ไปไม่รอด เตียงหักแล้ว “ยู่ยี่-แฟรงค์” อดีตนางแบบสาวสุดเซ็กซี่ น้ำตาแตกเปิดใจสาเหตุเลิก เพราะสามีไม่ยอมให้ทำงานในวงการบันเทิง ยอมรับเรื่องผอมมีส่วนให้เลิกกันเพราอึดอัดสามีดูแลเกินไป ส่วนกรณีข่าวติดยา-มือที่สาม ไม่ใช่ประเด็นแน่นอน ด้านฝ่ายชายบอกแยกกันไปทำงาน จากนี้ตัวใครตัวมัน บอกไม่ชอบวงการบันเทิง ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
เตียงหักร้กร้าวสวนกระแสวาเลนไทน์อีกคู่แล้ว สำหรับนางแบบสาวหุ่นเคยเซ็กซี่อย่าง “ยู่ยี่ อลิสา อินทุสมิต” หรือ “อลิสา เกวสต้า” กับสามี “แฟรงค์ เกวสต้า” โค้ชเทนนิสชื่อดัง ที่อยู่กินกันมาจนมีทายาท 2 คน ล่าสุด ได้มีกระแสข่าวว่าทั้งคู่ได้ตัดสินใจแยกทางกันแล้ว โดยเบื้องต้นสาเหตุของการเลิกรานั้น ฝ่ายนางแบบสาว ยืนยันว่า เป็นแค่การไม่เข้าใจกันในบางอย่าง และสาเหตุหลักมาจากการที่ตนอยากกลับเข้าสู่วงการบันเทิง แต่ฝ่ายสามีไม่ยอม
ซึ่งโดยทางฝ่ายสามีเดินทางมาช่วงท้ายการแถลงข่าว เปิดใจว่า ต่อจากนี้ตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างทำอาชีพพร้อมเปิดใจ เพราะอดีตภรรยาอยู่ในวงการบันเทิงเรื่องเล็กจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่
ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อปลายปีที่แล้ว ทั้งคู่ยังออกมาแถลงข่าวถึงความสัมพันธ์อันดี สามียังปกป้องอดีตนางแบบสาว ว่า ไม่อยากให้สื่อสัมภาษณ์ หรือถามคำถามที่พาดพิงถึงสภาพจิตใจภรรยา และโต้ข่าวลือค้ายาเสพติดร่วมกันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น โดยยังไม่มีทีท่าว่าทั้งคู่เลิกราแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้สื่อมวลชนจำนวนมาก เดินทางไปยังห้องส่ง อสมท เพื่อรอสัมภาษณ์อดีตนางแบบหุ่นเซ็กซี่ ที่ปัจจุบันป่วยผอมบักโกรกจนไม่เหลือเค้าเดิม ซึ่งทางนางแบบสาวยังไมได้เปิดปากทางกรณีดังกล่าว บอกแต่เพียงว่าได้มีการเลิกรากับสามีแล้วจริง และจะเปิดใจกลางรายการ “ตาสว่าง” ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี คืนนี้ (8) เวลา 22.50 น.
ก่อนการอัดรายการ “ยู่ยี่” เผยถึงกรณีเลิกราครั้งนี้ทั้งน้ำตา ว่า อึดอัดกับการอยู่บ้าน จนเป็นโรคซึมเศร้า อยากกลับเข้าวงการจนมีปากเสียงทะเลาะกันถึงขั้นหย่าขาดกันกับสามีเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ลองแยกห้องกันอยุ่มาระยะหนึ่งแต่ก็ไม่ดีขึ้น
“เราแยกกันด้วยความรัก ตอนนี้เราได้หย่ากันตามกฎหมายแล้ว เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ เราลองแยกกันอยู่แล้วมันไม่เวิร์ก ยังมีการพูดจาเสียดสีกันอยู่ เหมือนเรามีอะไรอยู่ข้างในที่เก็บกันไว้ เขาและยี่มีแรงกดดันเยอะ แล้วยี่ก็เป็นโรคซึมเศร้า บางวันถึงขนาดไม่อยากลุกจากเตียง แต่เขาก็ดูแลยี่ตลอด คือ พอข้างในที่เก็บๆ กันไว้เนี่ยพอเก็บไว้จนไม่ไหว เนี่ยก็เลยปล่อยออกมา”
“ตอนที่แถลงตอนนั้นยังไม่แยกทางกัน แต่ตอนนั้นก็ไม่ค่อยดีกันแล้วค่ะ แต่เราได้ลองแยกห้องกันเป็นเดือนแล้ว แต่มันก็ไม่ดีขึ้น ความรู้สึกเราก็ยังบั่นทอนกันอยู่ มันเป็นการทะเลาะกันที่ไร้สาระ ยี่สงสารลูก แล้วเขาก็สงสารลูก เขาบอกว่าเขาเก็บยี่ไว้ในในลูกโป่ง ไว้ข้างใน ซึ่งเราสองคนได้พยายามทำให้ครอบครัวให้เป็นครอบครัวตัวอย่าง ครอบครัวที่เพอร์เฟกต์ จริงๆมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ความสุขของลูกและความสุขของเราสองคน”
“ซึ่งก่อนหน้านี้ ยี่ ตกลงว่าเราจะเลี้ยงลูกเขาทำงานหาเงินเลี้ยงลูก ถึงจุดหนึ่ง ยี่ อยากทำงาน เขาไม่เห็นด้วย ที่ ยี่ จะเดินมาทำงานเข้ามาทำงาน แต่ ยี่ เห็นว่า ลูกเริ่มโตแล้ว สุดท้ายเจอเรื่องที่เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนค้ายา แล้วเขาก็เบื่อ แล้วเขาก็เนี่ยเหรอ ..วงการบันเทิงที่ ยี่อยากจะกลับเข้าไป เห็นมั้ยยังไม่ได้เข้าไปเต็มตัวยังเป็นขนาดนี้ ข่าวตกมาถึงผม ถึงลูก”
ก่อนจะยืนยันว่า สาเหตุที่แท้จริงของการเลิกรา สาเหตุหลักมาจากการที่ตนรู้สึกไร้ค่าและอยากหาเงินช่วยสามี อีกทั้งอยากทำงานที่ตัวเองรัก กดดันรู้สึกตัวเองไร้ค่า ถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า
“ที่เลิกก็เรื่องที่ไม่ให้ทำงานเนี่ยแหละ คือ หนึ่งในประเด็นหลัก คือ อยากมาทำงาน แต่เขาน่ะคิดว่าเขาสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่ยี่พยายามบอกว่ามันไม่เพอร์เฟกต์ ยี่ รู้สึกซึมเศร้า ก็รักษาตัวกินยาตลอด”
“คือ ยี่รู้สึกไร้ค่า ยี่ไม่ได้อยากทิ้งลูก อย่างไรยี่ก็อยากดูแลลูก ยี่แค่อยากออกมาทำงานช่วยเขาบ้าง ยี่คิดถึงคนที่มีงานที่ตัวเองรัก เขาเป็นโค้ชเทนนิสที่ตื่นตี 4-5 เขาตื่นขึ้นมาร่าเริงแจ่มใส เพราะเขาได้ทำงานที่เขารัก ยี่อยากเป็นแบบนั้นบ้าง ยี่ไม่รู้ว่าแบบนี้มันเป็นการเห็นแก่ตัวหรือเปล่า แต่ยี่ไม่ได้ขอร้องอะไรเยอะ ไม่ได้ขออะไร”
เปิดใจทั้งน้ำตา และยืนยันว่า ตนยังรักกับสามีอยู่ และเชื่อว่า ฝ่ายสามีก็ยังรักตน แต่เมื่อรักมากความรักกลับกลายเป็นเกลียดมาก จนหย่ากันถึงจะดีที่สุด ส่วนเรื่องทายาทนั้นตนจะสลับกันเลี้ยง
“ตอนนี้ ยี่ ยังรักเขาอยู่ และยี่ ก็เชื่อว่า เขาก็รักยี่มากๆ ด้วย เขาบอกรักยี่และลูกชีวิตของเขา แต่อยู่ๆ วันหนึ่งเขาก็ตัดสินใจพูด ว่า เขาไม่เคยปล่อยให้ยี่ไปไหนเลย ไม่เห็นยี่มีความสุข”
“เนี่ยจริงๆ แล้วความสุขมันอยู่แค่เอื้อมเท่านั้นเอง...(ร้องไห้) แต่จนถึงวันหนึ่งความรักกลายเป็นความเกลียด ไม่อยากมองหน้า ไม่อยากมองเห็นกัน ยี่ไม่อยากเป็นแบบนั้นเลย เพราะเรายังรักกันอยู่ ทางเดียวที่เรายังจะรักกันได้อยู่ คือ เราต่างต้องจบ เราต้องจบกันตอนนี้”
“การหย่ากันทำให้เราพูดให้ดีมากขึ้น ทำให้เราให้เกียรติกันมากขึ้น อิสระมากขึ้น เพราะมันไม่มีพันธะต่อกัน ไม่ต้องโทรหากันตลอด การหย่ากันเนี่ยเวิร์คสุดแล้ว”
“ลูกเนี่ยเราทั้งสองก็ช่วยกันเลี้ยง อย่างน้อยอาทิตย์หนึ่งเราต้องทำกิจกรรมร่วมกัน พร้อมหน้าพร้อมตา ลูกๆจะค้างที่อะคาเดมี่วันธรรมดาและยี่จะค้างที่นั่นอาทิตย์ละ 3 วันแต่นอนคนละห้องกับแฟรงค์นะคะ คุณแฟรงค์ก็ต้องสอนเทนนิสยี่ด้วยตอนเช้า ศ-อา.ก็พาลูกไปฮอลิเดย์ที่บ้านยี่และพากลับมาเย็นวันอาทิตย์ป่าป๊ารับกลับ”
พร้อมยืนยันการเลิกราครั้งนี้ไม่มีเรื่องของมือที่สาม และยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับข่าวลือติดยาเสพติดอย่างแน่นอน แต่ยอมรับว่าเรื่องผอมมีส่วนต่อความอึดอัดที่สามีเข้ามาดูแลมากเกินไป
“ยี่เป็นคนพูดได้ให้เลิกกัน ซัก 2-3 เดือนแล้ว ด้วยความกดดันหลายๆด้าน จากการที่เราต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆมันเบื่อนะ อยู่บ้านทุกๆวัน นอกจากวันไหนมีงานเราก็ได้ไปทำงานบ้าง”
“ไม่มีปัญหาเรื่องมือที่สามค่ะ ส่วนข่าวเรื่องที่ยี่ติดยาเสพติดก็ไม่มีส่วน ก็เขารู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่ ส่วนเรื่องผอมจริงๆก็มีส่วน เพราะแฟรงค์เนี่ยมาบังคับให้เรากิน ดูแลยี่ทุกอย่าง มาเป็นทุกอย่างให้ยี่ แต่ยี่กินได้แค่นี้จริง เขาอยากให้ยี่อ้วนได้อีก แต่เราก็กินได้แค่นั้นไง”
ยอมรับว่าอยากทำงานหาเงินมาใช้ด้วยตัวเอง แต่โดยหลักแล้วนางแบบชื่อดังเผยว่าเพราสามีไม่ชอบแสงสีในวงการบันเทิง
“รายละเอียดมันเยอะ ข่าวที่ไม่ควรเกิดก็เกิด แล้วมันก็ไปกระทบกับเขา ซึ่งเขาไม่เคยอยู่ตรงนี้มาก่อน เขาไม่ชิน แต่ยี่ชินแล้ว เขาไม่อยากต้องอยู่ในแสงสีเสียง จริงๆนี่ก็ไม่ใช่ประเด็นเดียวที่เราเลิกกัน เพราะว่าเขามีงานที่ทำให้เขามีความสุข มีความภูมิใจที่ได้ทำ แต่ยี่ก็เป็นคนคนหนึ่งเหมือนกันในสังคม ที่จะสามารถทำงานได้ และเลี้ยงลูกได้ ไม่จำเป็นต้องหายไปจากกวงการเลย มันเหมือนยี่ไม่มีคุณค่าน่ะ”
“คือเรื่องฐานะการเงินก็มีส่วน คือเราไม่ได้เป็นครอบครัวที่ร่ำรวยเราพอมีพอใช้ และเราตกลงกันมานานแล้วว่าเราไม่ต้องออกมาทำงานทั้ง 2 คนแต่ว่าถึงจุดหนึ่งยี่อยากใช้เงินบ้างและอยากจะช่วยบ้างน่ะ"
พร้อมบอกโอกาสรีเทิร์นก็มีโอกาสสูงหลังหย่า เพราะไม่ต้องตั้งหน้าทะเลาะกัน
“ถ้าเราหย่ากันแบบนี้ ก็อาจจะมีโอกาสรีเทิร์นไม่มากก็น้อย แต่เถ้าเราปล่อยให้ทะเลาะไปเรื่อย มันล้มแน่ๆ มันไม่ไหวแล้วที่ต้องทะเลาะกันทุกวัน มันไม่แฟร์กับลูก”
หลังแถลงข่าวไม่นาน ฝ่ายอดีตสามี “แฟรงค์ เกวสต้า” ก็เดินทางมายังห้องส่งรายการ “ตาสว่าง” และเปิดใจว่า ชีวิตหลังจากนี้ต้องตัวใครตัวมันแล้ว ต่างแยกกันไปทำหน้าที่ ยันข่าวค้ายามีส่วนทำให้ไม่ชอบวงการบันเทิง เพราะทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบครอบครัว
“เรื่องราวที่เกิดขึ้น ที่กล่าวหาว่าเป็นคนค้ายา ซึ่งมันไม่จริง ทำให้ผมไม่ชอบวงการบันเทิงมากขึ้นไปอีก จากที่ไม่ชอบอยู่แล้ว ยิ่งไม่ชอบวงการบันเทิงอยู่แล้ว ถ้าเกิดจะบอกว่ายี่เป็นโรคเอดส์หรืออะนอเร็กเซียหรือว่าเป็นคนติดยาไปสืบให้มันชัดเจนก่อนที่จะพูดพราะว่ามันโดนทั้งครอบครัวแล้วก็มันทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ได้"
"ต่อไปนี้ผมมีหน้าที่เป็นเทนนิสโค้ช ครูสอนเทนนิส ยี่ก็เป็นของยี่ต่อไป ก็ตัวใครตัวมัน นี่คือทางที่ผมคิดน่ะ การที่ใครสักคนหนึ่งที่ผมรักมากๆและผมต้องการให้อิสระกับคนๆนั้น"
***
“ยู่ยี่” โต้ ข่าวค้ายากับสามี พร้อมแจงสาเหตุที่ผอมบักโกรก
“ยู่ยี่-แฟรงค์” สุดเดือด! แถลงด่วนกรณีถูกลือค้ายา