“เมียอิทธิ” ร่ำไห้เผยชีวิตรันทด เคยถังแตกถึงขั้นไม่มีเงินติดตัวต้องเก็บกระดาษและขยะในบ้านไปขาย ต้องใช้ชีวิตหากินไปวันๆ สุดเศร้าลูกถามทำไมไม่มีเงิน ลั่นจะทำหน้าที่แม่ให้ดีที่สุด
หลังจากที่ “อิทธิ พลางกรู” นักร้องชื่อดังเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อหลายปีก่อน “เจี๊ยบนางชาญดา ลียะวณิช” ภรรยาและลูกๆ ของอิทธิก็ประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก ถึงขั้นโดนไฟแนนซ์ยึดรถไปเมื่อปีที่แล้ว และล่าสุดก็ติดค่าผ่อนบ้านและกำลังจะถูกยื่นโนติสท์ จนทำให้เจ้าตัวออกมาประกาศขายบ้านเพื่อล้างหนี้สิน
4 ปีที่ผ่านมา คุณแม่ลูกสามคนนี้ต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง และมีชีวิตอยู่บนความลำบากมาได้อย่างไร วันนี้เจี๊ยบ จะมาเปิดหมดใจ
“พี่อิทธิจากไปจะครบ 4 ปีในเดือนพฤศจิกายนนี้ เราไม่ได้ต้องการออกมาบอกสื่อ เราก็ดำเนินชีวิตของเราไปตามกำลังที่เรามี แต่ที่เป็นข่าวก็เพราะว่านักข่าวได้ไปเจอเราขายไก่ในงานแห่งหนึ่ง แล้วเด็กๆ ไปร้องเพลง พอลงจากเวทีก็เอาไก่ใส่ถาดไปขายตามโต๊ะ เหตุมันเกิดจากตรงนี้ เราไม่ได้ต้องการจะออกมาเป็นข่าวเลย”
“ชีวิตที่ผ่านมาหลังจากไม่มีพี่อิทเราก็อยู่กันมาเรื่อยๆ ตอนที่พี่อิทเสียใหม่ๆ เราก็ยังไม่ได้ทำอาชีพอะไร แต่ตอนนั้นก็ยังทำงานขายประกันอยู่ แต่หลังจากที่เราไปพบลูกค้าและเจอการปฏิเสธเราก็เลยคิดว่า ใจเรามันไม่ได้ เพราะเราขี้เกรงใจ เราตื้อไม่เป็น รู้สึกอึดอัดมากที่โทรไปหลายๆ ครั้งแล้วเขาไม่ได้รับสาย ก็เลยคิดว่าเราจะทำอาชีพอะไรดี”
“ในขณะที่คิดเราก็ลาออกจากบริษัทประกันที่ทำอยู่ก็ตกงาน เมื่อเราตกงานเราก็ไม่มีรายได้ เราก็ไม่ได้ผ่อนบ้าน ไม่ได้ผ่อนรถ ในที่สุดรถก็โดนยึดไป จำได้ว่าวันนั้นกำลังจะไปงานเปิดตัวหนังสือของลูกแก้วที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ เขาก็มาดักซุ่มแถวบ้าน พอเราขับรถออกไปเขาก็ขับมาปาดหน้า และก็เดินมาเคาะกระจกรถ พอเราเปิดเขาก็ดึงกุญแจเหมือนปล้นเลย”
“ลูกก็ขอร้องเขา ขอให้เราได้ใช้รถอีกซักวันได้ไหม เรากำลังจะไปศูนย์ประชุมสิริกิติ์หนังสือของหนูออกวันแรกถ้าได้ตังค์แล้วหนูจะเอามาจ่าย แต่เขาก็ไม่ยอม เราต้องเก็บของใส่ถุงก็อปแก๊ปทั้งหมด แต่เขาก็เมตตาเรานะคะ ก็มาส่งเราที่หมู่บ้านเพื่อนให้เราเอาของในรถมาเก็บที่นี่ และเราก็ติดรถเขาออกไปอีกเพื่อไปลงที่ป้ายรถเมล์ เราไปร่วมงานด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสดใสแต่เราร้องไห้กันมากมายเลยนะ”
“แต่อยู่ดีๆ ก็มีพี่ที่อยู่พิษณุโลกโทรมาบอกคิดถึงเจี๊ยบ เป็นไงบ้างเห็นเงียบไป เราก็บอกว่าก็เรื่อยๆ ขายของอยู่ แต่ที่ไม่ไปหาพี่เพราะว่าไม่มีรถ เขาก็ถามรถไปไหน เราก็บอกถูกยึดแล้ว เขาก็บอกว่าไม่ได้แกมีลูกแกลำบากเท่าไหร่ เจี๊ยบก็บอกว่าประมาณ 7 หมื่น เขาก็ให้เงินมา 7 หมื่น”
“แต่พอโทรไปเขาบอกมันเลย 15 วันแล้วพรุ่งนี้รถจะถูกขายทอดตลาดต้องเอาเงินมาปิดในราคาเต็ม 3 แสนกว่า ก็เลยโทรไปปรึกษาเต้นท์รถซึ่งเขาเป็นแฟนคลับพี่อิท เขาก็ช่วยจะจ่ายให้ก่อนและเดี๋ยวค่อยมาหาไฟแนนซ์ เขาก็ไปไถ่รถออกมา เราก็เลยขายต่อให้เขาเลย หักกลบลบหนี้เหลือเท่าไหร่เราก็ไปซื้อรถเก่าในเต้นท์เขา ติดเงินเขาไว้อีก 4 หมื่นบาท เขาก็โอเคเดี๋ยวค่อยหามาใช้คืน แต่เป็นปีแล้วก็ยังไม่ได้เอาเงินไปจ่ายเขาเลย และรถคันนี้ก็ยังไม่ได้ไปต่อทะเบียนเพราะไม่มีเงินไปจ่ายให้เขาเพื่อต่อทะเบียน เขาก็ดีมากยังไม่ได้มาทวง”
“พอโดนยึดรถบ้านก็เริ่มมีปัญหาแต่ปากท้องก็ต้องกินต้องใช้ ก็เริ่มจากเก็บของในบ้านที่เป็นของเหลือใช้ไปขาย เสื้อผ้าเก่า รองเท้าเก่า อะไรที่ไม่ได้ใช้แล้วก็เอาไปขาย แต่ขายไปก็อยู่ไม่ได้หรอกค่ะ แค่นี้มันไม่พอรับประทาน”
“แต่ก็โชคดีที่มีคนคอยให้ความเมตตามาตลอด เพื่อนก็ให้เอาสินค้ามาขายแล้วค่อยเคลียร์ทีหลัง พี่ปู ปริศนา ก็ให้บู๊ทตลาดนัดดาราขายของที่ช่อง 3 ทุกสิ้นเดือน แต่ขายไม่ค่อยได้จนมาเจอกับเอ คนหัวหมอ เขาบอกว่า ตอนที่ช่อง 3 ทำงานกาชาดเขาขายระเบิดเลยนะได้วันละเป็นหมื่น ถ้าขายอาหารการกินจะดีกว่า เพราะเงิน 20 – 30 ก็ซื้อได้ คนมันต้องกินทุกวัน ถ้าเราทำอร่อยก็จะมีลูกค้าประจำ”
“มันทำให้เรามาทบทวนว่า จะขายอะไรดี กลับบ้านก็มานอนคิด จะขายอะไรดีนะพี่อิท คือเราจะพูดกับเขาตลอดเวลา มันเหนื่อยจังเลยพ่อ วันนี้เจี๊ยบเหนื่อยจังเลยนะ เจี๊ยบจะไม่ไหวแล้ว(ร้องไห้) ไปเปิดร้านขายของไม่มีคนซื้อก็จะพูดตลอด พ่อไม่มีคนซื้อเลย ช่วยเรียกลูกค้าให้หน่อยสิ ที่ผ่านมาเราจะพูดคุยกับเขาตลอด”
“สุดท้ายก็มาคิดได้ว่า ต้องเป็นไก่เก็บตะวันก็เพราะว่า เจี๊ยบอยู่เชียงใหม่และทุกครั้งที่ไปเชียงใหม่ ทุกครั้งที่พี่อิทกลับไปเราก็จะกินข้าวเหนียวไก่ทอดน้ำพริกหนุ่ม เวลากินก็ใช้มือมันเป็นความอบอุ่นนะ ลูกจิ้มแม่จิ้ม มันคือบรรยากาศนั้นมันอยู่ในความทรงจำของเรา ก็เลยคิดว่ามันคงต้องเป็นไก่ทอด และถ้าเป็นไก่ทอดอิทธิก็ต้องเป็นไก่ทอดเก็บตะวัน เราก็เลยเอานี่แหละ ไก่ทอดเก็บตะวัน น้ำพริกยังจำไว้”
“แต่การขายไก่ทอดของเราก็ยังไม่มีหลักแหล่ง อาศัยใครให้บู๊ทเราก็ไป ที่ผ่านมาเรามีชีวิตแบบวันต่อวัน ขายของโน่นนี่ไปเรื่อยๆ ทั้งบ้านเราเคยมีเงินเหลือแค่ 50 บาท แต่พระเจ้าก็เมตตาอยู่ดีๆ ก็มีคนรู้จักโทรมาหลานๆ อยู่ไหนพี่ วันนี้ผมจะเลี้ยงเพื่อนๆ ที่ร้านสปริงมากินข้าวกัน เรางี้แบบโอ้โห....ขอบคุณพระเจ้า มีตังค์อยู่ 50 บาทก็ยังได้ทานอาหารหรูนะ พอทานเสร็จเจ้าของร้านเขาก็บอกลูกพี่อิทธิเหรอ ช่วยร้องเพลงให้ฟังหน่อย เขาได้ติปมา 3,300 บาท คือเรามีชีวิตแบบวันต่อวันจริงๆ”
“เคยมีครั้งหนึ่งเจี๊ยบให้เงินลูกไปแล้วไม่เหลือเงินเลยซักบาท เราก็เก็บหนังสือพิมพ์เก็บขยะในบ้านนี่แหละไปขายร้านขายของเก่าหลังบ้านได้เงินมา 300 ทำให้เราได้มีชีวิตต่ออีก”
“วันที่พี่อิทจากไปเขาไม่ได้เหลืออะไรไว้ให้เรา มีเพียงค่าลิขสิทธิ์ให้ปีละ 1 หมื่นกว่าบาท เป็นเพราะเศรษฐกิจไม่ดีเราโดนไอเอ็มเอฟ และเราก็มีหนี้บ้านอยู่สองหลัง ผ่อนเดือนละ 4 หมื่นซึ่งมันหนักมากๆ ไหนค่ารถค่าน้ำมัน ค่าไฟ ค่ากินค่าใช้ของลูก ซึ่งถ้าเราไม่เป็นหนี้เจี๊ยบคิดว่า เราก็ยังพอหาเลี้ยงตัวเองได้ เพราะเราทำงานหนัก วันละ 1 พันหรือ 2 พันบาทเราพอหาได้ แต่ถ้ารวมหนี้ค่าบ้านเราไม่ไหวแล้วจริงๆ”
“ตอนปีแรกที่พี่อิทเสียเราก็ยังได้ผ่อนบ้านเพราะตอนนั้นยังทำบริษัทประกันอยู่ แต่การทำงานที่บริษัทนั้นมันทำให้เรารู้สึกแย่กับคน พอเจี๊ยบลาออกเงินที่เจี๊ยบเคยได้เป็นหลักแสนก็ไม่มี ซึ่งทำให้เจี๊ยบไม่มีเงินจ่ายบ้าน แต่ไม่เสียใจที่ลาออกเพราะถ้าเรายังทำงานอยู่กับคนที่ไม่ดี เรายอมขายไก่ชิ้นละ 20 บาทดีกว่าไปทำงานแล้วขมขื่น ไม่สัตย์ซื่อกับคนเหมือนเราไปหลอกคนอื่นแบบนั้น เรายอมขายไก่ดีกว่า ถ้าต้องรวยจากการที่ต้องทำผิดฉ้อโกงคนไม่ทำดีกว่า”
“พอออกมาเราก็คิดว่าจะขายบ้านทิ้งหลังหนึ่ง แต่ปรากฏว่าไม่มีคนซื้อมีแต่คนมาเช่า แต่พอเช่าเสร็จก็หนีค่าเช่า ค้างค่าไฟจนองค์การมายกมิเตอร์ไปแล้ว คือถ้าจะให้เขาเช่าก็ต้องไปจ่ายค่าไฟค่าน้ำค่ามิเตอร์ ซึ่งเงินเราก็ไม่มี ตอนนี้ก็ปิดบ้านหลังนั้นไว้เป็นปีแล้ว”
“ตอนแรกๆ ลูกก็ไม่รู้หรอกว่าเราไม่มีเงิน เขาก็ถามว่าเงินมันหายไปไหนหมด ที่เขาเริ่มรู้เพราะเวลาเขาขออะไรเราไม่มี ไม่ไปได้ไหมลูกทัศนศึกษาเนี่ย ทำไมต้องทัศนศึกษา เพราะที่ๆ ไปเราก็เคยไปหลายหนแล้ว เขาก็บอกว่าเป็นกิจกรรมโรงเรียนครูให้คะแนนนะ เราก็บอกเราไม่มีเงิน เขาก็งงทำไมไม่มี แม่คนอื่นเขาขายขนมครกทำไมเขายังมีทุกอย่างให้ลูกเลย มันสะดุดใจเรานะ ขอโทษนะแม่ไม่มีความสามารถเหมือนคนอื่น แต่แม่ก็จะทำให้ดีที่สุด เราก็จะบอกเขาแบบนี้”
“เด็กสมัยนี้เขาต้องมีเงินไว้ใช้ส่วนตัวไว้ไปทานไอศกรีมแต่ลูกเราไม่มี เพื่อนชวนทีไรไม่เคยว่าง จะไปร้องเพลง ไม่ได้เดี๋ยวเราต้องอยู่เป็นเพื่อนแม่ จะต้องมีเหตุผลตลอด แต่เหตุผลจริงๆ ก็คือไม่อยากจะฟุ่มเฟือยเพราะตังค์มันหายาก”
“บางทีเราทุกข์มากๆ ก็จะอธิษฐานกับพระเจ้าขอพระเจ้าเมตตาช่วยครอบครัวหนูด้วย ขอพระเจ้าช่วยเติมสติปัญญาให้หนู เราก็จะร้องไห้มันเหมือนการปลดปล่อย ไม่เคยคิดว่าจะไม่อยู่แล้ว เราอยู่เดียวว่าเราเป็นแม่ เราต้องอยู่ให้ได้ ถ้าเจี๊ยบแย่ลูกจะเป็นยังไง เราเป็นแม่นะอันดับแรก คุณอิทธิเขาเลือกเราเป็นภรรยา เขาฝากลูกไว้กับเรา ณ วันนี้ไม่ใช่เขาไม่ทำหน้าที่แต่เขาไม่อยู่แล้ว เขาไว้วางใจให้เราเลี้ยงดูลูก เราคิดอย่างนั้นไม่ได้ เจี๊ยบคิดว่า มันไม่มีความมืดตลอดไปในชีวิต มันต้องมีความสว่างเราต้องทนให้ได้ก็แล้วกัน”
“ช่วงเวลาที่ท้อแท้เราคิดถึงพระเจ้า คิดถึงพี่อิท เราจะพูดกับเขาจนเหมือนคนเพ้อเจ้อ ทุกวันนี้ก็ยังพูดอยู่ ยังงี้นะพ่อนะ พ่ออยู่ไหนนะ พ่อรู้ไหมหนูคิดถึงนะ พ่ออยู่ไหนนะ เจี๊ยบเหนื่อยจังเลย(ร้องไห้) พ่อช่วยลูกหน่อยนะตอนนี้ลูกจะไม่มีเงินเรียนแล้ว เขาเป็นผู้มีพระคุณนะ เวลาที่เราไปไหนเราจะได้รับการต้อนรับที่ดี ทั้งที่เราก็เป็นคนธรรมดา แต่เขาให้เกียรติเราในฐานะที่เราเป็นภรรยาอิทธิ ทุกคนรักพี่อิท ท่ามกลางปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ก็มีสิ่งดีเกิดขึ้นเหมือนกัน ผู้คนน้ำใจคนดีๆ ที่ให้ความช่วยเหลือเราก็มีเยอะ”
“วันนี้ถ้าเขาได้ยินเจี๊ยบอยากจะบอกว่า ขอบคุณพี่อิทที่มอบสิ่งมีค่าที่สุดให้ก็คือลูก ขอบคุณที่ให้เจี๊ยบได้เป็นภรรยาเขา และเจี๊ยบจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดให้สมกับได้เป็นภรรยาเขา เป็นคำพูดเดิมที่ได้พูดกับเขาก่อนที่เขาจะเสียชีวิต วันนี้ที่เราอยู่ได้ก็เพราะเขากับลูก”(ร้องไห้เสียงสั่น)
“พี่อิทเป็นคนดีนะ ถึงแม้จะไม่ค่อยได้อบอุ่นเพราะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน แต่พี่อิทเป็นคนให้ทุกอย่างกับเรา ให้ทุกอย่างกับครอบครัว แม้แต่เจ็บป่วยก็ยังอดทน เจ็บที่สุดก็ยังอดทนที่จะมีชีวิตอยู่ วันที่พี่อิทเสียไปทุกสิ่งที่เขาทำไม่ได้เอาอะไรไปเลย วันนี้พ่อก็ยังเลี้ยงอยู่เราอยู่เลยนะ เนี่ยพ่อส่งเงินมาให้อีกแล้วเป็นค่าลิขสิทธิ์จะกี่บาทพ่อก็ยังส่งมา จะติดต่อที่เรียนก็เป็นเรื่องของพ่อ เพราะเขารู้ว่าเป็นลูกพ่อ พ่อตายไปแล้วแต่พ่อก็ยังเลี้ยงเราอยู่”
“พ่อเคยบอกว่า ไม่ตาย พ่อพูดไม่ตายตั้งสองครั้งก่อนที่เขาสิ้นลม พี่อิทไม่เคยตายจากเจี๊ยบเลยทุกลมหายใจ ทุกวันนี้เจี๊ยบไปไหนคนก็จะเรียก ภรรยาคุณอิทธิ ภรรยาคุณอิทธิ เจี๊ยบไม่เคยเป็นแม่ม่ายสามีตายเลย เพราะฉะนั้นมันแปลว่า เจี๊ยบเป็นภรรยาพี่อิทตลอดไป ถึงแม้ว่าจะ 4 ปีแล้วนะ แต่เจี๊ยบก็ยังไม่เหมือนแม่ม่าย เวลาไปไหนเขาก็จะแนะนำว่า ภรรยาคุณอิทธิ ไปขายของหรือได้งานอะไรก็เพราะเป็นภรรยาคุณอิทธิ เหมือนเป็นโลโก้ติดที่หน้าผากเราเลย”
“น้ำตาของเราวันนี้คือ มันคิดถึงแต่บอกไม่ได้ เสียใจเรื่องอะไรไม่มีเสียใจแต่อยากให้เขาอยู่ อยากมีเขาอยู่ ถ้าเขาอยู่เราจะไม่ลำบากแบบนี้ พี่อิทจะไม่ยอมให้เราลำบากแบบนี้หรอก ตอนที่เราโดนไอเอ็มเอฟพี่อิทงานน้อย เราก็ยังบอกเขาเลยว่า พ่อไม่เป็นไรนะเดี๋ยวเจี๊ยบทำก๋วยเตี๋ยวหรืออะไรก็ได้ แต่เขาจะดูแลเราตลอดเขาสู้ ไปร้องเพลงค่าตัวไม่มากเท่าไหร่ก็รับแบ่งลูกน้องเหลือไม่กี่ตังค์ก็เอา ยอมวิ่งเยอะหน่อย แต่ถึงอย่างไรพี่อิทก็ยังมีรายได้เยอะกว่าเจี๊ยบอยู่ดี พี่อิทถึงได้ซื้อบ้านหลังนี้”
“ตอนนี้อยากจะขายบ้านทั้งสองหลังเพื่อที่จะได้ไม่เป็นหนี้ เพราะเราไม่ได้ผ่อนบ้านมา 5 – 6 เดือน อีกหน่อยทางแบงค์ก็คงจะมายื่นโนติส บ้านหลังนี้ซื้อมา 7 ล้าน ตอนนี้เป็นหนี้อยู่ 3 ล้าน ส่วนอีกหลังเป็นหนี้อยู่ 2 ล้าน รวมหนี้สินทั้งหมด 5 ล้าน ก็อยากขายใช้หนี้ให้หมด”
“เราคิดว่าถ้าเราไม่มีหนี้ก็ยังพอยู่ได้ แต่ถ้ายังมีภาระเรื่องบ้านอยู่ทุกอย่างมันหนัก น้องเกียร์ตอนนี้ก็ไปเรียนประจำที่ศาลายา ลูกเกดก็เรียนที่บดินทร์ ส่วนลูกแก้วกำลังจะเข้าม.รังสิต ที่ต้องเรียนเอกชนเพราะเรียนดนตรีมหิดลกับรังสิตค่าใช้จ่ายมันใกล้เคียงกัน แต่ถ้าเขาสอบได้แล้วไม่ได้ทุนก็คงจะไม่ได้เรียน บางคนบอกทำไมไม่ให้ลูกเรียนราม คือเรียนได้แต่ความรู้สึกของเด็กมันขมขื่นนะ หนูอยากเรียนวอยซ์หนูอยากร้องเพลงโปรให้มันเก่งไปเลยนะแม่นะ เขาชอบเขารัก แต่ถ้าให้เขาไปเรียนที่เขาไม่ได้ต้องการอารมณ์มันไม่ได้ เขาก็บอกจะทำงานหาเงินไปเรียน วันนี้เขาก็ไปทำงานสอนร้องเพลงที่กรมส่งเสริมได้เงินครั้งละ 600 บาท”
“มันเหนื่อยมากๆ เรายื้อไม่ไหวแล้วจนต้องบอกลูกว่า ไปอยู่บ้านเช่าเถอะลูก เขาก็บอกว่า แม่หนูรักบ้านนี้นะ มันเป็นบ้านที่พ่ออยู่ก่อนตาย ถ้าหนูมีเงินหนูไม่ให้แม่ถูกยึด พวกเรามีการพูดคุยกันมาตลอด วันนี้แม่หาเงินได้เท่าไหร่ ต้องไปซื้อของเพิ่มเท่าไหร่ สิ่งที่เราจะได้ใช้เท่าไหร่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นลูกรับรู้ตลอด แม่ไม่ได้จ่ายบ้านมาสองเดือนแล้วนะลูก”
“ไปขายประกันก็เอาลูกไปด้วย ไปนั่งรอลูกค้า 2- 3 ชั่วโมงเพราะลูกค้าไม่ว่าง ลูกก็จะถามว่า ทำไมแม่ต้องมานั่งรอเขาแบบนี้ เขานัดแม่หรือเปล่า ถ้าหนูทำงานได้จะไม่ให้แม่ทำหรอก เราก็ไม่รู้จะทำยังไง หนูไม่เข้าใจหรอกลูก มันเป็นอาชีพที่ทำแล้วได้เงิน เขาจะซื้อหรือเปล่าทำไมต้องให้แม่มานั่งคอยแบบนี้(ร้องไห้) หลังๆ ลูกก็ไม่อยากให้ขาย เราก็เลยมาขายไก่เขาก็ไปช่วยขาย ช่วยซื้อไก่หนูหน่อยนะคะเหมือนแทบจะกราบเขาให้ช่วยซื้อไก่ 20 บาท”
“แต่ไปขายไก่คนมันก็มีหลายแบบ บางทีลูกก็โดนแทะโลม เจี๊ยบรู้ว่าบางทีเขาก็ไม่อยากไปขายหรอกเขาโดนแทะโลม แต่ว่าแม่ขายไม่ได้ไม่มีคนเดินมาซื้อ เขาก็จะเดี๋ยวหนูทำเองเอาถาดใส่ไก่ออกไปขายแต่น้ำตาเขาไหล แต่เขาไม่ให้แม่เห็นนะ เจี๊ยบพึ่งมารู้เรื่องนี้ตอนที่เขาให้สัมภาษณ์ว่าเขาแอบร้องไห้”
“คือเราเคยอยู่ในฐานะครอบครัวที่บ้านมีคนขับรถ มีคนทำงานบ้าน แล้วอยู่ๆ คนที่เราไปขายเที่ยวงานเบียร์ คนเหล่านี้ใช้คำพูดวาจาพฤติกรรมที่รับไม่ได้ แต่ลูกเราก็ต้องรับให้ได้ เด็กเขาก็มีศักดิ์ศรีของเขาและเขาก็เป็นลูกผู้หญิง เราก็เข้าใจเขานะ เขาคงรู้สึกว่า เขาต้องโดนแบบนี้เหรอ เขาจะพูดกับเราเสมอว่า เงิน 20 บาทนี่มันมีคุณค่าจริงๆ นะ หนูรู้คุณค่าเงินเยอะขึ้นเลย ถ้าหนูจะซื้ออะไร 39 บาทไก่สองชิ้นเลยนะ”
“ทุกครั้งที่ลูกกลับมาเจี๊ยบก็จะบอกเขาเสมอว่า ขอบคุณพระเจ้านะลูกที่ทำให้ลูกได้เรียนรู้ลักษณะชีวิต ก็พูดไปเป็นเรื่องอื่น สังเกตไหมคนที่มีแอ็คชั่นแบบนี้ ฟิลลิ่งแบบนี้ รายได้แบบนี้เขาเป็นคนแบบไหน ถ้าหนูไม่อยากเป็นแบบนี้ต้องทำยังไง ขอบคุณพระเจ้านะที่ทำให้หนูได้เรียนรู้ชีวิต เขาก็เชื่อนะ เขาก็บอกว่า คิดดูสิเพื่อนหนูมีใครได้ขายไก่ทอด มีใครได้ไปร้องเพลงบนเวทีบ้าง”
“วันนี้ที่เจี๊ยบออกมาไม่ได้ต้องการให้ใครมาใช้หนี้ให้ แต่อยากให้คนที่สนใจอสังหาช่วยซื้อ ถ้าขายบ้านได้มีเงินเหลือพอซื้อบ้านหลังเล็กๆ ก็จะซื้อ ชีวิตจะไม่ใช้เงินผ่อนแล้ว รถก็จะใช้คันนี้แหละค่ะ ค่อยๆ ซ่อมไป ตอนนี้ใบปัดน้ำฝนเสียอันหนึ่งก็ค่อยๆ ซ่อมไป ถ้ามีเงินก็จะเอาไปติดแก๊สจะได้ประหยัด หรือถ้าลูกได้ไปอยู่ม.รังสิตก็อาจเอาให้เขาไว้ใช้วิ่งจะได้ไม่ต้องไปอยู่หอพัก"
" ส่วนเจี๊ยบก็อาจจะซื้อรถตู้เก่าๆ เอามาไว้ใส่โต๊ะเพื่อไปขายของจริงๆ จังๆ ตอนนี้อยากจะหาที่ขายถาวร พรุ่งนี้ว่าจะไปดูตลาดยิ่งเจริญว่าจะคุ้มไหม เรามีเงินจ่ายไหวไหม”