น่าตกใจไม่น้อยเลยครับสำหรับจำนวนตัวเลขของผู้เสียชีวิต+ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุไซโคลน "นาร์กีส" ที่ประเทศพม่า รวมถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มณฑลเสฉวน ที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ในอำเภอเวิ่นชวน ประเทศจีน
ผิวเผินเราอาจจะรู้สึกถึงความโหดร้ายของธรรมชาติ แต่เมื่อมองกันอย่างเป็นธรรม จริงหรือที่ว่าทั้งสองกรณีที่นี้และให้รวมไปถึงเหตุการณ์มหันตภัยร้ายแรงที่ผ่านๆ มาซึ่งคร่าชีวิตมนุษย์ไปแล้วมากมายนั้น ธรรมชาติคือฝ่ายผิด ธรรมชาติคือฆาตกร?
ตลอดเวลาที่ผ่านมา มิใช่มนุษย์เองหรอกหรือที่เป็นฝ่ายกระทำ ทำร้าย ทำลาย ต่อผู้มีพระคุณนี้ โดยรู้ทั้งรู้กันอยู่เต็มหัวอกว่า หากไม่มีธรรมชาติ ไม่มีป่าไม้ ไม่มีน้ำ ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิต
กี่ครั้งกันแล้วที่มนุษย์เราต้องสูญเสียทั้งชีวิต ทั้งทรัพย์สินเงินทองจากการที่ธรรมชาติต้องรักษาบาดแผลตัวเองอันเกิดขึ้นมาจากน้ำมือของจนเอง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่ว่ามนุษย์เราโดยส่วนใหญ่กลับไม่เคยมองหรือเข้าใจอย่างจริงๆ จังๆ เสียทีว่าโศกนาฎกรรมนี้คือ "บทเรียน"
เป็นบทเรียนที่เราจะจบหลักสูตรได้ก็ด้วยหนทางแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจและเกื้อกูล มิใช่หนทางที่มุ่งเน้นเพื่อที่จะเอาชนะหรือแสวงหาผลประโยชน์ โดยคิดแต่เพียงว่าตนมีสิ่งที่เหนือกว่าที่เรียกกันว่า "สมอง"
ทำไมเราไม่เข้าใจกันเสียที่ว่ามนุษย์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ หากทำลายธรรมชาติก็เท่ากับการค่อยๆ ทำลายตัวเอง
...
รอบหลายปีที่ผ่านมา จากที่ได้รับฟังข่าว ได้เห็นนิสัยความคิดของคนระดับชั้นผู้บริหารประเทศ ได้เห็นพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ที่กำลังเพลิดเพลินหลงใหลปลื้มใจไปกับความทันสมัยของสินค้าอุปโภคบริโภคอันเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากการตลาดแบบมือใครยาวก็สาวได้ สายป่านใครดีก็สาวเอาแล้ว...ต้องบอกว่าน่ากลัว - น่าห่วงทีเดียวครับ
น่ากลัวเพราะนับวันดูเหมือนว่ามนุษย์เราเองจะยิ่งมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ (ซึ่งเห็นชัดมากในยุคปัจจุบัน) โดยมองที่ความสุขสบายของตัวเองเป็นหลัก และพร้อมเจตนาที่จะละเลยต่อความรับผิดชอบกับสิ่งที่เป็น "ส่วนรวม" เพราะรู้สึกว่า นอกจากตนเองจะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรจากส่วนรวมแล้ว กลับยังจะต้องมาเสียสละอะไรบางอย่างไปอีก
กรณีนี้ยกตัวอย่างได้ง่ายๆ จากเรื่องส้วมครับ
ผมว่าประเทศเราคงจะเจริญกว่านี้แน่นอนหากทุกคนมีความรับผิดชอบหรือใส่ใจต่อป้าย "กรุณารักษาช่วยกันรักษาความสะอาด" ที่ติดไว้ตามส้วมในปั๊ม ที่สถานีขนส่ง ส้วมสาธารณะ ฯ เหตุเพราะรัฐบาลท่านจะมีเวลาในการเอาสมองมาคิดเรื่องดีๆ บริหารประเทศมากกว่าเดิมซึ่งต้องเจียดมันสมองส่วนหนึ่งมานั่งคิดว่า ใครจะเป็นมิสเตอร์, มิสส้วม อย่างที่เป็นข่าวกันอยู่
ถัดมาที่บอกว่าน่าห่วงก็เพราะผมรู้สึกว่า นับวัน "รากเหง้า" ที่ดีๆ ของเรา ทั้งในส่วนที่เป็นตัวบุคคล ประเพณี วัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งระบบความคิดบางอย่างกำลังถูกกัดกร่อนให้หมดคุณค่าลงไปทุกทีๆ ด้วยเหตุผลตื้นๆ เพียงเพราะหลายคนของคนชนชั้นบริหารมองว่าสิ่งเหล่านี้มันเดินสวนทางกับความก้าวหน้าของโลก ความทันสมัยของกระแสแฟชั่น หรือแม้กระทั่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเป็นเหตุผลที่งี่เง่าสุดๆ
ผมไม่ห่วงเลยนะครับที่เด็กวัยรุ่นของบ้านเราจะเกิดกระแสชื่นชอบดารา - นักร้องของประเทศเกาหลีอยู่ในขณะนี้ แต่ที่ผมห่วงมากกว่าก็คือบรรดาผู้ใหญ่ของบ้านเราเองส่วนใหญ่ที่นอกจะไม่พยายามจะอธิบายให้พวกเด็กๆ ได้รับรู้และเข้าใจถึงแก่นแท้ที่ว่ากว่าที่วงการบันเทิงของบ้านเขาจะเติบโตเข้มแข็งขึ้นมาพอที่จะส่งออกมาอวดโฉมได้นั้นเขาต้องใช้ระยะเวลาฟูมฟักมากน้อยเพียงใด เขามีวัตถุประสงค์ที่แท้จริงคืออะไรแล้ว ผู้ใหญ่บางคนยังถือโอกาสโหนกระแสต่างๆ ทำมาหากินหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองอย่างฉกได้ฉวยเอาอีกต่างหาก
บางส่วนอาจจะรู้สึกว่าผมมานั่งบ่นพึมพัมอะไร สังคมเราไม่เห็นมันจะเลวร้าย น่ากลัว อะไรสักเท่าไหร่...ประเด็นนี้คงต้องถามกลับแหละครับว่า(ถึงวันนี้)แน่ใจแล้วหรือ?
ตะลึง!! เด็ก 6 ขวบ อยากขาวคว้าไฮเตอร์อาบน้ำ เหตุเลียนแบบโฆษณา - จากข่าวนี้เราไม่ต้องฉุกคิดอะไรมากไปกว่าการกล่าวโทษว่า...โธ่ไอ้เด็กโง่ หรือพ่อแม่มันทำไมไม่ดูแลลูกมันวะ...อย่างนั้นหรือ?
สังคมน่าห่วงแนวโน้มคนเป็นเกย์-กะเทยเพิ่ม, ค้านแนวคิด "พระพยอม" ตั้งสำนักสงฆ์เกย์ - จาก 2 ข่าวนี้ เราไม่ต้องคิดอะไรแต่ควรจะรู้สึกชื่นชมว่าประเทศไทยเรามีสิทธิเสรีภาพดีจริงๆ...อย่างนั้นหรือ?
หมอเตือนดัดฟันแฟชั่นไร้มาตรฐานเป็นสนิมคาปากลวดติดคอถึงตาย - อันนี้ก็ไม่ต้องคิดอะไร แค่สมน้ำหนาว่า เออ...อยากสวยแต่โง่นักก็ตายซะ
หลายฝ่ายติงนายกฯ ใช้คำไม่สุภาพออกสื่อ - เรื่องนี้เราก็ไม่ควรที่จะมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงภาวะความน่าเชื่อถือของความเป็นผู้นำ แต่ควรจะยกย่องว่านายกฯ เราสุดยอดมีความเป็นตัวของตัวเองสูง...อย่างนั้นหรือ?
ทางออกของปัญหาที่เป็นของส่วนรวม ทั้งเรื่องธรรมชาติสิ่งแวดล้อม สังคม ทุกอย่างจะแก้ไม่ได้เลยครับ หากพวกเราไม่รีบบ่มเพาะสิ่งที่เรียกว่า "สำนึก" ร่วมกันให้เกิดขึ้นมา
ผิวเผินเราอาจจะรู้สึกถึงความโหดร้ายของธรรมชาติ แต่เมื่อมองกันอย่างเป็นธรรม จริงหรือที่ว่าทั้งสองกรณีที่นี้และให้รวมไปถึงเหตุการณ์มหันตภัยร้ายแรงที่ผ่านๆ มาซึ่งคร่าชีวิตมนุษย์ไปแล้วมากมายนั้น ธรรมชาติคือฝ่ายผิด ธรรมชาติคือฆาตกร?
ตลอดเวลาที่ผ่านมา มิใช่มนุษย์เองหรอกหรือที่เป็นฝ่ายกระทำ ทำร้าย ทำลาย ต่อผู้มีพระคุณนี้ โดยรู้ทั้งรู้กันอยู่เต็มหัวอกว่า หากไม่มีธรรมชาติ ไม่มีป่าไม้ ไม่มีน้ำ ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิต
กี่ครั้งกันแล้วที่มนุษย์เราต้องสูญเสียทั้งชีวิต ทั้งทรัพย์สินเงินทองจากการที่ธรรมชาติต้องรักษาบาดแผลตัวเองอันเกิดขึ้นมาจากน้ำมือของจนเอง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่ว่ามนุษย์เราโดยส่วนใหญ่กลับไม่เคยมองหรือเข้าใจอย่างจริงๆ จังๆ เสียทีว่าโศกนาฎกรรมนี้คือ "บทเรียน"
เป็นบทเรียนที่เราจะจบหลักสูตรได้ก็ด้วยหนทางแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจและเกื้อกูล มิใช่หนทางที่มุ่งเน้นเพื่อที่จะเอาชนะหรือแสวงหาผลประโยชน์ โดยคิดแต่เพียงว่าตนมีสิ่งที่เหนือกว่าที่เรียกกันว่า "สมอง"
ทำไมเราไม่เข้าใจกันเสียที่ว่ามนุษย์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ หากทำลายธรรมชาติก็เท่ากับการค่อยๆ ทำลายตัวเอง
...
รอบหลายปีที่ผ่านมา จากที่ได้รับฟังข่าว ได้เห็นนิสัยความคิดของคนระดับชั้นผู้บริหารประเทศ ได้เห็นพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ที่กำลังเพลิดเพลินหลงใหลปลื้มใจไปกับความทันสมัยของสินค้าอุปโภคบริโภคอันเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากการตลาดแบบมือใครยาวก็สาวได้ สายป่านใครดีก็สาวเอาแล้ว...ต้องบอกว่าน่ากลัว - น่าห่วงทีเดียวครับ
น่ากลัวเพราะนับวันดูเหมือนว่ามนุษย์เราเองจะยิ่งมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ (ซึ่งเห็นชัดมากในยุคปัจจุบัน) โดยมองที่ความสุขสบายของตัวเองเป็นหลัก และพร้อมเจตนาที่จะละเลยต่อความรับผิดชอบกับสิ่งที่เป็น "ส่วนรวม" เพราะรู้สึกว่า นอกจากตนเองจะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรจากส่วนรวมแล้ว กลับยังจะต้องมาเสียสละอะไรบางอย่างไปอีก
กรณีนี้ยกตัวอย่างได้ง่ายๆ จากเรื่องส้วมครับ
ผมว่าประเทศเราคงจะเจริญกว่านี้แน่นอนหากทุกคนมีความรับผิดชอบหรือใส่ใจต่อป้าย "กรุณารักษาช่วยกันรักษาความสะอาด" ที่ติดไว้ตามส้วมในปั๊ม ที่สถานีขนส่ง ส้วมสาธารณะ ฯ เหตุเพราะรัฐบาลท่านจะมีเวลาในการเอาสมองมาคิดเรื่องดีๆ บริหารประเทศมากกว่าเดิมซึ่งต้องเจียดมันสมองส่วนหนึ่งมานั่งคิดว่า ใครจะเป็นมิสเตอร์, มิสส้วม อย่างที่เป็นข่าวกันอยู่
ถัดมาที่บอกว่าน่าห่วงก็เพราะผมรู้สึกว่า นับวัน "รากเหง้า" ที่ดีๆ ของเรา ทั้งในส่วนที่เป็นตัวบุคคล ประเพณี วัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งระบบความคิดบางอย่างกำลังถูกกัดกร่อนให้หมดคุณค่าลงไปทุกทีๆ ด้วยเหตุผลตื้นๆ เพียงเพราะหลายคนของคนชนชั้นบริหารมองว่าสิ่งเหล่านี้มันเดินสวนทางกับความก้าวหน้าของโลก ความทันสมัยของกระแสแฟชั่น หรือแม้กระทั่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเป็นเหตุผลที่งี่เง่าสุดๆ
ผมไม่ห่วงเลยนะครับที่เด็กวัยรุ่นของบ้านเราจะเกิดกระแสชื่นชอบดารา - นักร้องของประเทศเกาหลีอยู่ในขณะนี้ แต่ที่ผมห่วงมากกว่าก็คือบรรดาผู้ใหญ่ของบ้านเราเองส่วนใหญ่ที่นอกจะไม่พยายามจะอธิบายให้พวกเด็กๆ ได้รับรู้และเข้าใจถึงแก่นแท้ที่ว่ากว่าที่วงการบันเทิงของบ้านเขาจะเติบโตเข้มแข็งขึ้นมาพอที่จะส่งออกมาอวดโฉมได้นั้นเขาต้องใช้ระยะเวลาฟูมฟักมากน้อยเพียงใด เขามีวัตถุประสงค์ที่แท้จริงคืออะไรแล้ว ผู้ใหญ่บางคนยังถือโอกาสโหนกระแสต่างๆ ทำมาหากินหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองอย่างฉกได้ฉวยเอาอีกต่างหาก
บางส่วนอาจจะรู้สึกว่าผมมานั่งบ่นพึมพัมอะไร สังคมเราไม่เห็นมันจะเลวร้าย น่ากลัว อะไรสักเท่าไหร่...ประเด็นนี้คงต้องถามกลับแหละครับว่า(ถึงวันนี้)แน่ใจแล้วหรือ?
ตะลึง!! เด็ก 6 ขวบ อยากขาวคว้าไฮเตอร์อาบน้ำ เหตุเลียนแบบโฆษณา - จากข่าวนี้เราไม่ต้องฉุกคิดอะไรมากไปกว่าการกล่าวโทษว่า...โธ่ไอ้เด็กโง่ หรือพ่อแม่มันทำไมไม่ดูแลลูกมันวะ...อย่างนั้นหรือ?
สังคมน่าห่วงแนวโน้มคนเป็นเกย์-กะเทยเพิ่ม, ค้านแนวคิด "พระพยอม" ตั้งสำนักสงฆ์เกย์ - จาก 2 ข่าวนี้ เราไม่ต้องคิดอะไรแต่ควรจะรู้สึกชื่นชมว่าประเทศไทยเรามีสิทธิเสรีภาพดีจริงๆ...อย่างนั้นหรือ?
หมอเตือนดัดฟันแฟชั่นไร้มาตรฐานเป็นสนิมคาปากลวดติดคอถึงตาย - อันนี้ก็ไม่ต้องคิดอะไร แค่สมน้ำหนาว่า เออ...อยากสวยแต่โง่นักก็ตายซะ
หลายฝ่ายติงนายกฯ ใช้คำไม่สุภาพออกสื่อ - เรื่องนี้เราก็ไม่ควรที่จะมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงภาวะความน่าเชื่อถือของความเป็นผู้นำ แต่ควรจะยกย่องว่านายกฯ เราสุดยอดมีความเป็นตัวของตัวเองสูง...อย่างนั้นหรือ?
ทางออกของปัญหาที่เป็นของส่วนรวม ทั้งเรื่องธรรมชาติสิ่งแวดล้อม สังคม ทุกอย่างจะแก้ไม่ได้เลยครับ หากพวกเราไม่รีบบ่มเพาะสิ่งที่เรียกว่า "สำนึก" ร่วมกันให้เกิดขึ้นมา