“แม่ทุม” อาการดีขึ้นหมอให้กลับบ้านได้ ถึงกับด่าตัวเองเลว ที่เลิกเหล้า-บุหรี่ไม่ได้ จนป่วยปางตาย พร้อมกับประนมมือสัญญาจะต้องเลิกอบายมุขให้ได้ ด้าน “รอง” เผยสุดโล่ง หลังหมอแจ้งข่าวดี แม่ทุมอาจไม่ต้องผ่าตัดลำไส้แล้ว ส่วนค่ารักษาพยาบาลที่สูงกว่า 7 แสน เจ้าตัวบอกไม่กังวล เพราะทางโรงพยาบาลลดให้แทบจะฟรี
หลังจากต้องเข้าไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลร่วม 2 เดือน เพราะป่วยเป็นโรคไทรอยด์ขึ้นตาและลงลำไส้ จนต้องผ่าตัดตาทั้งสองข้าง แถมยังต้องฉีดยาวันละ 10 เข็ม ส่งผลให้ “ปทุมวดี เค้ามูลคดี” หรือที่คนในวงการเรียกขานติดปากว่า “แม่ทุม” มีอาการเบลอจำใครไม่ได้อยู่หนึ่งสัปดาห์เต็ม ถึงกับต้องตามจิตแพทย์มาช่วยบำบัดกระตุ้นความจำให้กลับมา ล่าสุด นักแสดงอาวุโสมีอาการดีขึ้นและสามารถกลับบ้านได้แล้ว แม้ร่างกายจะยังผ่ายผอม และไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าที่ควร แต่เจ้าตัวก็ดูสดชื่นร่าเริงราวกับไม่ใช่คนป่วย
นอกจากนี้ นักแสดงอาวุโสยังบอกด้วยความดีใจว่า หากดูแลตัวเองดีๆ และร่างกายแข็งแรงอย่างนี้ตลอด อาจไม่ต้องผ่าตัดลำไส้แล้ว
“ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ลุกเดินได้ ต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน การนอน ทุกอย่างต้องดูแลสุขภาพอย่างดี ห้ามเด็ดขาดคือของหมักของดอง ที่สำคัญ เหล้าบุหรี่ห้ามเด็ดขาด ของเลวทั้งนั้นเลย (หัวเราะ) แล้วก็ต้องกินยาคุมไทรอยด์ และยาแก้ปวดท้อง เพราะลำไส้เราแปรปรวน แต่ด้วยความที่แม่เป็นคนชอบดื่ม บางทีก็สูบบุหรี่บ้าง ทั้งที่คุณหมอห้ามทำตัวเลวร้ายเด็ดขาดเลย แต่แม่ยังเลิกขาดไม่ได้ แต่ก็กำลังยายามอยู่ค่ะ ลดเหลือวันละมวนบางวันก็ 3 มวน แต่บางวันก็ไม่สูบเลยนะ”
“มันเลิกยากเพราะแม่ดื่มมาตั้งแต่สาวๆ จะให้เลิกเด็ดขาดมันก็เลยทำไม่ได้ พอเห็นคนอื่นมากินมาสูบใกล้ๆ มันก็อดไม่ได้ มันเหมือนกับยั่วยวน สันดานเราไม่ดีด้วย (หัวเราะ) มันทรมานเหมือนกันนะ เพราะแม่สูบมานานแล้ว ที่เลิกไม่ได้ก็เพราะแม่ไม่ดีไงคะ ก็เพราะว่าเลวไงคะ พูดได้เต็มปากเพราะว่าแม่เลว อย่าไปโทษเหล้าโทษบุหรี่เลยโทษตัวเองดีกว่า ปรึกษาคุณหมอตลอดแล้วท่านก็เตือนตลอด แต่เราผิดเอง ลูกสาวลูกชายดุทุกวันแต่เราไม่ฟัง แม่อยากเตือนทุกคนนะคะว่าอย่าเอาอย่างแม่ ทั้งเหล้าทั้งบุหรี่ไม่ดีเลย”
“ตอนนี้ยังไม่ได้ผ่าตัดลำไส้ เพราะแม่ต้องดูแลร่างกายให้ดีก่อน ตาที่ผ่าไปก็มองเห็นปกติ ตอนนี้เกือบหายดีแล้ว แต่ยังมีเชื้อไทรอยด์อยู่ ก็ต้องทานยาบำรุงดูแลตัวเองตามที่หมอสั่ง เรื่องของตาไม่น่าห่วงเท่าลำไส้ แต่คุณหมอบอกว่าถ้าควบคุมได้และถ้าอาการดีขึ้นก็ไม่ต้องผ่า ซึ่งแม่รู้สึกโล่งมาก บอกตรงๆ ว่ากลัวมาก ถึงได้พยายามทิ้งความเลวให้มากที่สุด ตอนนี้คือเลว ยอมรับสภาพเลยว่าตัวเองเลว จริงๆ นะแม่ไม่ได้พูดเล่น (หัวเราะ)”
“ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็จริง แต่แม่ต้องกลับไปตรวจทุกๆ 2 วัน จะมีรถโรงพยาบาลมารับ อาการแทรกซ้อนก็จะเป็นหวัด แล้วก็เพลียๆ น้ำหนักตอนนี้ก็ขึ้นมา 47 เพิ่มขึ้น 2 กิโลฯ แล้ว เพื่อนๆ พี่ๆ เค้าก็ด่าว่ามึงอ้วนซักทีสิ มึงอ้วนแล้วสวยกว่านะ ทุกคนเขาเป็นห่วง (จู่ๆ แม่ทุมก็ประนมมือแล้วให้คำสัญญากับตัวเอง) ทุมจะรักษาตัวเองนะคะ จะเลิกเป็นคนเลว จะทำให้ได้ไม่อย่างนั้นทุมแย่แน่เลยค่ะ (หัวเราะ)”
เผยช่วงที่นอนไม่ได้สติฝันเห็นคุณแม่ที่เสียไปแล้ว ฝันว่าท่านมานั่งเฝ้าไข้ จนมีกำลังใจลุกขึ้นมาสู้โรคภัยอย่างปาฏิหาริย์
“ตอนนั้นแม่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย มันเหมือนหลับไปเลย แต่จะฝันเห็นแม่ว่าแม่ว่ายังมีชีวิตอยู่ แม่ยังไม่ตายมันก็เป็นกำลังใจขึ้นมา เหมือนแม่มาคอยดูแลรักษาเรา ความรู้สึกเหมือนเห็นพระอาทิตย์สวยงาม คนเราเวลาเกิดอะไรที่แย่ๆ มักจะคิดถึงพ่อคิดถึงแม่ พอฟื้นขึ้นมารู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมาก รู้สึกเพลีย ภาวนาขอว่าอย่าเป็นอะไรนะ”
“ช่วงแรกๆ ต้องฉีดยาวันละ 10 เข็ม ฉีดอยู่หลายวัน คุณหมอจะเข้ามาฉีดให้เป็นเวลา ก็มีทั้งยาไทรอยด์ ยาลำไส้ ยาแก้ปวดท้อง สารพัดยาเลย หมอดูแลดีมาก แม่ถึงได้กลับบ้านเร็ว เอฟเฟกต์ยาอาจจะทำให้แม่เบลอๆ บ้าง แต่มันก็ดีกับร่างกายทำให้แม่ดีขึ้น ลุกขึ้นมาทะลึ่งบ้าๆ บอๆ ได้เหมือนเดิม (หัวเราะ)”
“ตอนที่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นไทรอยด์ก็เมื่อปี 2548 แต่ไม่รู้สาเหตุว่าเป็นได้ยังไง และไม่ดูแลตัวเองด้วย บอกแล้วว่าแม่เป็นคนที่แย่มาก ไม่เคยสนใจตัวเอง เป็นคนอะไรก็ได้เรื่อยเปื่อย แค่ทำให้ตัวเองมีความสุข และเห็นคนรอบข้างมีความสุขแม่ก็พอแล้ว แม่ชอบความสนุก เครียดๆ จะไม่เอาเลย”
พร้อมกันนี้ แม่ทุมยังบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า แม้ตนจะผ่านวินาทีแห่งความตายมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้มุมมองชีวิตเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย โดยบอกว่าเหตุผลเดียวคือ เพราะว่าตนเองเลวนั่นเอง
"ไม่มีเปลี่ยนเลยค่ะ แม่เลว (หัวเราะ) แต่จะพยายามเป็นคนดีค่ะ แม่ดื้อมากเลย ทำอะไรไม่ได้ก็จะทำ หยิบอะไรไม่ได้ก็จะหยิบ นิสัยไม่ดี เขาห้ามบอกให้นั่งเฉยๆ แม่ก็ไม่ยอม ฉันจะทำๆ แต่บอกได้เลยว่าเข็ด เพียงแต่ยังมีความเลวอยู่ในตัวบ้าง แม่คิดว่าสักวันจะเอาชนะมันได้ และขอฝากถึงทุกคนนะคะ อย่าเอาความเลวมาใส่ตัว ทุมเป็นคนเลว ไม่อย่างนั้นหายตั้งนานแล้วค่ะ”
เปิดใจคู่ชีวิต “รอง เค้ามูลคดี” เคยนอนร้องไห้เพราะกลัวภรรยาตายจาก!
“ตอนนี้ถือว่าดีขึ้นมาก ถ้าเห็นสภาพตอนที่หามเข้าโรงพยาบาลตอนตี 3 ที่เขาดิ้นพล่านๆๆ ซึ่งคุณหมอบอกว่ามันเกิดจากการที่เขาดื้อ พอไม่สบายก็เกาะมอเตอร์ไซค์ไปซื้อยากิน แทนที่จะไปหาหมอ มันก็เลยทำให้ลำไส้บิดตัว อาหารที่กินเข้าไปมันก็ไหลลงไปไม่ได้ ทำให้ลำไส้เกิดอาการปวดบวมแล้วดันขึ้นไทรอยด์ และยิ่งเป็นไทรอยด์ที่เป็นพิษอย่างแรงอยู่แล้ว นานเข้าก็ขึ้นสมอง ทำให้เบลอ 7 วันแรกเขาจำใครไม่ได้เลย”
“วันแรกตื่นขึ้นมาเขาถามว่าหนูมานั่งทำไม ทีแรกนึกว่าเขาแกล้ง ก็เลยเรียกยุ้ยมาแล้วถามว่าคนนี้ใคร เขาบอกขอนึกก่อน ก็เลยรู้ว่ามันไม่ใช่แล้ว หมอบอกว่าอาจจะเป็นเพราะยา ทีนี้เลยต้องตามจิตแพทย์ให้คอยคุยตะล่อมๆ ไปเรื่อยๆ เกือบ 10 วันถึงดีเป็นปกติ แต่ก็ยังมีอาการเบลออยู่บ้าง มีอยู่วันนึงพ่อนั่งอยู่ระเบียงชั้น 7 ตอนนั้น 5 ทุ่มกว่า อยู่ๆ เขาเปิดประตูออกมา พ่อถามว่าจะไปไหน บอกจะไปใส่บาตร แล้วก็เดินๆ ไปหน้าระเบียง พ่อบอกเฮ้ย...ไปไหนนั่นระเบียง เขาบอกบ้าเหรอนี่ถนน เคยมีครั้งนึงที่พ่อยังไม่ตื่น แล้วเขาหนีลงไปใส่บาตรหน้าโรงพยาบาล แล้วไปล้มจนคนเขาต้องประคองขึ้นมาส่ง”
“ต้องฉีดยาวันละ 10 เข็ม อยู่ครึ่งเดือน ฉีดจนไม่รู้จะฉีดเข้าเส้นไหนแล้ว เขาก็เจ็บ ทั้งเข็มน้ำเกลือ ทั้งยาสารพัดอย่าง เราสงสารเพราะตัวเขาก็แห้งแค่นี้ แต่มันก็ได้ผลเพียงแต่อาจจะทำให้เบลอเพราะรับยาเยอะ ทุกวันนี้ก็เดินปล๋อเลย ถึงจะเดินง่องแง้งๆ เวลาพูดสังเกตสิว่าเขายังเบลออยู่”
“จริงๆ หมอยังไม่ให้ออกมา แต่แม่เขาอยากออกมาจัดวันเกิด (6 ก.พ.) อยากมาสนุกกับเพื่อนฝูง แต่ทุก 2 วันหมอจะให้รถโรงพยาบาลมารับไปเช็ค ซึ่งก็บอกไม่ได้ว่าต้องเทียวเข้าออกอย่างนี้อีกนานแค่ไหน แต่ถ้าพูดถึงสุขภาพตอนนี้ก็หายดี 50 เปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ เวลานี้พ่อกังวลเรื่องที่ปกติเขาเป็นคนคล่องตัว ทำอะไรเร็ว แล้วเขาพยายามจะทำให้ได้อย่างนั้นอีก ซึ่งมันไม่ได้แล้ว พ่อห่วงว่าไอ้ที่ความเขาทำไม่ได้ แต่เขาจะทำให้ได้ พ่อกลัวว่ามันจะพลาด เกิดลื่นล้มไปนี่เป็นเรื่องเลยนะ”
“เขาดื้อมาก เมื่อก่อนไม่หนักใจ แต่ตอนนี้หนักใจมาก มันอาจจะเป็นเพราะว่าเราอยู่ด้วยกันมานาน 41 ปีแล้วนะ ลูกเคยพูดว่าพ่อจะอยู่ยังไง พ่อเองก็คิดว่าถ้าไม่มีเขาแล้วคงอยู่ลำบาก มันเคยอยู่ด้วยกันทุกวันๆ สมมุติว่าถ้าพ่อเป็นอะไรขึ้นมา เขาก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน ทุกวันนี้เราก็เลยพยายามอย่าให้ใครเป็นอะไร เขาดื้อก็ต้องทน เวลาไทรอยด์ขึ้นอารมณ์จะแปรปรวน แล้วเขาอาละวาด หมอต้องให้ยาควบคุมอารมณ์ ก็จะบอกลูกเราต้องทน เดี๋ยวแม่เหนื่อยก็นอนแล้ว”
“เคยขอเขาเรื่องเหล้าเรื่องยาจนเหนื่อยแล้ว ไม่ขอแล้ว ปล่อยเขา ทำได้แค่คอยเป็นพี่เลี้ยงก็พอแล้ว พ่อเคยร้องไห้เพราะทุกข์มาก ตอนที่เข้าโรงพยาบาล 5 วันแรก พ่อนึกว่าจะไม่รอดแล้ว ตี 2 ลูกกลับกันหมดแล้วเราก็นอนอยู่คนเดียว เห็นเขานอนครางอือๆๆ เขาทรมานน่ะ ลึกๆ มันจะรอดมั้ยวะเนี่ย แต่ก็ปลอบตัวเองว่าต้องรอดสิ เขาเป็นคนดี แม่เป็นคนใจบุญสุนทาน ไม่เคยคิดร้ายใคร แต่ใจนึงก็กลัวถ้าเกิดมันไม่รอดล่ะ แล้วเราจะทำยังไง คือคิดแล้วมันค้าน ตอนนั้นพ่อเลยเครียดมาก...”
เป็นกำลังใจหลักของบ้านทั้งที่ตัวเองก็ป่วยเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว
“พูดถึงกำลังใจพ่อเต็มร้อยนะ ถ้าพ่อท้อทุกคนจบ เพราะตอนอาการหนักๆ ลูกๆ เริ่มแกว่งแล้ว ฉะนั้นถ้าพ่อแกว่งไปอีกคนมันก็ไม่มีใครดึงใครแล้ว พ่อก็เลยต้องหัวเราะอยู่คนเดียว แต่ในใจทุกข์นะ แม่ป่วยครั้งนี้ถามว่าใครทรมานที่สุด พ่อนะ ทรมานเพราะต้องพยุงหลายอย่าง ตอนนั้นอาจารย์ที่ไหนว่าเก่ง พ่อโทร.หาหมด ขอให้หลวงพ่อท่านช่วย แต่ด้วยอานิสงส์ที่เขาเป็นคนดีก็เลยทำให้เขาไม่เป็นอะไรมาก พ่อไม่ชอบบนเพราะขี้ลืม ลืมแล้วเดี๋ยวซวย ก็ขอพรให้เขาหายป่วย แล้วก็ปรึกษากับลูกๆ ทำยังไงให้เขาเชื่อหมอ ไม่ดื้อ”
“ทุกวันนี้ต้องเอาเตียงให้แม่ลงมานอนข่างล่าง ไม่อยากให้ขึ้นบันไดกลัวตก นอกนั้นก็ระมัดระวังเรื่องอาหาร ของหมักดองบุหรี่เหล้าห้ามเด็ดขาด เรื่องการพักผ่อนเพราะแม่เป็นคนตื่นง่าย แล้วแม่ไม่ค่อยทานอาหารเลยบอกไม่อร่อย ซึ่งมันเรื่องใหญ่มาก คนมันจะกินกลูโคสทุกวันมันเป็นไปไม่ได้ แล้วหมอก็บอกว่าถ้าแม่ช่วยเหลือตัวเอง ก็ไม่มีใครช่วยได้แล้ว ถ้าทำไม่ได้เขาก็ไม่รอด ซึ่งพ่อคงทำได้อย่างเดียวคือจัดงานศพให้ดีที่สุด และนั่งร้องไห้เท่านั้นเอง”
“คุณหมอบอกว่าถ้าดูแลตัวเองดีๆ อาจจะไม่ต้องผ่าตัดลำไส้แล้ว และทุกคนก็หวังอย่างนั้นเพราะสงสาร คุณหมอเองก็ไม่อยากวางยาสลบ เพราะเขาไม่แข็งแรง ถ้าเกิดวางยาสลบไปแล้วเป็นอะไรขึ้นมาแล้วจะทำยังไง คุยมาล่าสุด 85 เปอร์เซ็นต์ไม่ต้องผ่า พ่อโล่งใจมาก จริงๆ เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วเขาเคยผ่ามารอบหนึ่งแล้ว อยู่ๆ มันก็ขึ้นมาอีก พ่อก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดจากอะไร โรคนี้เกิดจากสาเหตุอะไรพ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน ถามหมอก็บอกว่าคนไข้อาจจะเครียดแล้วก็หลายๆ สาเหตุ ยังดีที่เขาไม่มีโรคอื่นอีก แต่พ่อสิเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว”
“ค่ารักษาไม่ถึงกับเยอะ เป็นบุญของเขาเพราะทางโรงพยาบาลเวชธานีเขาลดให้เยอะมาก เกือบจะรักษาฟรี ถ้าจ่ายจริงๆ ไม่ต่ำกว่า 7 แสน อาจจะเป็นเพราะเขาเป็นคนดี ไปไหนใครก็รัก ทางโรงพยาบาลก็ดีกับแม่มาก พ่อก็เลยไม่กังวลเรื่องนี้เลย แต่จริงๆ ถึงจะต้องจ่ายเท่าไหร่พ่อก็ยอม รักษาตัวเขาก็เหมือนรักษาตัวเรา เพราะฉะนั้นจะหมดเท่าไหร่มันก็ต้องหมด”