xs
xsm
sm
md
lg

Man Push Cart : กลับบ้านเถอะ...อาหมัด

เผยแพร่:   โดย: โสภณา เชาว์วิวัฒน์กุล


จะเป็นเพราะสภาพทางภูมิศาสตร์ เพราะความร่ำรวยด้านศิลปะ ความหลากหลายด้านวัฒนธรรม หรือเพราะรูปปั้นเทพีเสรีภาพ อันเป็นสัญลักษณ์ของ ‘โอกาส’ และ ‘ความหวัง’ ที่ตั้งอยู่ ณ ปากอ่าวแมนฮัตตัน ก็ตามแต่ - เมื่อผู้คน ไม่ว่าจะชาติใดภาษาไหน คิดจะอพยพโยกย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สหรัฐอเมริกา กล่าวกันว่า พวกเขาจะนึกถึง นิวยอร์ก ซิตี้ เป็นเมืองแรกสุด

ปัจจุบัน นิวยอร์ก ซิตี้มีประชากรกว่า 8 ล้านคน สถิติในปี 2005 ระบุว่า 36 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนนั้นเป็นผู้ที่มีถิ่นกำเนิดนอกอเมริกา (พูดอีกนัยหนึ่งคือ เป็นชาวต่างชาติที่อพยพไปอยู่ที่นั่น) นอกจากนั้น ยังมีการประเมินกันไว้คร่าวๆ ว่า ภายใน ‘บิ๊ก แอ๊ปเปิ้ล’ แห่งนั้น มีการใช้ภาษาต่างๆ รวมแล้วถึง 170 ภาษาด้วยกัน

ตัดตัวเลขรุงรังทิ้งไป ภาพรวมของนิวยอร์ก ซิตี้ ก็คือ เมืองที่มีผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกมาอาศัยอยู่รวมกันเป็นจำนวนมหาศาล บ้างคิดจะมาอยู่สั้น บ้างหวังจะได้อยู่ยาว แต่ไม่ว่าใครวางแผนจะอยู่นานเท่าไหร่ ทุกคนล้วนเดินทางสู่ที่นี่ด้วยเป้าหมายอย่างเดียวกัน คือ พวกเขาหวังจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิมด้วยกันทั้งนั้น

อย่างที่ทราบกัน...ไม่ใช่ทุกคนที่สมหวัง

อาหมัด ชายหนุ่มหน้าเศร้าชาวปากีสถาน ตัวเอกใน Man Push Cart เป็นคนหนึ่งที่เดินทางสู่นครนิวยอร์ก แล้วไม่พบชีวิตสุขสบายอย่างที่ใจปรารถนา

ภาพแรกของอาหมัดที่ผู้ชมเห็น เขาลากรถเข็นขายน้ำชา กาแฟ และสารพัดขนมปังหนักอึ้ง ไปตามถนนที่ยังคงมีรถราขวักไขว่ ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้รุ่งสาง ทว่าหลายชีวิตในนิวยอร์ก ซิตี้ กลับยังไม่หลับ เพราะนี่คือ ‘นครที่ไม่เคยหลับ’

อาหมัดกับรถเข็น ฉุดกระชากลากถูกันมาจนถึงจุดนัดพบที่หัวมุมถนนสายหนึ่ง เขาลงมือตระเตรียมสินค้าด้วยทีท่าคล่องแคล่ว และทันทีที่แสงจากดวงอาทิตย์เริ่มทำงาน กิจการและชีวิตของอาหมัดก็เริ่มต้นขึ้น

อาหมัดในปัจจุบัน อายุราว 30 เศษ หลายปีก่อนเขาเดินทางมานิวยอร์กพร้อมภรรยาและลูกชายตัวน้อยคนหนึ่ง สามคนพ่อ-แม่-ลูกเริ่มชีวิตใหม่บนแผ่นดินใหม่ด้วยการผ่อนรถเข็นเครื่องดื่มและขนมปังมาทำกิจการค้าขาย หลายปีผ่านไป ภรรยาของอาหมัดตายจากไป ลูกชายถูกแม่ยาย –ซึ่งอยู่ในนิวยอร์กเหมือนกัน- พาตัวไปเลี้ยงและกีดกันไม่ให้เขาพบหน้า อาหมัดยังคงเจียดรายได้ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดผ่อนส่งรถเข็นคันนี้ตลอดมา ทว่าจนถึงวันนี้ เขาก็ยังผ่อนมันไม่หมด

Man Push Cart พาผู้ชมตามติดชีวิตอาหมัดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เราเห็นเขาลากรถเข็นคันโตไป-กลับเป็นกิจวัตร เห็นเขาให้บริการลูกค้าอย่างเป็นมิตร ลูกค้าส่วนใหญ่รู้จักชื่อเขา แต่ไม่มีใครรู้จักเขา เห็นห้องเช่าขนาดแมวไม่พอดิ้นตายของเขา เห็นเขาเอาหนังโป๊ไปเร่ขายหวังหารายได้เสริม รับจ้างทาสีตกแต่งห้องให้หนุ่มปากีฐานะดีคนหนึ่งซึ่งเพิ่งรู้จักกันไม่นานนม เรายังได้รู้อีกด้วยว่า ครั้งหนึ่งอาหมัดเคยเป็นนักร้องเพลงร็อกชื่อดังที่บ้านเกิด แต่ก็อย่างที่เห็น ทุกวันนี้ชื่อเสียงเก่าก่อนกลายเป็นอดีตเก่าเก็บไปหมดแล้ว

วูบหนึ่งที่เราเห็นชีวิตของอาหมัดมีสีสันขึ้นบ้าง เมื่อหนุ่มปากีฐานะดีคนนั้น จุดประกายความหวังว่าอาจทำให้อาหมัดได้หวนคืนสู่ชีวิตนักดนตรีอีกครั้ง นอกจากนั้น ในช่วงเวลาเดียวกัน เขายังทำท่าว่าจะมีความรักครั้งใหม่กับหญิงสาวชาวสเปนซึ่งทำงานที่แผงขายหนังสือแห่งหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตาม ลงท้าย ทุกอย่างก็เป็นได้แค่ฝันค้างลางเลือน ไม่มีอะไรคืบหน้าไปไหน

ถึงที่สุด สิ่งที่เป็นของตายสำหรับอาหมัด ก็มีเพียงนครนิวยอร์ก วงจรชีวิตซ้ำๆ และรถเข็นที่ใช้เวลาชั่วกัปชั่วกัลป์กว่าจะได้เป็นเจ้าของคันนั้น – แค่นั้น

Man Push Cart เป็นผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องยาวชิ้นแรกของ รามิน บาห์รานี ผู้กำกับชาวอเมริกันเชื้อสายอิหร่าน หนังเปิดตัวครั้งแรกที่เทศกาลหนังเวนิซในปี 2005 จากนั้นไปตระเวนฉายตามเทศกาลหนังหลายแห่งทั้งในยุโรปและอเมริกา ก่อนจะได้เข้าฉายแบบจำกัดโรงที่อเมริกาในเดือนกันยายนปีถัดมา

บาห์รานีเล่าว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจในการทำหนังเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งจากผู้อพยพชาวเอเชียกลางและเอเชียใต้ที่เขาเคยพบปะเจอะเจอในนครนิวยอร์ก ซึ่งโดยมากมักหาเลี้ยงชีพด้วยการขายอาหาร-เครื่องดื่มตามรถเข็นเช่นนี้ และอีกส่วนจากงานเขียนของ อัลแบร์ กามูส์ ชื่อ The Myth of Sisyphus ซึ่งเนื้อหาตอนหนึ่งพูดถึงชีวิตว่า มันเป็นวงจรซ้ำซากไร้สาระ ไม่ต่างจากตำนานกษัตริย์ซิซีฟัสในเทพปกรณัมป์กรีก

เล่าอย่างรวบรัด – เรื่องราวของซิซีฟัสก็คือ พระองค์ต่อสู้กับ ‘ความตาย’ ด้วยกลอุบายสารพัดอย่าง ทว่าท้ายที่สุดก็ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงถูกเหล่าทวยเทพลงโทษด้วยการให้เข็นหินขึ้นไปบนเขาสูงชันลูกหนึ่ง นอกจากนั้น ทวยเทพยังพยายามจะสยบความอหังการของซิซีฟัสด้วยการสาปไว้อีกชั้นว่า ทันทีที่ซิซีฟัสกลิ้งหินไปถึงยอดเขา หินก้อนนั้นก็มีอันจะต้องร่วงหล่นลงสู่พื้นดินเบื้องล่างทุกครั้ง และซิซีฟัสก็ต้องวิ่งลงเขาไปกลิ้งมันกลับขึ้นมาใหม่ เป็นวงจรเวียนวนเช่นนี้ไปชั่วกัลปาวสาน

บาห์รานีบอกว่า สำหรับเขา ‘ซิซีฟัสกับก้อนหิน’ และ ‘อาหมัดกับรถเข็น’ นั้นเหมือนกัน ต่างคนต่างจมอยู่ในวงจรชีวิตซ้ำๆ มีกิจวัตรซ้ำซาก ที่บ่อยครั้งเจ้าตัวก็ตอบไม่ได้ว่า ที่ทำๆ อยู่นั้น...เพื่ออะไร? ปลายทางอยู่ตรงไหน? มีวันไปถึงหรือไม่?

เหนืออื่นใด คนกับรถเข็น...เอาเข้าจริง ใครกันแน่ที่ถูกเข็น?

หนังมีองค์ประกอบใกล้เคียงกับหนังกลุ่ม ‘นีโอเรียลิสม์’ มาก ทั้งเนื้อหาที่บอกเล่าเรื่องราวของคนชั้นล่างในสังคม ใช้นักแสดงสมัครเล่นที่มีพื้นเพปูมหลังแบบเดียวกับตัวละคร (อาหมัด ราสวี ผู้รับบท ‘อาหมัด’ อพยพมาจากปากีสถานเช่นเดียวกับตัวละครของเขา อีกทั้งยังเคยหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นพ่อค้ารถเข็นอย่างเดียวกันด้วย) ใช้ทุนสร้างต่ำ ปรุงแต่งแต่น้อยหรือแทบไม่ปรุงแต่ง ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมนักแสดง แสง เสียง และฉากหลัง ล้วนถูกคงสภาพให้มีลักษณะดั้งเดิมให้มากที่สุด (หนังนีโอเรียลิสม์ถือกำเนิดที่อิตาลีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 งานเด่นในตระกูลนี้ก็เช่น Rome, Open City ของ โรแบร์โต รอสเซลลินี และ The Bicycle Thief ของ วิตตอริโอ เดอ สิกา)

ลักษณะที่กล่าวมา ทำให้ Man Push Cart เป็นหนังที่ให้ความรู้สึกว่า ‘จริง’ อย่างยิ่ง และความจริงของมันนั่นเอง เป็นอาวุธสำคัญที่ทำให้หนังสะกดคนดูได้อย่างชะงัด

อุปกรณ์ประกอบฉากอย่างหนึ่งที่ผู้ชมได้เห็นบ่อยไม่น้อยไปกว่ารถเข็น ก็คือ ถังแก๊สขนาดย่อม ที่อาหมัดมักถือมันติดตัวอยู่เสมอ (รถเข็นของอาหมัดจะจอดรวมกับรถของพ่อค้าคนอื่นๆ ที่โกดังแห่งหนึ่ง ส่วนถังแก๊สนั้น เขาถือมันไป-กลับทุกวัน) บ่อยครั้ง หนังปล่อยให้อาหมัดถือถังแก๊สกลมๆ ลูกนั้นเดินปะปนอยู่กับฝูงชนตามถนน โดยกล้องติดตามบันทึกภาพเขาอยู่ห่างๆ และผู้กำกับก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวก้าวก่ายอะไรกับผู้คนที่ผลุบโผล่เข้ามาในเฟรมภาพให้มากมายนัก

พ่อค้ารถเข็นแบบอาหมัดในความเป็นจริง พกถังแก๊สติดตัวไปไหนต่อไหนเหมือนกันกับเขาหรือไม่ ดิฉันไม่ทราบ แต่ภาพของอาหมัดกับอุปกรณ์หาเลี้ยงชีพของเขานั้น ทุกครั้งที่ปรากฏขึ้นในหนัง มันก่อให้เกิดความรู้สึก 2-3 ประการด้วยกัน คือ มันทำให้เขาดู ‘แตกต่าง’ จากผู้คนรอบข้าง และ ‘แปลกแยก’ จากสภาพแวดล้อม

ที่สำคัญ มันคล้ายจะเป็นการแปะป้ายตีตราตัวเองไว้กลายๆ ว่า ไม่ว่าที่ปากีสถานบ้านเกิด อาหมัดจะเคยทำหรือเคยเป็นอะไร และไม่ว่าเขาจะเคยนึกฝันถึงสิ่งใดไว้ ทว่าในปัจจุบันนี้ ที่นิวยอร์ก ซิตี้ เขาจะเป็นได้แค่คนขายขนมปัง-กาแฟ ในรถเข็นที่ ณ วันนั้นเขาไม่ได้แม้แต่จะเป็นเจ้าของเท่านั้น

แม้เนื้อหาของ Man Push Cart จะว่าด้วยเรื่องของคนตัวเล็กๆ ที่ต้องกินอยู่อย่างปากกัดตีนถีบในเมืองใหญ่ ทว่าสาระสำคัญของหนังจริงๆ ก็ไม่ใช่การวิพากษ์หรือโจมตีความเป็นเมือง คนเมือง วิถีชีวิตแบบเมือง หรืออะไรทำนองนั้น (มีรายละเอียดเล็กๆ อย่างหนึ่งที่หนังใส่เข้ามาเพื่อแสดงให้เห็นทัศนคติของคนอเมริกันภายหลังเหตุการณ์ ’11 กันยา’ กล่าวคือ เพื่อนของอาหมัดคนหนึ่งเล่าว่า เขาถูกชายกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาแทง เพราะพวกนั้นเห็นว่าเขาหน้าตาเป็นมุสลิม จึงเข้าใจว่าเขาเป็นผู้ก่อการร้าย อย่างไรก็ตาม หนังเล่าถึงเรื่องราวดังกล่าวในลักษณะ ‘เล่าผ่าน’ ไม่ได้เน้นย้ำหรือขยายความจนกลายเป็นประเด็นใหญ่โต)

หนังเพียงทำหน้าที่ ‘สะท้อน’ ชีวิตของคนคนหนึ่งที่ตกอยู่ในวังวนของการ ‘กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง’…จะถอดใจแล้ววกกลับทางเก่า ก็รู้สึกว่าเดินมาไกลเกิน ครั้นจะเดินดุ่มมุ่งไปข้างหน้า ก็ไม่มั่นใจว่าจะต้องเดินอีกไกลสักเท่าไหร่กัน

ถ้าหนังทุกเรื่องจำเป็นต้องมีผู้ร้าย ผู้ร้ายของ Man Push Cart คงหนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่า ‘ชะตากรรม’

คนเราเกิดมาเท่ากันจริงไหม ดิฉันไม่ทราบ แต่เท่าที่เห็น เมื่ออยู่ๆ ไป บุญทำ กรรมเก่า พระผู้เป็นเจ้า ตัวของเราเอง หรืออะไรก็ตาม จะทำให้เราไม่อาจเท่ากันได้

ถามดิฉันว่า ดูหนังเรื่องนี้แล้วได้แง่คิดอะไร?

คำตอบคือ มันทำให้ดิฉันเห็นว่า ‘โอกาส’ ไม่ได้วิ่งเข้าหาคนทุกคนที่เรียกร้องต้องการมัน

มากกว่านั้นคือ ดูหนังจบปุ๊บ ดิฉันนึกถึงประโยค ‘อยู่ที่ไหน ไม่สุขใจเหมือนบ้านเรา’ ขึ้นมาจับใจ และพบว่า มันจริงสุดแสนจะจริง

กำลังโหลดความคิดเห็น