xs
xsm
sm
md
lg

"สหภาพฯ-เอ็กแซ็กท์" ประจันหน้าหย่าศึก จบที่แก้บทและตัดกระโปรงใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บทสรุปละคร “สงครามนางฟ้า”ยุติแล้ว “เอ็กแซ็กท์” ยอมแก้บท-สั่งคอสตูมเปลี่ยนยูนิฟอร์มให้รัดกุม ด้านผู้กำกับยันไม่ขอพูดถึงเรื่องค่าเสียหาย หากกระทบส่วนอื่นยอมทุกอย่างเพื่อยุติปัญหา ย้ำเรื่องหน้ารอบคอบมากขึ้นแน่ ด้านสหภาพฯบอกรอดูการปรับปรุงแต่ไม่ใช่จับผิด

เรียกว่าจบลงด้วยดีแล้วสำหรับบทสรุปของข้อร้องเรียนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย ที่เรียกร้องให้แก้ไขบางฉากบางตอนของละครสงครามนางฟ้าที่อาจขัดต่อภาพลักษณ์ของแอร์โฮสเตท และพนักงานทำงานบนเครื่องบิน จนเป็นข่าวครึกโครม

ล่าสุดวันนี้ (25) ที่กระทรวงวัฒนธรรม ทางเอ็กแซ็กท์ได้ส่ง “ป้อน นิพนธ์ ผิวเณร” ผู้กำกับ และผู้เขียนบทโทรทัศน์ มาร่วมถกหาข้อสรุป ส่วนทางสหภาพฯส่งนาย “สมศักดิ์ ศรีนวล” รักษาการณ์ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย และนาย “กฤษณรัตน์ บูรณะสัมฤทธิ์” รองประธานสหภาพฯ ร่วมด้วยนาง “ฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร” รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมเป็นประธานในการหาข้อสรุปของเรื่องดังกล่าว

โดยนาง “ฉวีรัตน์” เผยว่ารู้สึกดีที่เรื่องดังกล่าวจบลงด้วยดี โดยมีการปรับแก้บางฉากซึ่งทางเอ็กแซ็กท์ก็ยินยอมแก้ไขทั้งปรับบทและเครื่องแต่งกายของแอร์โฮสเตส

“วันนี้เรื่องที่เรามาประชุมกันจบลงด้วยดีทั้งสองฝ่าย ซึ่งที่เราประชุมกันนั้นทางผู้จัดละคร เขาก็ยินดีทำตามข้อตกลงของทางสหภาพทุกอย่าง ทางผู้จัดละครจะยอมปรับแก้ในส่วนต่างๆ ตามที่อีกฝ่ายได้ขอร้อง โดยที่เปลี่ยนบทในฉากที่ตัวแสดงทะเลาะวิวาทกันในชุดยูนิฟอร์ม ซึ่งตรงนี้ทางสหภาพฯก็พอใจและเห็นสมควร”

“กับวันนี้ทางกระทรวงก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ทางสหภาพฯได้มาร่วมประชุม และร่วมเสนอถึงมาตรการต่างๆ ทำให้เราได้เห็นถึงความตื่นตัว อีกอย่างเราก็ดีใจที่เราก็เป็นสื่อกลางทำให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ด้วยดี”

ด้าน “ป้อน นิพนธ์ ผิวเณร” ผู้กำกับ เผยว่า ทางต้นสังกัดก็จะยอมตัดฉากที่ทะเลาะเบาะแว้งในชุดยูนิฟอร์มออกทั้งหมด และจะปรับกรุงให้กระโปรงยาวขึ้นอีก 2 นิ้ว

“หลังจากที่ประชุมมาแล้ว ทางเราได้ตกลงว่าเราจะยอมตัดฉากที่ตัวแสดงทะเลาะวิวาทกันในที่สาธารณะและสวมใส่ชุดยูนิฟอร์ม สองคือเราจะปรับให้กระโปรงของพนักงานต้อนรับบทเครื่องมีความยาวเพิ่มขึ้นอีก 2 นิ้ว ตอนนี้เราก็สั่งให้ทางคอสตูมได้มีการปรับเปลี่ยนใหม่แล้ว"

"และอีกอย่างที่ทางสหภาพฯขอ เราก็จะเพิ่มบท การทำงาน การปฏิบัติงานบนเครื่องบิน ของพนักงานต้อนรับ เราจะนำเสนอถึงการทำงานที่หนักและมีระเบียบ เพื่อประชาชนและหลังจากนี้ทางเราก็จะตัดลดและเพิ่มบทบางฉากสั้นๆ เพื่อให้เห็นแง่มุมต่างๆ ของอาชีพนี้เพิ่มขึ้น แต่ตอนนี้เราติดอยู่ตรงที่ว่าเราถ่ายไปเยอะพอสมควรแล้ว ประมาณ 80% แต่เราก็จะเพิ่มเติมบางส่วนเพื่อให้ดูมีความเหมาะสม”

“ส่วนเรื่องของความเสียหายจะเป็นอย่างไรนั้น ทางบริษัทเราจะไม่ขอพูดถึงในเรื่องตรงนี้ เพราะเราอยากให้เรื่องจบลงด้วยดี แต่จริงๆแล้วจุดยืนของเรา เราต้องการทำละครให้สนุก และละครเรื่องนี้ก็ใช้เงินทุนไปเยอะมาก เราต้องบินไปต่างประเทศ ตรงนี้เราก็ใช้งบประมาณไม่อั้น ชุดพนักงานบนเครื่องก็ต้องตัดใหม่ เราต้องไปเช่าพื้นที่ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งค่าเช่าก็แสนแพง แต่เราก็ถ่าย"

"ดังนั้นมันคงเกินที่จะคิดแล้วว่าเราต้องเสียหายไปเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เราอยากทำตอนนี้คือ ทำให้ปัญหาทุกอย่างมันจบลงได้ด้วยดี ไม่ว่าจะเป็นทางสหภาพหรือคนดูเอง กับการตกลงวันนี้เราไม่ได้คิดว่าจะแค่ทำตามข้อเรียกร้องของทางสหภาพฯ แต่การปรับลดหรือเพิ่มเติมหลังจากนี้ ถึงอย่างไรละครของเราก็ยังสนุกและมีสีสันเหมือนเดิม”

ส่วนกรณีสื่อต่างชาติวิพากษ์วิจารณ์ถึงสาเหตุของข้อพิพาทครั้งนี้ว่า เกิดจากความแยกแยะไม่ได้ของคนไทยระหว่างละครกับเรื่องจริงนั้น ผู้กำกับละครชื่อดังบอก สังคมทีวีของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน เปรียบเทียบไม่ได้

“สังคมมันต่างกันนะ อย่าโทษเลยว่าคนไทยแยกแยะไม่ได้ เพราะประเทศเขากับประเทศเราไม่เหมือนกัน ทีวีมันเป็นเรื่องของแมส ทีวีเป็นเรื่องของประชาชน มันไม่ผิดหรอกว่าเขาจะแยกแยะได้หรือไม่ได้ เพราะว่าทีวีมันเป็นเรื่องของการรีเฟล็กซ์ การส่องสะท้อนว่าประเทศนั้นเป็นอย่างไร"

"ตรงนี้มันไม่ใช่เรื่องผิดหรอก เพราะทีวีแต่ละประเทศมันต่างกัน ซึ่งมันเป็นสื่อของประชาชน เป็นความบันเทิงในบ้าน และมันก็มีลักษณะเฉพาะ และผมก็เชื่อว่าโปรแกรมทีวีแต่ละประเทศมันก็ไม่เหมือนกัน เพราฉะนั้นจะเอาบรรทัดฐานของประเทศหนึ่งมาตัดสินประชาชนอีกประเทศหนึ่ง ผมไม่เห็นด้วยเลย เพราะประชาชนมันต่างกัน”

“ผมอยากจะสรุปว่า การที่เราทำละครซักเรื่องหนึ่งนั้น เรามีจิตใจเดียวกัน คือเราอยากให้ทุกคนสนุก และคนดูชอบงานของเรา แต่สำหรับวันนี้มันก็จะมีคำถามขั้นมาว่า แล้วมันจะกระทบกระทั่งใครบ้างหรือเปล่า แล้วมันจะเกิดผลลบผลร้ายบ้างหรือเปล่า ตรงนี้มันก็จะเป็นคำถามที่เกิดขึ้นของการทำสื่อทำละคร”

พร้อมปฎิเสธข่าวมีปัญหากับผู้เขียนบทประพันธ์ แต่ยอมรับเรื่องหน้าจะรอบคอบมากขึ้น...“ก็มีการเข้าไปพูดคุยกันบ้าง และผมอยากจะบอกว่าเจ้าของบทประพันธ์เขาน่ารักมาก เราคุยกันตั้งแต่แรกแล้วว่าบทประพันธ์ที่เราซื้อมานั้นอยู่ที่ว่าเราจะตีความในรูปแบบไหน หรืออย่างไร คือเขาไม่ได้เข้าไม่ยุ่งเกี่ยวว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้"

"คือเราก็ปรึกษากันมาตลอด เราไม่มีปัญหาอะไรกันเลยกับเจ้าของบทประพันธ์ เพียงแต่ว่าประเด็นที่เราจะนำเสนอนั้นมันเป็นดราม่ามากกว่า คือผมอยากจะพูดว่าละครเรื่องนี้ เราไม่ได้นำเสนอเบื้องหลังของการทำงาน ของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน แต่เรานำเสนอถึงเรื่องของชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่เกิดขึ้นจริง”

“ส่วนเรื่องหน้า อย่าเรียกว่าระมัดระวังเลย มันคงจะเป็นการรอบคอบมากกว่า ว่าเราควรจะทำหรือไม่ทำอะไร จุดขายอยู่ตรงไหน แล้วทำออกไปแล้วจะกระทบกระทั่งใครบ้างหรือเปล่า นอกจากความสนุกสนานที่เราอยากให้ วันนี้ก็ถือว่าตกลงกันได้ด้วยดีครับ”




ส่วนทางสหภาพการบินฯ นาย “สมศักดิ์ ศรีนวล” รักษาการณ์ประธานสหภาพแรงงานและรัฐวิสาหกิจการบินไทย แจงต่อกรณีดังกล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยเรียกร้องเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อสังคม ไม่ใช่หาเสียงเลือกตั้งคณะกรรมการสหภาพฯในองค์กร แต่อย่างใด

“สำหรับวันนี้เราไม่ได้ต้องการที่จะออกมาร้องเรียนเพื่อตัวเอง แต่เราต้องการที่จะออกมาร้องเรียนให้สังคมได้รับประโยชน์ จากการบริโภคสื่อ กับตรงนี้มันไม่เรื่องของความพอใจหรือไม่พอใจ แต่เราเล็งเห็นและเป็นห่วงอนาคตของชาติ และเยาวชน เราเลยอยากให้ทางทีมงานผู้สร้างละครลดฉากบางฉากลงและวันนี้เราก็ขอขอบคุณกระทรวงวัฒนธรรมที่เป็นสื่อกลางเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีความเสมอภาคกัน”

“ทุกคนก็รู้สึกดีที่เราออกมาเรียกร้องในครั้งนี้ บางคนก็บอกว่าช้าไปมั้ยที่เพิ่งออกมา ซึ่งผมก็ยังไม่เคยได้ยินว่า จะมีใครมาบอกว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่เราทำแบบนี้ ส่วนการที่มีกระแสข่าวออกมาว่าการที่ออกมาร้องเรียนครั้งนี้ ที่จะออกมาสร้างกระแสในการเลือกตั้งนั้นผมอยากจะขอชี้แจงตรงนี้ว่าผมจะไปหาเสียงเลือกตั้งอะไร หาเสียงเลือกตั้งกับใคร ในเมื่อเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของสังคม ผมไมได้ไปสมัครสว.หรือส.ส. เรื่องภายในมันก็คือเรื่องภายใน"

"อย่าเบี่ยงเบน เอาเรื่องที่ดำเนินการนี้ไปโยงกับเรื่องการหาเสียงอันนั้นไม่ใช่ และผมก็มั่นใจว่าการที่พวกเราออกมาร้องเรียนครั้งนี้ไม่มีใครได้ประโยชน์อะไรทั้งนั้น”

“เรื่องนี้ผมทราบว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าหากการนำเสนอนั้นไม่ไปก้าวล่วงถึงสถาบันไม่ได้มาบอกว่าเรื่องนี้เกิดในระบบถึงแม้คนที่อยู่ในวิชาชีพนั้นจะไม่พอใจเท่าไหร่ แต่การแสดงออกนั้นมันกลายเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคลเพราคุณเอาตัวบุคคลมานำเสนอในเรื่องที่ผิด มันไม่ดี เพราะฉะนั้นคนที่จะต้องมาแอนตี้ในเรื่องนี้ มันก็จะต้องเป็นคนคนนั้น"

"แต่เรื่องนี้เห็นเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องที่มีคนเขียนมาแล้ว เขียนว่าตัวเองเป็นคนดี แต่คนอื่นเป็นคนเลวร้ายหมด แล้วคนที่เลวร้ายมันมีภาพออกมาว่าเขาเลวร้าย เขาก็ต้องออกมาพูดซิ เพราเขาถูกกระทำ อย่างอาชีพคุณหมอ หรืออาชีพอื่นนั้น เขาไมได้พูดถึงเรื่องของระบบ และสิ่งที่เกิดขั้นในวันนี้มันกลายเป็นว่าคุณเอาสังคมของอาชีพคนกลุ่มหนึ่งมาบอกว่ามันไม่ดี”

พร้อมทั้งเผยบทสรุปในครั้งนี้ว่ารู้สึกพอใจที่ทางเอ็กแซ็กท์จะมีการแก้ไขบท ซึ่งทางสหภาพฯจะดูอยู่ห่างๆ ย้ำไม่ใช่การจับผิดแต่ถือเป็นความรับผิดชอบที่ทางต้นสังกัดละครเองก็จะได้เครดิตที่ดีเช่นกันหลังจากปรับแก้

“สำหรับข้อเสนอดังกล่าวของทางเอ็กแซ็กท์ผมถือว่ามันเป็นความรับผิดชอบในระดับหนึ่ง ของทางบริษัท ที่เขาเห็นในความสำคัญของข้อท้วงติง และมันก็เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจและจริงใจ ร่วมกันแก้ไขเรื่องนี้ ซึ่งผมคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นประโยชน์กับเอ็กแซ็กท์เอง และทางผู้ชมที่ชมละคร คือถ้าเกิดการตกลงกันในวันนี้ ทางเอ็กแซ็กท์ทำได้ และเป็นผู้นำประเด็นที่ผมได้เสนอแนะไปแก้ไขและปรับปรุง เครดิตก็จะตกมาอยู่ที่เอ็กแซ็กท์”

“แต่ถ้าถามผมว่าปัญหาในครั้งนี้ยุติลงหรือยัง จริงๆแล้วเรื่องนี้มันก็ไม่ใช่ปัญหา หรือความขัดแย้งอะไรที่รุนแรง แต่ถ้าถามว่ายุติมั้ยระหว่างเอ็กแซ็กท์กับเรา เราก็ไม่ได้มีข้อบาดหมางอะไรกันมาก่อนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทางเอ็กแซ็กท์ต้องรับผิดชอบทางสังคมคือทางสังคมต่างหาก แต่ถ้าเกิดทางเอ็กแซ็กท์ปฏิบัติตามได้ ก็ถือว่ายุติลงได้ด้วยดี”

“ผมว่าบริษัทเอ็กแซ็กท์เป็นบริษัทที่ใหญ่นะ สิ่งที่เขาพูดออกมาแล้ว ผมก็ว่าเราน่าจะให้เกียรติกัน คือเราไม่ได้อยากจะสร้างปมใหม่ขึ้นมา หลังจากนี้เราก็จะติดตามดูอยู่ห่างๆ เราไม่ใช่ดูเพื่อที่จะจับผิด แต่การที่ออกมาร้องเรียนครั้งนี้ผมก็ถือว่ามันเป็นบทเรียนที่เอ็กแซ็กท์จะสามารถนำไปพิจารณา"

"แต่ถ้าหากทางเอ็กแซ็กท์ไม่ทำตามอย่างที่เราข้อร้องของเรา ตรงนี้เราก็ต้องดูก่อน แต่เราก็ไม่อยากพูดอะไรไป เพราะมันจะเป็นการออกมาจับผิดเขามากกว่า คือทางเราก็ไม่ใช่เจ้าของสังคม เราเป็นเพียงคนคนหนึ่งที่อยู่ในสังคม เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาสัญญามันเป็นแค่สัญญาประชาคม เป็นสัญญาต่อสาธารณะ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว หลังจากนี้ถ้าหากเขาไม่ทำตาม มันก็อาจจะไม่มีแค่ผมคนเดียวก็ได้ อาจจะเป็นกลุ่มคนอื่น ร้องเรียนต่อไปก็ได้”


กำลังโหลดความคิดเห็น