พึ่งจะออกผลงานเพลงอัลบั้มชุดแรก “กว่าจะมาเป็นดาว” แต่ “ช่วงวิทย์ รัตนชำนอง” นักร้องลูกทุ่งก็ตกเป็นข่าวฉาว ต้องวิ่งแจ้นขึ้นโรงพักไปแจ้งความยักยอกทรัพย์ โดนงานนี้คู่กรณีเคยเป็นถึงอดีตหัวหน้ากองบรรณาธิการนิตยสารทีวีกอสซิบ บริษัทโมโน กรุ๊ป “พีรญา สนเจริญ” ซึ่งเคยเป็นผู้จัดการส่วนตัว และทำงานด้านประชาสัมพันธ์ให้กับช่วงวิทย์ แต่สุดท้ายก็ต้องวงแตกเพราะขัดแย้งกันเรื่องเงิน ทำให้นักร้องลูกทุ่งต้องมาแจ้งความยักยอกทรัพย์ร่วมมูลค่าทั้งหมด 5 แสนบาท
“ที่ต้องมาแจ้งความเพราะผู้จัดการส่วนตัวคุณพีรญา สนเจริญ ที่เคยจะดูแลเรื่องการทำพีอาร์อัลบั้ม กว่าจะเป็นดาว เขายักยอกทรัพย์ เขาเซ็ทงบขึ้นมาวันงานเปิดตัวทั้งหมด 1 ล้าน 3 แสนบาท หลังจากนั้นผมก็สังเกตุพฤติกรรมเขาหลายอย่าง ระยะหลังๆ พฤติกรรมยิ่งส่อว่าเขาไม่ได้ซื่อตรงกับเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทอง หรือกิริยามารยาท”
“ผมก็เลยเช็คส่วนที่ให้เขาไปแล้ว ซึ่งปกติส่วนที่ให้ไปแล้วจะไม่เคยเอาคืน แต่มีอยู่ชิ้นหนึ่งเป็นเครื่องประดับที่รักมาก เป็นหินโบราณหุ้มทองราคา 4 หมื่นบาท เขาบอกว่ามันจะขาดแล้ว จะเอาไปซ่อมให้ เขาก็เอาไปซ่อมจนบัดนี้ยังไม่ได้คืน ผมก็ให้เลขาฯ ทวงถามไปหลายครั้ง จนเช้าวันนี้เขาเพิ่งโทรมาบอกว่าจะส่งมาให้ทางไปรษณีย์ ผมก็คิดว่าของมีมูลค่าแบบนั้น จะส่งมาทางไปรษณีย์ได้อย่างไร”
“หลังจากนั้นผมก็ไปเช็คค่าใช้จ่ายวันงานเปิดตัวอัลบั้ม ซึ่งค่าตัวดาราทั้งหมดผมก็ไม่รู้ว่าเขาได้รับจริงหรือเปล่า และเขาเขียนมาว่ามีค่าตัวดารา 15 คน+บอดี้การ์ด+รถตู้รับส่ง รวมทั้งหมด 3 หมื่น 5 พันบาท ซึ่งพอผมไปดูวีดีโอ และรูปในวันงาน ดารารับเชิญมันไม่ถึง 15 คน แล้วงบตรงส่วนนี้ไปไหน อีกอย่างคืองบสำหรับเชิญนักข่าวทั้งหมด ผมให้ไปทั้งหมด 4 หมื่นบาท แต่เขาเอาไปให้น้องที่ดูแลตรงนี้แค่ 2 หมื่นบาท และบังคับให้น้องเขาเซ็นรับเป็น 4 หมื่นบาท ซึ่งผมมองว่าไม่ถูกต้อง”
“กับอีกส่วนหนึ่งที่เขาไปทำสัญญา ซึ่งถ้าได้รับเงินมันจะมีมูลค่ากว่า 3 แสนบาท โดยที่ผมไม่มีส่วนรับผิดชอบตรงนี้เลย จริงๆ มันต้องมีชื่อผมเป็นคนเซ็นมอบอำนาจ แต่เขาจะเป็นคนเซ็นรับไว้เองเลย ซึ่งถ้าอีก 3 เดือนข้างหน้าเทปขายหมด ผมจะรับเงินได้ยังไง ก็ต้องเป็นคุณพีรญาเป็นคนรับ ซึ่งตัวนี้มันยังไม่เกิด ทางตำรวจเลยแนะนำให้ลงบันทึกประจำวันไว้ก่อน และอีกส่วนหนึ่งคือเครื่องประดับที่ยังไม่ได้รับคืน ทั้งหมดรวมมูลค่าแล้วประมาณ 5 แสนกว่าบาท”
“นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีเรื่องเงินค่าโฆษณามูลค่ากว่านับแสน ซึ่งผมก็ไปแจ้งกับบริษัทที่ทีวีกอสซิบที่เขาเคยทำงานอยู่ทางนั้นไว้แล้ว ทางบริษัทก็จัดการให้ออกไปแล้ว คือเขารับเงินจากผมไป เพราะผมซื้อโฆษณาไว้เต็มหน้า แต่เขาไม่เอาไปจ่ายที่บริษัท แล้วทางบริษัทมาทวงกับผม ผมเลยไปเคลียร์กับที่นั่น พอตรวจสอบแล้วมันไม่ตรงกัน เงินยังไม่ถึงเขาเลยมาทวงกับผม ซึ่งจำนวนก็ทั้งหมดประมาณ 2 แสนบาท แต่ตรงนี้ไม่แจ้งความเพราะคิดว่า เสียไปแล้วและคิดว่าจะจบแล้ว เพราะเขาก็ออกมาแล้ว แค่ที่แจ้งนี่ก็ถือว่าเป็นคดีอาญาแล้ว เป็นข้อหายักยอกทรัพย์ อีกอย่างเราไม่อยากทำร้ายจนถึงขั้นไม่มีที่อยู่ไปเลย เราทำเพื่อต้องการเตือนแค่นั้นว่า ทุกคนหยุดแล้ว ตัวเขาก็ควรจะหยุดเหมือนกัน”
“และยังมีส่วนอื่นๆ ที่เขาได้จากผมไปมันมากกว่า 5 แสนบาท แต่ส่วนนี้มันคือน้ำใจและจิตใจ ผมเลยมาแจ้งความตามที่มีหลักฐานอยู่ ส่วนในข้อหาไม่ปรารถนาดีต่อกัน คิดคดทรยศต่างๆ เราไปแจ้งศาลไหนไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าเวรกรรมและบาปกรรมมีจริง”
เผยหากทางอดีตหัวหน้ากองบรรณาธิการกล่าวขอโทษ และสารภาพต่อหน้าสื่อมวลชนจะยอมให้อภัยไม่เอาเรื่อง
“ผมยังไม่ได้คุยกับเขาเลย วันที่ผมเข้าไปแจ้งที่บริษัทของเขา ตัวเขาเองก็ไม่ยอมเข้ามาห้องประชุม เรื่องเจรจานอกรอบคงเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะเขาทำเจ็บแสบมาก เอาไปเขียนว่าใน hi5 เขาคงคิดว่าเราไม่รู้ แต่เรารู้กันหมด ผู้ใหญ่ก็เปิดอ่านกันหมดเลย เขาออกไปแล้วและมาเขียนว่าจะแบนสื่อ.....สื่อไหน ซึ่งตัวเองก็หากินมากับสื่อ ทำไมไม่ให้เกียรติจรรยาบรรณของสื่อด้วยกัน”
“มีทางเดียวคือ เขาต้องขอโทษผมต่อหน้าสื่อมวลชน เขาไม่ต้องมาสารภาพทั้งหมด เพราะผมไม่ต้องการให้ใครมาแฉตัวเองเหมือนกัน เราก็มีมนุษยธรรม แต่อยากให้เขามายอมรับว่า ผมไม่ผิด ผู้ใหญ่ไม่ผิด แต่ตัวเองผิดเท่านั้นเอง ผมก็จะหยุดเรื่องคดี เพราะเงินแค่นี้ไม่ได้มีความหมายกับผมหรอก”
ด้าน “แก้ว พรีเมียร์”หรือ “ศิริ เหลืองสวัสดิ์” บรรณาธิการบริหารนิตยสารกอสซิบสตาร์ ซึ่งเป็นหนังสือที่อยู่เครือเดียวกับทีวีกอสซิบ ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็นเพียงปัญหาส่วนตัวระหว่างทั้งคู่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัท อีกทั้งพีรญาเองก็ได้ออกไปจากบริษัทโมโน เอ็นเตอร์เทนเม้นท์เรียบร้อยแล้วเนื่องจากปัญหาภายใน
“ที่เขามีเรื่องกันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรา แต่มันอาจจะเริ่มจากปัญหาภายในบริษัท ซึ่งไม่อยากจะเปิดเผยว่าเขามีปัญหาอะไรกับบริษัท และไม่ขอเปิดเผยว่าเขาออกด้วยเหตุผลอะไร แต่ก็ยอมรับว่าทางคุณช่วงวิทย์ไปแจ้งความก็อาจจะกระทบกับบริษัทบ้าง เพราะเขาเองก็เคยทำงานกับเรา อาจส่งผลให้บางคนเข้าใจผิด แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ทำงานกับเราแล้ว ฉะนั้นเรื่องที่เขาไปเกี่ยวข้องไปเอาผลประโยชน์ต่อกันทางเราไม่รับไม่รู้ เป็นเรื่องส่วนตัวบริษัทไม่มีส่วนข้องเกี่ยว”