xs
xsm
sm
md
lg

แม่รำพึง (ภาคพิเศษ) วันที่ไร้กำแพง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เสียงคลื่นทะเลดังกระทบชายฝั่งอย่างช้าๆ เป็นจังหวะ บรรยากาศของร้านอาหารริมหาดแม่รำพึงช่างเย็นสบาย ทำให้ วุฒิ (ขอสงวนชื่อจริง)เด็กหนุ่มในหมู่บ้านดอนสำราญรู้สึกมีความสุขมากกว่าทุกวัน แต่คงไม่ใช่เพราะบรรยากาศ หรือรสชาติของอาหารเป็นแน่ที่ทำให้เขารู้สึกแบบนั้น มันคงเป็นความอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกมากกว่า ที่มีวันดีๆ แบบนี้เกิดขึ้นที่อำเภอบางสะพานบ้านของวุฒิ

ทุกวันที่ศูนย์เฝ้าระวัง มีชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเยือนไม่ขาดสาย บางคนก็เอาของมาขาย หรือเอาลูกเล็กเด็กแดงมาเลี้ยงรวมๆ กัน จนที่นี่กลายเป็นบ้านหลังที่สองของพวกเราไปแล้ว วุฒิเองก็มาที่นี่เป็นประจำ ส่วนใหญ่จะเป็นเย็นวันศุกร์หลังเลิกเรียน และวันนี้ก็ตรงกับวันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ เขาเองก็ตามเพื่อนมาที่ศูนย์เฝ้าระวังเช่นเคย แต่วันนี้คนที่นี่ค่อนข้างครึกครื้นเป็นพิเศษ วิฑูรณ์ บัวโรย หัวหน้ากลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง บอกกับชาวบ้านว่า พรุ่งนี้ที่วัดนาผักขวงสถาบันการศึกษาทางเลือกจะมาเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของชาวบ้านทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน ซึ่งวุฒิเองก็คงไม่พลาดการเข้าร่วมในวันพรุ่งนี้แน่

1.

เช้าวันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ วุฒิรีบแต่งตัวออกจากบ้านขับรถมอเตอร์ไซค์ไปบ้านพี่สายฝน สุดสวาท ที่เปิดเป็นร้านมินิมาร์ทขนาดย่อมและขอติดรถกระบะไปที่วัดนาผักขวงด้วย ก่อนที่จะเข้าไปถึงเวทีก็ต้องผ่านด่านตำรวจก่อนซึ่งเห็นได้ชัดว่า มีการตรวจอาวุธกันอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย เมื่อวุฒิและชาวบ้านมาถึงเวทีรับฟังความคิดเห็นก็มีเหล่านักวิชาการ และสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ มาทำข่าวกันหลายแขนงทั้ง วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร

ขณะที่งานเริ่มในเวลา 08.30 น. วุฒิรีบเดินเข้าไปถามพี่เอ๋ (ขอสงวนชื่อจริง) ซึ่งเป็นคนดูแลเรื่องสื่อต่างๆ ในศูนย์ฯว่า มีใครมาร่วมงานบ้าง ซึ่งเขาเคยได้ยินแต่ชื่อแต่ไม่เคยเห็นหน้า พี่เอ๋จึงหันมาบอกเขาว่า คนที่กำลังพูดอยู่นั่นคือ รศ.ศรีศักร วัลลิโคดม นักวิชาการอาวุโส เป็นประธานในพิธี ส่วนคนที่ใส่แว่นถัดออกมาคือ สุรสีห์ โกศลนาวิน กรรมการสิทธิมนุษยชนฯ และยังมี ไพสิฐ พานิชย์กุล นักวิชาการกฎหมาย คนสุดท้ายที่แนะนำ คือ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ จากชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม วันนี้เขาสวมเสื้อสีฟ้าเข้ม เด็กหนุ่มพยักหน้าเป็นอันเข้าใจที่พี่เอ๋บอก วุฒิคิดในใจว่ามีคนดังๆ มีความสามารถมารับฟังชาวบ้านแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ในขณะเดียวกันชาวบ้านต่างเดินทางทยอยกันมาที่ห้องประชุมไม่ขาดสาย มองดูแล้วก็ราวๆ พันคนได้ แต่ที่น่าแปลกคือ ทำไมไม่เห็นมีกลุ่มผู้สนับสนุนหรือกลุ่มเสื้อแดงเลย ทั้งที่วันนี้เขาเปิดให้ทั้งสองฝ่ายมาร่วมหารือกัน

ชาวบ้านคนแล้วคนเล่า ต่างผลัดเปลี่ยนกันให้ข้อมูลกับนักวิชาการและสื่อมวลชน ถึงผลกระทบที่ชาวบ้านได้รับเมื่อมีการตั้งโรงงานของเครือสหวิริยา ได้แก่ ระบบนิเวศป่าชายเลน บริเวณป่าพรุ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำและอาหารนานาชนิด ส่วนผลกระทบทางสังคมคือเรื่องของการทำอาชีพด้านประมง การท่องเที่ยวซึ่งจะเห็นได้ว่าแต่ก่อนทะเลที่แม่รำพึงของเราสะอาดสวยงาม นักท่องเที่ยวต่างติดใจในความงามของทะเล แต่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวลดลงไปมากเพราะธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป น้ำเริ่มขุ่นและไม่สะอาดเหมือนเดิม อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อการทำการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นการทำนา ทำสวนยางหรือสวนมะพร้าวต่างก็ได้รับผลผลิตน้อยลงไปตามๆ กัน

ขณะที่ผลกระทบด้านมลพิษจะเห็นได้ชัดเจนว่าอากาศที่หมู่บ้านเราเริ่มเปลี่ยนไป มีฝนเหลืองร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า และทำให้น้ำฝนที่เคยใช้ดื่มกิน กลับดื่มกินไม่ได้ ต้องซื้อน้ำกินทุกบ้าน อีกทั้งยังส่งผลถึงสุขภาพของชาวบ้านด้วย ผลกระทบอีกข้อที่สำคัญมากคือด้านผลประโยชน์ของชาติ ได้แก่ พลังงาน แหล่งน้ำจืด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถือว่ามีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ แต่กลับได้รับผลกระทบจากโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งถือว่าขาดหลักธรรมาภิบาลของโรงงานขนาดใหญ่ หากปล่อยไว้เป็นเวลานาน หรือหากจะสร้างโรงงานถลุงเหล็กขึ้นมาอีก ชาวบ้านแม่รำพึงคงจะอยู่กันอย่างยากลำบาก

บรรยากาศของเวทียังคงดำเนินต่อไป แต่วุฒิขออนุญาตเดินออกไปยืดเส้นยืดสายด้านนอกหอประชุม ซึ่งเป็นบริเวณลานวัดกว้างๆ ชาวบ้านบางส่วนที่มารับฟังความคิดเห็นก็ถือโอกาสนี้มาออกร้านขายของ มีทั้งร้านขายน้ำ ร้านขายขนมขบเคี้ยว เขามาสะดุดตาที่ร้านขายขนม “พบรัก” และเชื่อว่าทุกคนคงกำลังสงสัยว่าขนม พบรักมันจะหน้าตาเป็นยังไงกันหนอ วุฒิจึงรีบเข้าไปสอบถามกลุ่มแม่บ้าน

“พี่ๆ ผมถามหน่อยสิทำไมเรียกขนมที่หอใบจากอยู่นี้ ว่า ขนมพบรักล่ะครับ” วุฒิคุยกับชาวบ้านที่กำลังย่างขนมอยู่หน้าเตา

“ก็ขนมมันชื่อใบจาก ฟังดูแล้วมันไม่เป็นมงคลเอาซะเลย พวกเราเลยตั้งชื่อใหม่ให้เป็นมงคลดีกว่า” ชาวบ้านคนหนึ่งพูดอย่างเหนียมอาย แกมอมยิ้ม เขาจึงเข้าใจวันนี้เองว่าทำไมชาวบ้านถึงเรียกขนมใบจากว่าขนมพบรัก วุฒิคิดในใจว่านี่ก็เป็นภูมิปัญญาหนึ่งที่ชาวบ้านที่นี่คิดร่วมกัน พวกเขาหาความสุขได้ง่ายๆ จากสิ่งที่อยู่รอบตัว

เมื่อเดินออกมาจากกลุ่มแม่บ้าน “ขนมพบรัก” วุฒิรู้สึกว่าท้องเริ่มร้องซะแล้ว เขาจึงเดินตรงมาที่โรงครัวบนศาลาวัด ซึ่งถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของงานในวันนี้ เมื่อเดินขึ้นมาบนศาลากลิ่นหอมหวนของเครื่องแกงที่แม่ครัวทำ ลอยเข้ามาเตะจมูกของเขา ยิ่งทำให้ความหิวเพิ่มเป็นสองเท่า แม่ครัวกว่า 10 ชีวิต ต่างเร่งมือทำอาหารกันพัลวัน และเมื่อพี่วาสนา เขียวหนู หรือพี่น้อย ลูกมือแม่ครัวหัวป่าเหลือบมาเห็นวุฒิเข้า

“หิวข้าวแล้วเหรอ วันนี้พี่ทำ แกงไก่ ทอดปลาทู น้ำพริกกะปิ แกงส้ม และอีกหลายอย่าง จวนจะเสร็จแล้ว ถ้าหิวเดี๋ยวพี่จะตักไปให้ รออีกแป๊บเดียวนะไปนั่งรอข้างนอกก็ได้ไป เดี๋ยวพี่ไปเสิร์ฟให้ถึงที่เลย” พี่น้อยพูดพร้อมกับตำน้ำพริกเสียงดัง โป๊ก โป๊ก และหันมายิ้มให้กับวุฒิอย่างใจดี

ขณะที่นั่งรอกับข้าวบนศาลามีเด็กๆ วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน เขาสังเกตเห็นพี่สาวคนหนึ่งนั่งให้นมลูกพร้อมกับร้องเพลงกาเหว่ากล่อมลูกน้อย มันเพราะดีนะ เขาเองไม่ได้ฟังมานานแล้ว ครู่หนึ่งพี่น้อยก็เอาสำรับมาวางให้ วุฒิรีบตักกับข้าวเข้าปาก เพราะได้ยินว่าบนเวทีการพูดคุยจะหยุดพักรับประทานอาหาร และชาวบ้านบางส่วนจะกลับไปที่ศูนย์เฝ้าระวัง เขาจึงรีบกินให้เสร็จเดี๋ยวจะไปไม่ทันชาวบ้าน

การคาดการณ์ของวุฒิเป็นจริง เมื่อกินอิ่มก็รีบวิ่งมาที่รถพี่สายฝน แต่รถพี่สายฝนกำลังเคลื่อนออกไปแล้ว “รอด้วยครับ ผมไปด้วยครับ” รถกระบะของพี่สายฝน หยุดชะลอให้เขาขึ้น “เกือบไปแล้ว เกือบมาไม่ทันซะแล้ว” วุฒิบ่นพึมพำ

2.

รถกระบะหลายคันต่างเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปที่ศูนย์เฝ้าระวัง มีชาวบ้านบางคนมาถึงก่อนหน้านี้แล้ว มีเด็กหนุ่มสองคนปีนขึ้นไปบนศูนย์ฯ เพื่อดึงผ้าที่ติดกับข้างฝาซึ่งเขียนว่า “ศูนย์เฝ้าระวัง” ลงมา ชาวบ้านบางคนก็ต่างนำธงเขียวที่เป็นรูปผืนป่าแม่รำพึงมาถือเอาไว้คนละอัน หลังจากนั้น สุพจน์ ส่งเสียง รองหัวหน้ากลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ก็กล่าวคำปฏิญาณให้ชาวบ้านฟัง

ครู่หนึ่งเสียง ตุ้บ ปึ้กๆๆ ของกระสอบทรายที่วางเรียงรายหน้าศูนย์เฝ้าระวังก็พังครืนลงมา หลังจากที่สุพจน์กล่าวคำปฏิญาณเสร็จ กลุ่มชาวบ้านวัยหนุ่มต่างช่วยกันดันกำแพงกระสอบทรายหรือบังเกอร์ ให้พังลงมา และวิ่งข้ามกระสอบทรายนั้นออกมายังท้องถนน ด้านผู้นำกลุ่มต่างจับมือกันเหนียวแน่น พร้อมส่งเสียงตะโกนลั่นว่า ไชโย ไชโย ชาวบ้านก็ต่างร้องตาม และผู้นำประกาศว่าจะไม่เอาโรงงานถลุงเหล็ก ต่อไปนี้พวกเราจะสู้ สู้ต่อไป หลังจากนั้นชาวบ้านก็ช่วยกันนำทรายในถุงเทออกมาเพื่อปกคลุมบริเวณหน้าศูนย์ฯ เด็กๆ ต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือ

วุฒิคิดในใจว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ ทำให้เขารู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นเหตุการณ์ที่คล้ายกับหนังเรื่อง The Pianist (สงคราม ความหวัง บัลลังก์เกียรติยศ) ที่สะท้อนการต่อสู้ของคนยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งภาพ อารมณ์ ความรู้สึก มันมีส่วนคล้ายกัน ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึงต่างต่อสู้กับกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่เพื่อผืนป่าที่เป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของชาวบ้าน เพื่อความอยู่รอดของลูกหลานในอนาคต และเพื่อเดินผ่าความกลัวตรงนี้ไปให้ได้จึงร่วมกันพังทลายความกลัวตรงนั้น หลังจากที่ต้องหลบซ่อนอยู่หลังกระสอบทรายมานานร่วมปี ส่วนในหนังเรื่อง The Pianist ก็มีฉากที่ชาวยิวพยายามต่อสู้กับชาวเยอรมันเพื่อเอาอิสรภาพคืนมาหลังจากที่ถูกกักตัวไว้ภายในกำแพงอิฐที่ชาวเยอรมันสร้างไว้ และในเวลาต่อมาพวกเขาก็ร่วมใจกันต่อสู้และสามารถทำลายกำแพงนั้นได้ จนในที่สุดสงครามในครั้งนั้นสหภาพโซเวียตก็เอาชนะฮิตเลอร์ได้สำเร็จ

สุพจน์เล่าให้เขาฟังว่า ชาวบ้านได้ร่วมหารือกันแล้วว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเป็นประเด็นที่เปิดสู่สาธารณะแล้ว ในเบื้องต้นพวกเราต้องการเรียกร้องให้สังคมได้รับรู้ความจริง จากที่เคยมองเราในด้านลบหาว่าพวกเราค้านความเจริญ แต่พอมีสื่อที่เข้ามานำเสนอข้อเท็จจริงก็ทำให้สังคมภายนอกได้รับรู้ข้อเท็จจริง

เรื่องบังเกอร์ที่เราใช้ป้องกันอันตรายต่างๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มันเป็นภาพสะท้อนที่กำลังบอกว่าศูนย์เฝ้าระวังมีความรุนแรงปะทุอยู่ ขณะที่เรามีสื่อเป็นเกราะกำบังในระดับหนึ่งแล้ว เราจึงต้องการประกาศให้สังคมรู้ว่าที่ผ่านมาเราเป็นผู้ถูกกระทำ เราไม่ได้เป็นผู้กระทำ เรามีกำแพงเพื่อป้องกันคนภายนอก เมื่อมาถึงจุดหนึ่งพวกเราจะต้องเดินผ่าความกลัวตรงนี้ไปให้ได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างนอกเกราะกำบังเรามันน่ากลัวอย่างที่คิดหรือเปล่า เพราะเดิมทีที่อยู่ในศูนย์เฝ้าระวัง เราไม่ได้รับความปลอดภัยจากตำรวจ เราได้ใช้กระสอบทรายเป็นที่หลบซ่อน คล้ายกับว่าสถานที่นี้เป็นเหมือนสมรภูมิรบ เป็นสมรภูมิที่ต้องเฝ้าระวัง แต่บัดนี้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เราจึงเปลี่ยนจากศูนย์เฝ้าระวังเป็นเป็นศูนย์ให้ความรู้เรื่องการอนุรักษ์ป่า เป็นเหมือนห้องเรียน มีนิทรรศการให้ความรู้ เราอาจจะมีการประชุมกันเป็นปกติทุกอาทิตย์ และเราตั้งใจจะสอนคนให้มีความรู้ ใครจะมายิงหัวเราก็ช่างประไร

ส่วนวิถีชีวิตอาจเปลี่ยนแปลงไป สาเหตุหลักก็คงเป็นเรื่องเศรษฐกิจด้วย ต้องยอมรับว่าเรามีทั้ง ผู้หญิง เด็ก คนแก่ ปะปนกันมากมาย หลายคนนั่งทำงานหนัก ซึ่งไม่ใช่หน้าที่เราหรอก เป็นภาระของหลายๆ คน ซึ่งบางทีก็ไม่ได้ทำกิน เราจึงมาตกลงว่าไม่จำเป็นต้องมาดูแลมากมาย เราจะได้กลับไปดำเนินชีวิตเหมือนที่เราเคยเป็นปัญหาเรื่องมวลชนที่กลัวอิทธิพล ชาวบ้านที่เห็นด้วยก็เยอะ ปัญหาก็คือเราไม่สามารถทำให้คนที่กลัว ฝ่าความกลัวมาได้

สิ่งที่คาดหวัง เราไม่คิดว่าจะต้องแพ้หรือชนะ อย่างน้อยๆ สิ่งที่ชาวบ้านทำ ได้ตีแผ่ไปให้โลกได้รู้ เราเชื่อว่าโครงการที่กำลังจะสร้างคงไม่มักง่าย เราพยายามจะบอกกระทรวงทรัพยากร ฝ่ายวิชาการหลายๆ ฝ่ายน่าจะจับตามองอยู่ เราหวังว่าคนที่ดีจริงไม่น่าจะนิ่งนอนใจ เพราะหากคนดีนิ่งดูดาย ความหายนะจะเกิดขึ้น ที่ศูนย์ฯ เรา คนที่มีอำนาจเหนือกว่า มีความรู้ที่มากกว่าต้องเข้ามาช่วยเราแน่ และถ้าโครงการถลุงเหล็กเกิดจริง สุพจน์เองจะเป็นคนรณรงค์เรื่องนี้ไปตลอดชีวิต จะใช้ชีวิตและลมหายใจในการเฝ้าระวังผืนป่าของพวกเรา

ด้านวิฑูรณ์ บัวโรย เล่าให้วุฒิฟังว่า วันนี้ที่ศูนย์เรียนรู้ไม่มีความรุนแรงเหลืออยู่ มันหายไปพร้อมกับการพังทลายของบังเกอร์แล้ว เพื่อให้สังคมทราบว่ากลุ่มห้าพันธมิตรที่ประกอบด้วย กลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง อ.บางสะพาน กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรู,กลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก,กลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก และกลุ่มบ้านเกิด ต.อ่าวน้อย ทั้งห้าพันธมิตรได้มีอุดมการณ์เดียวกันคือ จะนำความรู้ในเรื่องสิ่งแวดล้อมไปบอกต่อให้สมาชิกคนใหม่ที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์เรียนรู้

แต่ก็มีปัญหาเกิดขึ้นบ้าง เพราะชาวบ้านบางคนไม่เห็นด้วยกับการทำลายบังเกอร์ แต่ด้วยสถานการณ์ที่บีบเรา ทางแกนนำจึงตัดสินใจทำลายเสีย เมื่อเวลาผ่านไปแกนนำจึงกลับมาอธิบายกับชาวบ้านว่าทำไมต้องทำลายบังเกอร์ สาเหตุก็คือมันจะเป็นหนทางไปสู่การต่อสู้ด้วยความรู้ที่ปราศจากความรุนแรง “มันบัง แล้วมันเก้อ” มันเป็นสัญลักษณ์ของความรุนแรง เพื่อให้สังคมได้รู้ข้อเท็จจริง หนทางดังกล่าวจึงถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว จากคำบอกเล่าของแกนนำทั้งสองทำให้วุฒิได้รับรู้สถานการณ์ความเคลื่อนไหวในวันนี้มากยิ่งขึ้น

3.

เมื่อวุฒิตื่นจากภวังค์ รถกระบะก็เคลื่อนมาถึงวัดนาผักขวงแล้ว ชาวบ้านไปนั่งฟังความคิดเห็นกันต่อในหอประชุม ส่วนเขาเดินเตร่อยู่ด้านนอกและเหลือบไปเห็นนักข่าวกำลังสัมภาษณ์ ศ. ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอิสระ ซึ่งเป็นขวัญใจของเขา ได้บอกว่าจะนำสิ่งที่ชาวบ้านแสดงความคิดเห็นไปทำเป็นรายงาน ให้ชาวบ้านใช้ประโยชน์ในการคัดค้านโครงการที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ แม้ว่าทางบริษัท สหวิริยาจะเคยเปิดรับฟังความคิดเห็นไปแล้ว แต่ชาวบ้านก็ไม่ได้ขึ้นเวที แม้วันนี้จะมีชาวบ้านที่คัดค้านมาฝ่ายเดียวก็ไม่เป็นไร เพราะถือว่าทางเราประกาศให้ทราบทั่วกันแล้วว่าให้ทุกฝ่ายมาคุยกัน

ส่วนกระบวนการระงับความขัดแย้งมันเป็นเรื่องของกระบวนการ และคิดว่าการเปิดรับฟังครั้งเดียวก็คงไม่สำเร็จ ส่วนเรื่องที่ชาวบ้านขอให้ทางสหวิริยาระงับการถมดินเพราะยังไม่ผ่านสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.) ทำให้ภาครัฐบางส่วนออกมาระงับการถมดิน ชาวบ้านทำได้ดีทีเดียว เพราะชาวบ้านศึกษาข้อมูลอย่างจริงจัง จึงสามารถรวมกลุ่มสร้างอำนาจต่อรองได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อให้ปัญหาคลี่คลายไปในทางที่ดีทุกฝ่ายต้องมานั่งแลกเปลี่ยนหาวิธีประนีประนอมกันให้ได้ ต้องยืดหยุ่นต่อกัน พูดคุยกันอย่างสันติ

ส่วนการทำลายบังเกอร์ สืบเนื่องจากกรณีที่ชาวบ้านถูกมองว่าเป็นฝ่ายก่อความรุนแรงแล้วสื่อก็รายงานไม่ชัดเจน เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา สถาบันนิติเวชบอกมาแล้วว่ากระสุนปืนถูกยิงมาจากทางด้านหลัง เมื่อเป็นอย่างนี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าใครน่าจะเป็นคนทำ แต่ชาวบ้านกลับถูกโจมตีว่าใช้ความรุนแรง พอมาถึงวันนี้ที่ชาวบ้านพังกระสอบทรายลงมาถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ฉลาด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า เขาไม่ได้อยากใช้ความรุนแรง ถือเป็นวิธีการหนึ่งที่ชาวบ้านพยายามจะบอกว่าพวกเขาไม่ได้ใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหาอาจารย์นิธิ บรรยายให้นักข่าวฟังบริเวณหน้าหอประชุม ในเวลาบ่ายคล้อย

อีกฝั่งหนึ่งของลานวัด สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสกำลังสัมภาษณ์สุพจน์ออกรายการสด โดยมีชาวบ้านมานั่งดูวิธีการดำเนินรายการ และการทำงานของสื่อโทรทัศน์ วุฒิเองก็มานั่งดูอยู่เหมือนกัน แต่เสียงเบามากเหลือเกินจึงจับใจความอะไรไม่ค่อยได้

พอจบรายการวุฒิได้ยิน วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ พูดกับนักข่าวว่า ทราบมาว่างานวันนี้เขาจัดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมา แล้วเชิญทุกฝ่าย ฝ่ายที่ไม่มาก็คงกลัวเรื่องความปลอดภัย เมื่อวานก็คุยกับฝั่งโน้นแล้ว แต่เขาก็ไม่มา จึงน่าเสียดายมาก เราก็อยากฟังว่าถ้าชาวบ้านตั้งคำถามแล้วฝั่งตรงข้ามเขาจะตอบอย่างไร เขารู้สึกยังไง ชาวบ้านเขาอยากรู้ ส่วนรายการที่ออกไปเมื่อครู่ ชาวบ้านเขาถามในรายละเอียด ในเรื่องน้ำท่วมเป็นเพราะสาเหตุใด เพราะแต่ก่อนที่โรงงานยังไม่สร้างไม่เห็นท่วมเลย แต่ ไพโรจน์ มกร์ดารา คนจากบริษัทเครือสหวิริยา ก็ตอบทำนองว่า ที่บางสะพานน้ำท่วมอยู่แล้ว ซึ่งเขาก็ตอบไม่ตรงประเด็น แต่เขาอาจจะไม่รู้ข้อมูลในรายละเอียดก็ได้

คิดว่าเวทีนี้เปิดโอกาสให้คนในสังคม พัฒนาความรู้ของตัวเอง และชาวบ้านเองก็สามารถลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตนเอง ซึ่งชาวบ้านที่มาให้ข้อมูลแก่เราก็รู้ปัญหาในพื้นที่เป็นอย่างดี แนวทางที่จะช่วยลดความขัดแย้งของคนในสังคมได้ อันดับแรกต้องถอยคนละก้าว หรือหาเวทีมาร่วมพูดคุยกันจะเป็นทางออกที่ดี วันชัย พูดกับนักข่าวที่มาสัมภาษณ์ และหลังจากนั้นสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ก็ทยอยกลับกันไป

วุฒิและชาวบ้านจึงเคลื่อนขบวนกลับมายังศูนย์เรียนรู้อีกครั้ง ในเย็นวันนั้นเขารู้สึกไม่คุ้นชินกับบรรยากาศหน้าศูนย์การเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงไป แต่เมื่อเขาเห็นเด็กๆ ออกมานั่งเล่นก่อกองทรายบริเวณหน้าศูนย์ฯ มันทำให้เขารู้สึก สบายตา สบายใจ คล้ายกับว่าสิ่งที่เขาเห็นอยู่นี้ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแสนนาน ตอนนี้เขายังคงนั่งที่ร้านอาหารริมหาดแม่รำพึง เพื่อรับไออุ่นจากท้องทะเลบ้านเกิดของเขา

**************

เรื่อง-ออรีสา อนันทะวัน












กำลังโหลดความคิดเห็น