราไม่เข้าใจก็คงจะมองว่าเขาเป็นคนเก็บตัวหรือว่าเป็นคนไม่พูดเล่นแต่นั่นคือนิสัยของเขา ซึ่งนิสัยของคนเราไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน พฤติกรรมของเขาถ้าไม่มีฉากเขาก็ต้องทำงาน เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนสองคน เสี่ยกับจา เป็นเรื่องภายในผมไม่รู้ ผมเป็นแค่นักแสดงรับจ้าง ไม่ได้เข้าประชุมกับเขา ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางผมตอบไม่ได้”

“ผมรู้สึกว่าคงมีอะไรที่ไม่เข้าใจกันในระหว่างทีมงานหรือในวงธุรกิจของทีมงานเท่านั้นแหละที่ผมรู้สึก อีกฝ่ายทำไมหนังไม่เสร็จสักที อีกฝ่ายก็อยากให้ค่อยๆ ไป สมาธิบ้างฉันอยากจะขึ้นไปอยู่บนยอดดอยบ้าง มีอะไรต้องรีบเหรอ เพื่อจะได้เกิดนิมิตหรืออะไรขึ้นมาใหม่ ฝ่ายนั้นก็สิงหาหนังฉันจะฉายนะทำไมยังไม่ทำมันก็แค่นี้หลักของธุรกิจ ถ้าเกิดจะให้พูดว่าช่วยเขามั้ยมันก็ไม่ได้ช่วย แต่ก็มีบ้างหยุดกองเพื่อปลีกวิเวก ถ้าเขาว่างนะ”

“สำหรับเรื่องมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมั้ย ผมไม่รู้จริงๆ แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องเงิน 3-4 ล้านบาทมันก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ผมคิดว่าถ้าจะเอาเงินมาเป็นตัวตั้งมันก็เป็นเรื่องใหญ่ แต่ว่าก่อนที่มันจะมาเอาเงินมาเป็นตัวตั้งมันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผมสงสัยว่า ขอเอ่ยชื่อหน่อย เสี่ยเจียงหรือว่าคุณจามันเป็นไปได้ยังไงที่จะติดต่อกันไม่ได้เลย”

ส่วนเรื่องที่ทางสหมงคลฟิล์ม ยืนยันมาว่า จะมีการเปิดกล้องจันทร์นี้ (28 ก.ค.) คิดว่า จา จะกลับมาหรือไม่ นักแสดงรุ่นเดอะปัดออกความคิดเห็น แต่เปรยหากคิดจะเป็นผู้กำกับก็ต้องมีความรับผิดชอบและกลับมาทำหน้าที่ของตนให้เสร็จ

“ผมตอบไม่ได้นะ จริงๆ อย่างที่บอกผมก็เป็นแค่คนนอก ผมได้ไปใกล้ชิดกับเขาก็เพราะการแสดงเท่านั้นเอง แต่ถ้านอกเหนือจากนั้นหลุดเวลางานมันเป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการสร้างของผู้กำกับหรือทีมงานว่าเขาคุยอะไรกันไว้ ไม่รู้ฉะนั้นจิตใจมนุษย์ผมคงบอกไม่ได้ว่าเขาจะมากำกับแน่ แต่ถ้าหากผมเป็นเขาผมต้องมาความรับผิดต้องมี ถ้าคุณไม่ไหวจริงๆ แล้วคุณต้องคนมาเป็นผู้ช่วยคุณ คุณต้องทำงานต่อเพราะนั่นคือความรับผิดชอบ มันไม่ใช่เงินล้านสองล้าน แต่ผมยังไม่มีคิวจันทร์นี้ครับ”

“ผมว่าเขาควรจะต้องกลับมาด้วยความรับผิดชอบ แล้วถ้าจะให้ผมมองไปด้วยชื่อเสียงของเขาในยุโรป หรือ อเมริกา ฮอลลีวูด คนก็รู้จักเขามากกว่าใครที่เราเคยมีมาก็ยังไม่มีใครที่ต่างประเทศจะรู้จักเหมือนเขา ตอนนี้ถ้าให้ผมพูดก็ถ่ายไปได้สัก 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว การถ่ายทำมันเพิ่งจะเปิดไปได้เมื่อเดือน ต.ค.-พ.ย.เมื่อปีที่แล้ว แต่ว่าเดือนหนึ่งจะถ่ายสองสามหนในส่วนของผม แต่ในส่วนของเขาการเตรียมงานอาจจะปีหนึ่งผมไม่ทราบ แต่ว่าปีที่แล้วประมาณเดือนตุลาคือมีการเคลื่อนไหวในการถ่ายทำ”

ต่อข้อซักถามที่ว่าทางสหมงคลแฉ หนุ่ม “จา” ไม่มีคุณสมบัติการเป็นผู้กำกับที่ดี ไม่เคยไปเตรียมงานก่อน พอถึงเวลาจริงก็มาถ่ายและกำกับอย่างเดียวจริงเท็จแค่ไหน นักแสดงอาวุโส วอนสื่ออย่าเสี้ยมให้คนอื่นทะเลาะกัน

“ผมคงไม่เข้าไปลึกซึ้งขนาดนั้น เราเป็นผู้ชายกับผู้ชายเราไม่ได้นอนด้วยกันนะครับ เขานัดผมก็ไป พอไปถึงกล้องมันก็พร้อมแล้ว พอเราแต่งตัวเสร็จก็ถ่ายได้เลย อย่าให้ผมพูดเพื่อให้เขาทะเลาะกัน เสี่ยเจียงพูดอย่างนั้นถูกมั้ยก็ถูก จาพูดอย่างนั้นถูกมั้ยก็ถูก ผมอยากให้ทั้งสองคนถูก ผมไม่อยากให้มีคนใดคนหนึ่งผิด ใครผิดมันไม่ดี เพราะมันต้องมีการแก้ไข อยากให้ทั้งสองคนค่อยพูดค่อยจากัน”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการทำงานและพฤติกรรมของ “จา พนม” ในกอง ดารารุ่นเก๋าเผย ผู้กำกับนักบู๊มือใหม่ ทำงานสไตล์ฝรั่ง มีความละเอียดอ่อนในการทำงาน ปัญหาที่เกิดก็เป็นเรื่องทั่วไป

“ก็ค่อนข้างจะออกสากล คือ ไม่ใช่ว่ามาถึงจะต้องเร่งทุกอย่างแล้วก็เหมือนกับผู้กำกับชั้นนำท่านอื่นๆ คือ เขาจะซ้อมทำความเข้าใจ เราเข้าใจ เขาเข้าใจเหมือนกันพอถ่ายไปแล้วความรู้สึกยังไม่ได้เขาก็จะมาบอก มาพูด นั่นคือ นิสัยคุณจา ไม่ใช่เอ็ดตะโร แม้กระทั่งตากะพริบมากไปเขาก็มาบอกอาอยากให้ตาแข็งๆ ทื่อๆ เขาก็เป็นคนค่อนข้างละเอียด เขาก็จะมานั่งจับมืออาครับอย่างนี้ๆ แล้วสไตล์เขาค่อนข้างจะเป็นฝรั่งคือจะเป็นหนังฝรั่งไม่ใช่มานั่งเจาะพูดๆ”

“ส่วนการทำงานล่าช้ามีแน่ ไม่มีงานอะไรที่ได้อย่างเร็วๆ หรอก อันนี้ไม่ใช่เป็นโรงงาน มันเป็นศิลปะการแสดง เรื่องของธรรมชาติอีก กว่าจะถ่ายได้ฝนตก แดดออก เสียงเปลี่ยนจัดไฟกันใหม่อีก เราไม่ได้ถ่ายในห้องส่ง ถามว่าช้าเกินไปมั้ย ช้าเกินไปตรงที่เกี่ยวกับสถานที่เพราะอันนี้เป็นหนังโบราณยุคสุโขทัย บางทีเราขึ้นไปถ่ายผาแต้ม จ.อุบล เราถ่ายกันแค่ 5 คัต เท่านั้น แต่ใช้เวลาหมดไป 3 วัน”

“ในกองก็ไม่เห็นเขาเครียดนะ แต่ลักษณะของเขาจะเป็นอย่างนั้น ท่าทางเขาเหมือนคนเครียดอยู่ตลอดปีอยู่แล้ว แต่เวลาที่เกี่ยวกับผมหรือทำงานเขากลับหัวเราะมากกว่า ณ วินาทีนี้คุณจะรู้ว่าเขาเครียด เพราะว่าเขาเป็นคนสมถะแล้วก็ไม่ใช่ว่าชอบโชว์ออฟ หรือแสดงเป็นคนเด่นอย่างนั้นอยู่แล้ว”

พร้อมโต้ “จา” ไม่ได้บ้า หรือสติแตกอย่างที่คนทั่วไปคิด เผยแค่ใฝ่ทางธรรมมากเกินไปเท่านั้นเอง

“เขาสติแตกมันมีหลายอย่างแบบเป็นบ้า ผมยืนยันว่า เขาไม่ได้สติแตกแบบเป็นบ้า เขาสติแตกแบบธรรมะ คือ 80 เปอร์เซ็นต์ของร่างกายและจิตใจของเขาจะมุ่งไปทางธรรมะมากกว่าอธรรมอย่างผม อยู่ๆ วันพระเขาก็เป็นฤๅษีแล้ว เขากินแต่กล้วย นุ่งขาวห่มขาวก็มีหลายครั้งที่เขานุ่งขาวห่มขาววันต่อมา ผมก็เลยเอาลูกประคำไปให้เขาเส้นหนึ่ง เขาก็ห้อยอยู่ตลอดเพราะเขาอยากจะเป็นฤๅษีแล้ว”

“เมื่อเดือนที่แล้วก็ชวนไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั่งรถ 15 ชม.ไปนั่งสมาธิ ผมบอกจาไปล่วงหน้าก่อนก็แล้วกัน (หัวเราะ) จริงๆ นั่งวิปัสสนาตรงไหนมันก็นั่งได้ไม่รู้เขาจะไปทำไมตอนหลังก็คิดว่ามันเป็นเรื่องของจิตใจที่เขาใฝ่ทางธรรมะ หรือทางศาสนา ถามว่าเป็นแบบนี้นานหรือยัง อันนี้ผมไม่ทราบแต่เท่าที่รู้จักมาปีกว่าผมเห็นเขาเป็นแบบนั้นแล้วผมก็ชอบแบบเขาด้วยไง เราก็จะมานั่งคุยกันตลอด บางทีเขาก็มาคุกเข่ากราบที่ตัก ผมนั่งอยู่เสร็จก็จับมือขอพลังให้ผมหน่อยก็กำมือของผมอยู่สัก 10 นาที ผมก็ให้พลังเขาไป ผมไม่ใช่ผู้วิเศษแต่ว่าคิดว่ามันเป็นจิตสำนึกที่ดีที่เรามอบให้เขาเพื่อเพิ่มพลังหรือกำลังใจเท่านั้นเอง มันไม่ได้เพิ่มอะไรวิเศษจากตัวผมไปให้เขา ไม่มีพลังอะไรแต่เราต่างคนต่างเป็นผู้ชายเพราะฉะนั้นมันไม่มีความรู้สึกทางเคมีเคิลที่เขามาชอบผมได้ มันไม่มีอะไรพิเศษนอกจากขอกำลังใจ”

ต่อข้อซักถามที่ว่า ในฐานะที่ “จา” ให้ความเคารพในตัวนักแสดงอาวุโส จะมีการเตือนหรือแนะนำเรื่องความประพฤติแปลกๆ จนทำให้งานล่าช้าหรือไม่ นิรุตติ์บอกไม่ใช่หน้าที่ พร้อมเผยถ้าไม่มีการขอความช่วยเหลือตนก็ไม่คิดจะเข้าไปยุ่ง

“มันไม่ใช่หน้าที่ของผม แล้วเขายังไม่เคยขอความเห็นหรือขอให้ผมช่วยคิดหรืออะไร แต่ว่าในเรื่องของส่วนตัวแล้วผมก็รักเขาก็คิดว่าเขาก็ค่อนข้างที่จะเคารพผม เพราะเวลาเราคุยกันหรือมองตาเราจะเข้าใจกัน แต่ว่ามันยังไม่ได้มีเรื่องอะไรหนักหนาถึงขนาดจะะต้องเอาคนโน้นคนนี้ไปพูด อย่างที่บอกมันน่าจะเป็นเรื่องของพ่อกับลูก”

“อันนี้ผมไม่ขอพูดได้มั้ย เหมือนพ่อกับลูกเขาทะเลาะแล้วเราเป็นเพื่อนบ้าน หรือจะไปบอกพ่อถูก ลูกถูกก็ไม่ได้อันนี้ขอนิดนึง ขอเป็นมารยาทผมไม่อยากจะไปพูด ต่อหน้าถ้าถามถึงการทำงานหรือนิสัยใจคอของจาแล้วการที่ได้ร่วมงานกับจา แล้วก็ยังเจอกับจาอยู่เมื่อสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาเราก็ยังเจอเขาอยู่”

ถามต่อว่าถ้าให้ประเมิน “จา” มีความเป็นมืออาชีพในการกำกับหนังหรือยัง “นิรุตติ์” เผยถ้ามืออาชีพคือตั้งใจทำงานเต็มที่ ตนก็ขอการันตีผู้กำกับนักบู๊หน้าใหม่มีเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์แน่นอน

“มืออาชีพเราตัดสินกันตรงไหนมันพูดลำบาก อาจจะพูดได้ว่าทำไปแล้วมีประสบการณ์เราเรียกว่ามืออาชีพ แต่คนที่ไม่เคยมากำกับอะไรแล้วได้สตางค์เรียกว่ามืออาชีพมั้ยมันอยู่ที่ความรับผิดชอบในการตั้งใจทำงานมากกว่า มืออาชีพ ก็คือ ไม่ตั้งใจทำงานมืออาชีพมันก็หมด เพราะฉะนั้นมืออาชีพหรือเปล่าไม่รู้ แต่ความตั้งใจทำงานเขามี 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วอยากจะฝากว่าความรับผิดชอบมันก็ต้องมีมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์”


กำลังโหลดความคิดเห็น