สองสามีภรรยาเอเยนต์ส่งน้ำแข็งย่านเตาปูน โวยแจ้งจับผู้จัดการภาค บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด ยักยอกเงินประกันชีวิตกว่า 2 ปี อมเงินส่งเบี้ยประกันที่ครอบครัวทำไว้ปีละ 7 หมื่น หลังทำประกันชีวิตมาตั้งแต่ปี 2535 ร้องทุกข์กับบริษัทประกันกลับอ้างว่าไม่ได้จ่ายเงินค่าเบี้ยประกัน แถมซ้ำกรมธรรม์ขาดต่อ เผยก่อนหน้านี้เคยโกงมาแล้วครั้งหนึ่ง ตร.เตรียมเรียกสอบก่อนรวบรวมหลักฐานส่งฟ้อง
วันนี้ (23 ม.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.ที่ สน.เตาปูน นายสมบัติ โสภณธนวัฒน์ อายุ 44 ปี และนางเตือนใจ โสภณธนวัฒน์ อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 50/16 ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี แขวงและเขตบางซื่อ สองสามีภรรยาเอเยนต์ส่งน้ำแข็งย่านเตาปูน เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ไพศาล คชทรัพย์ ผกก.สน.เตาปูน และ ร.ต.ท.ศิริวัฒน์ วัฒนะศรี พนักงานสอบสวน (สบ.1) เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมกรณีแจ้งความดำเนินคดีต่อ นางหัดฤทัย รุ่งเจริญทรัพย์ อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 5/65 หมู่ 4 ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ผู้จัดการภาค สาขาอโศก บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด ในข้อหายักยอกทรัพย์ เมื่อวันที่ 15 พ.ย.50 ที่ผ่านมา
นายสมบัติ เปิดเผยว่า เมื่อหลายปีก่อนตนทั้งสองคนได้รู้จักกับนางหัดฤทัยเนื่องจากเคยส่งน้ำแข็งให้ หลังจากนั้นครอบครัวของตนก็เริ่มทำประกันชีวิตกับนางหัดฤทัย โดยเริ่มต้นเมื่อวันที่ 25 ก.ย.2535 ตนเริ่มทำประกันคนแรก เป็นกรมธรรม์แบบก้าวหน้า (มีเงินปันผล) ระยะเวลา 21 ปี เลขที่กรมธรรม์ 20320350 ส่งเงินเบี้ยประกันปีละประมาณ 26,000 บาท ซึ่งทุกๆ 3 ปี จะมีเงินปันผลคืนประมาณ 20,000 บาท ต่อมาวันที่ 29 ส.ค.2539 ภรรยาของตนก็ทำประกันชีวิตแบบเดียวกันกับตน เลขที่กรมธรรม์ 25009778 นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 2 ต.ค.2538 ตนยังทำประกัน เลขที่กรมธรรม์ 20517398 ซึ่งเป็นประกันชีวิตแบบเดียวกันกับของตนและภรรยาไว้ให้นายฐิติพันธ์ โสภณธนวัฒน์ อายุ 17 ปี ลูกชายของตนอีกด้วย
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทุกๆ ปี นางหัดฤทัยซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทจะเป็นคนมาเก็บค่าเบี้ยประกันทุกครั้ง โดยตนจะจ่ายเป็นเงินสด รวมค่าเบี้ยประกันของทั้ง 3 กรมธรรม์ ตกปีละประมาณ 7 หมื่นกว่าบาท และนางหัดฤทัยจะนำใบเสร็จรับเงินของทางบริษัท ไทยประกันชีวิต มาให้ในภายหลัง จนกระทั่งเมื่อปี 2548 นางหัดฤทัยได้บอกให้พวกตนเปลี่ยนการชำระเบี้ยประกัน จากการจ่ายเงินสดเป็นโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารธนาคารกรุงเทพ สาขานานาเหนือ ชื่อบัญชีของนางหัดฤทัยเอง ซึ่งพวกตนก็โอนเงินให้ตามที่นางหัดฤทัยบอก จนกระทั่งเมื่อประมาณ เดือน ก.ย.50 นางหัดฤทัยได้โทรศัพท์มาแจ้งว่าให้ภรรยาของตนไปตรวจสุขภาพ มิเช่นนั้นทางบริษัทจะปิดกรมธรรม์ประกันชีวิตของภรรยา ทำให้พวกตนเริ่มเอะใจเพราะคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกัน เนื่องจากพวกตนได้เริ่มทำประกันชีวิตมานานแล้ว
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นตนได้ให้เพื่อนติดต่อไปยังสอบถามยังบริษัทไทยประกันชีวิตจึงได้รู้ว่าถูกโกง เนื่องจากทางบริษัทฯ แจ้งกลับมาว่าพวกตนทั้ง 3 คนไม่ได้จ่ายเงินค่าเบี้ยประกันมา 2 ปี แล้ว จึงรีบติดต่อไปยังนางหัดฤทัยก็ได้รับคำตอบว่าไม่ต้องห่วง หากมีปัญหาอะไรจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกตนก็ติดต่อนางหัดฤทัยไม่ได้อีกเลย ในวันที่ 27 ก.ย.พวกตนจึงเข้าไปติดต่อที่บริษัท ไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่ เพื่อสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ได้รับคำตอบว่าทางบริษัทฯ จะเป็นคนสอบปากคำนางหัดฤทัยเอง และจะแจ้งให้ตนทราบภายหลัง จนกระทั่งทางบริษัทได้มีหลังสือแจ้งมายังพวกตน 2 ฉบับ ในวันที่ 24 ต.ค.50 และ 9 พ.ย.50 ว่าจากการสอบสวนนางหัดฤทัยยืนยันกับทางบริษัทว่าพวกตนไม่ได้จ่ายเงินค่าเบี้ยประกัน ส่วนเงินที่จ่ายมานั้นเป็นเงินที่พวกตนจ่ายชำระค่าแชร์ และชื้อของใช้เครื่องสำอางจากนางหัดฤทัย
ด้านนางเตือนใจ กล่าวว่า หลังจากทางบริษัท ไทยประกันชีวิต มีหนังสือแจ้งกลับมาแบบนั้น พวกตนจึงสอบถามกับทางบริษัทอีกครั้งก็ได้รับคำยืนยันว่าจะไม่รับผิดชอบจำนวนเงินที่ถูกนางหัดฤทัยฉ้อโกงไป ส่วนกรมธรรม์ประกันชีวิตของครอบครัวตนทั้ง 3 เล่มนั้นก็ไม่สามารถต่อได้ถือว่าขาดไปเลย ทำให้เงินที่พวกตนจ่ายชำระค่าเบี้ยประกันมาเป็นเวลา 15 ปี ต้องสูญเปล่าไปประมาณ 800,000 บาท และหากจะทำประกันกับบริษัทต่อไป พวกตนต้องจ่ายเงินอีกประมาณ 200,000 บาท และตรวจโรค ซึ่งเหมือนกับเป็นการเริ่มต้นใหม่ หลังจากนั้นในวันที่ 15 พ.ย.50 พวกตนก็เข้าแจ้งความที่ สน.เตาปูน นอกจากนี้ พวกตนยังเดินทางไปร้องที่ กรมการประกันภัย และ สคบ. แต่เรื่องก็ยังไม่มีความคืบหน้า โดยทางกรมการประกันภัยแจ้งตนว่าได้เรียกบริษัท ไทยประกันชีวิต และนางหัดฤทัยมาสอบปากคำแล้ว แต่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ยอมเดินทางมาที่กรมการประกันภัย
“เขาเคยโกงแบบนี้กับครอบครัวเรามาแล้วครั้งหนึ่ง โดยแม่ของดิฉันทำประกันกับเขาไว้เมื่อปี 2535 เป็นกรมธรรม์แบบเดียวกัน แต่ปี 2541 แม่ของดิฉันเข้าโรงพยาบาล แต่ไม่สามารถเบิกเงินค่ารักษาได้ เนื่องจากเขาแอบไปปิดกรมธรรม์ของแม่เมื่อปี 2540 เมื่อพวกเรารู้เรื่องก็ให้อภัย และบอกเขาว่าอย่าทำแบบนี้อีก ซึ่งก็ไม่คิดว่าเขาจะทำซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง” นางเตือนใจ กล่าว
ด้าน พ.ต.อ.ไพศาล คชทรัพย์ ผกก.สน.เตาปูน กล่าวว่า หลังจากรับแจ้งความ พนักงานสอบสวนก็ได้ออกหมายเรียกนางหัดฤทัยมารับทราบข้อกล่าวหายักยอกทรัพย์แล้วเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.50 ที่ผ่านมา โดยทางพนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัวชั่วคราวไป ซึ่งหลังจากนี้ทางพนักงานสอบสวนจะสอบปากคำผู้เสียหายอย่างละเอียดอีกครั้ง และรวบรวมพยานหลักฐานส่งอัยการฟ้องต่อไป
“ขอฝากประชาสัมพันธ์ไปยังบริษัทประกันภัยทุกบริษัท กรมการประกันภัย หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้ช่วยหามาตรการหรือวิธีให้ผู้เอาประกันส่งชำระค่าเบี้ยประกันโดยตรงกับทางบริษัทฯ เพื่อป้องกันปัญหาการถูกตัวแทนฉ้อโกงในลักษณะนี้” พ.ต.อ.ไพศาล กล่าว
วันนี้ (23 ม.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.ที่ สน.เตาปูน นายสมบัติ โสภณธนวัฒน์ อายุ 44 ปี และนางเตือนใจ โสภณธนวัฒน์ อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 50/16 ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี แขวงและเขตบางซื่อ สองสามีภรรยาเอเยนต์ส่งน้ำแข็งย่านเตาปูน เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ไพศาล คชทรัพย์ ผกก.สน.เตาปูน และ ร.ต.ท.ศิริวัฒน์ วัฒนะศรี พนักงานสอบสวน (สบ.1) เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมกรณีแจ้งความดำเนินคดีต่อ นางหัดฤทัย รุ่งเจริญทรัพย์ อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 5/65 หมู่ 4 ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ผู้จัดการภาค สาขาอโศก บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด ในข้อหายักยอกทรัพย์ เมื่อวันที่ 15 พ.ย.50 ที่ผ่านมา
นายสมบัติ เปิดเผยว่า เมื่อหลายปีก่อนตนทั้งสองคนได้รู้จักกับนางหัดฤทัยเนื่องจากเคยส่งน้ำแข็งให้ หลังจากนั้นครอบครัวของตนก็เริ่มทำประกันชีวิตกับนางหัดฤทัย โดยเริ่มต้นเมื่อวันที่ 25 ก.ย.2535 ตนเริ่มทำประกันคนแรก เป็นกรมธรรม์แบบก้าวหน้า (มีเงินปันผล) ระยะเวลา 21 ปี เลขที่กรมธรรม์ 20320350 ส่งเงินเบี้ยประกันปีละประมาณ 26,000 บาท ซึ่งทุกๆ 3 ปี จะมีเงินปันผลคืนประมาณ 20,000 บาท ต่อมาวันที่ 29 ส.ค.2539 ภรรยาของตนก็ทำประกันชีวิตแบบเดียวกันกับตน เลขที่กรมธรรม์ 25009778 นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 2 ต.ค.2538 ตนยังทำประกัน เลขที่กรมธรรม์ 20517398 ซึ่งเป็นประกันชีวิตแบบเดียวกันกับของตนและภรรยาไว้ให้นายฐิติพันธ์ โสภณธนวัฒน์ อายุ 17 ปี ลูกชายของตนอีกด้วย
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทุกๆ ปี นางหัดฤทัยซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทจะเป็นคนมาเก็บค่าเบี้ยประกันทุกครั้ง โดยตนจะจ่ายเป็นเงินสด รวมค่าเบี้ยประกันของทั้ง 3 กรมธรรม์ ตกปีละประมาณ 7 หมื่นกว่าบาท และนางหัดฤทัยจะนำใบเสร็จรับเงินของทางบริษัท ไทยประกันชีวิต มาให้ในภายหลัง จนกระทั่งเมื่อปี 2548 นางหัดฤทัยได้บอกให้พวกตนเปลี่ยนการชำระเบี้ยประกัน จากการจ่ายเงินสดเป็นโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารธนาคารกรุงเทพ สาขานานาเหนือ ชื่อบัญชีของนางหัดฤทัยเอง ซึ่งพวกตนก็โอนเงินให้ตามที่นางหัดฤทัยบอก จนกระทั่งเมื่อประมาณ เดือน ก.ย.50 นางหัดฤทัยได้โทรศัพท์มาแจ้งว่าให้ภรรยาของตนไปตรวจสุขภาพ มิเช่นนั้นทางบริษัทจะปิดกรมธรรม์ประกันชีวิตของภรรยา ทำให้พวกตนเริ่มเอะใจเพราะคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกัน เนื่องจากพวกตนได้เริ่มทำประกันชีวิตมานานแล้ว
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นตนได้ให้เพื่อนติดต่อไปยังสอบถามยังบริษัทไทยประกันชีวิตจึงได้รู้ว่าถูกโกง เนื่องจากทางบริษัทฯ แจ้งกลับมาว่าพวกตนทั้ง 3 คนไม่ได้จ่ายเงินค่าเบี้ยประกันมา 2 ปี แล้ว จึงรีบติดต่อไปยังนางหัดฤทัยก็ได้รับคำตอบว่าไม่ต้องห่วง หากมีปัญหาอะไรจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกตนก็ติดต่อนางหัดฤทัยไม่ได้อีกเลย ในวันที่ 27 ก.ย.พวกตนจึงเข้าไปติดต่อที่บริษัท ไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่ เพื่อสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ได้รับคำตอบว่าทางบริษัทฯ จะเป็นคนสอบปากคำนางหัดฤทัยเอง และจะแจ้งให้ตนทราบภายหลัง จนกระทั่งทางบริษัทได้มีหลังสือแจ้งมายังพวกตน 2 ฉบับ ในวันที่ 24 ต.ค.50 และ 9 พ.ย.50 ว่าจากการสอบสวนนางหัดฤทัยยืนยันกับทางบริษัทว่าพวกตนไม่ได้จ่ายเงินค่าเบี้ยประกัน ส่วนเงินที่จ่ายมานั้นเป็นเงินที่พวกตนจ่ายชำระค่าแชร์ และชื้อของใช้เครื่องสำอางจากนางหัดฤทัย
ด้านนางเตือนใจ กล่าวว่า หลังจากทางบริษัท ไทยประกันชีวิต มีหนังสือแจ้งกลับมาแบบนั้น พวกตนจึงสอบถามกับทางบริษัทอีกครั้งก็ได้รับคำยืนยันว่าจะไม่รับผิดชอบจำนวนเงินที่ถูกนางหัดฤทัยฉ้อโกงไป ส่วนกรมธรรม์ประกันชีวิตของครอบครัวตนทั้ง 3 เล่มนั้นก็ไม่สามารถต่อได้ถือว่าขาดไปเลย ทำให้เงินที่พวกตนจ่ายชำระค่าเบี้ยประกันมาเป็นเวลา 15 ปี ต้องสูญเปล่าไปประมาณ 800,000 บาท และหากจะทำประกันกับบริษัทต่อไป พวกตนต้องจ่ายเงินอีกประมาณ 200,000 บาท และตรวจโรค ซึ่งเหมือนกับเป็นการเริ่มต้นใหม่ หลังจากนั้นในวันที่ 15 พ.ย.50 พวกตนก็เข้าแจ้งความที่ สน.เตาปูน นอกจากนี้ พวกตนยังเดินทางไปร้องที่ กรมการประกันภัย และ สคบ. แต่เรื่องก็ยังไม่มีความคืบหน้า โดยทางกรมการประกันภัยแจ้งตนว่าได้เรียกบริษัท ไทยประกันชีวิต และนางหัดฤทัยมาสอบปากคำแล้ว แต่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ยอมเดินทางมาที่กรมการประกันภัย
“เขาเคยโกงแบบนี้กับครอบครัวเรามาแล้วครั้งหนึ่ง โดยแม่ของดิฉันทำประกันกับเขาไว้เมื่อปี 2535 เป็นกรมธรรม์แบบเดียวกัน แต่ปี 2541 แม่ของดิฉันเข้าโรงพยาบาล แต่ไม่สามารถเบิกเงินค่ารักษาได้ เนื่องจากเขาแอบไปปิดกรมธรรม์ของแม่เมื่อปี 2540 เมื่อพวกเรารู้เรื่องก็ให้อภัย และบอกเขาว่าอย่าทำแบบนี้อีก ซึ่งก็ไม่คิดว่าเขาจะทำซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง” นางเตือนใจ กล่าว
ด้าน พ.ต.อ.ไพศาล คชทรัพย์ ผกก.สน.เตาปูน กล่าวว่า หลังจากรับแจ้งความ พนักงานสอบสวนก็ได้ออกหมายเรียกนางหัดฤทัยมารับทราบข้อกล่าวหายักยอกทรัพย์แล้วเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.50 ที่ผ่านมา โดยทางพนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัวชั่วคราวไป ซึ่งหลังจากนี้ทางพนักงานสอบสวนจะสอบปากคำผู้เสียหายอย่างละเอียดอีกครั้ง และรวบรวมพยานหลักฐานส่งอัยการฟ้องต่อไป
“ขอฝากประชาสัมพันธ์ไปยังบริษัทประกันภัยทุกบริษัท กรมการประกันภัย หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้ช่วยหามาตรการหรือวิธีให้ผู้เอาประกันส่งชำระค่าเบี้ยประกันโดยตรงกับทางบริษัทฯ เพื่อป้องกันปัญหาการถูกตัวแทนฉ้อโกงในลักษณะนี้” พ.ต.อ.ไพศาล กล่าว