xs
xsm
sm
md
lg

“ปรัชญา” เชื่อคนไม่เปรียบเทียบ “จีจ้า-จา”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ปรัชญา” ไม่หวั่นคนดูเปรียบเทียบ “จีจ้า - จา พนม” บอกทั้งคู่เดินถนนคนละเส้นทางกัน ฝ่ายนางเอกหน้าใหม่ยอดนักบู๊ไม่มีคู่แข่ง แถมการีนตีคะแนนแอกติ้งบทเด็กออทิสติกสอบผ่านแน่

เซอร์ไพร์สอีกครั้งกับผลงานของผู้กำกับชื่อดังฝีมือดี  “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” หลังจากที่ปั้นพระเอกนักบู๊ “จา พนม ยีรัมย” ให้ดังโกอินเตอร์ไปแล้ว แถมตอนนี้เตรียมดันซูเปอร์สตาร์ฮีโร่หญิงคนใหม่ของเมืองไทย “จีจ้า ญาณิน วิสมิตะนันทน์” นางเอกหน้าหวานนักบู๊ ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง “ช็อคโกแลต” ที่เตรียมออกโรงต้อนรับตรุษจีนนี้

งานนี้เลยอดโดนมองเปรียบเทียบกับยอดนักบู๊ชายรุ่นพี่ อย่าง “จา พนม ยีรัมย์” ส่วนผู้กำกับชื่อดังบอก 2 คนนี้มาคนละเส้นทางกัน เพราะเส้นทางของจีจ้าไม่มีคู่แข่ง แถมชมนางเอกยอดนักบู๊ขยัน เชื่อบทบาทการแสดงทำได้ดี ตีบทเด็กออทิสติกแตกกระจุยแน่นอน

“มันเป็นถนนเส้นเดียวกัน แต่ว่านี่คือฝ่ายหญิง แล้วฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงมันถูกแยกกันอยู่แล้วไม่ใช่การเปรียบเทียบนะครับ เพราะฉะนั้นการเปรียบเทียบคงไม่มีแน่นอนถ้าจะเปรียบเทียบคงเปรียบเทียบกับนักสู้ผู้หญิงคนอื่นๆ แต่เดี๋ยวนี้คนดูๆ ออกว่าอะไร คือ ซีจี อะไร คือ ของจริงเพราะฉะนั้นเส้นทางนี้ของจีจ้าแทบจะไม่มีคู่แข่งทางที่ดี คือ ทำออกมาให้ดีที่สุดแล้วก็เอาชนะใจคนดูให้ได้แค่นั้นเอง”

“เรื่องการแสดงเขาดีมากครับ อาจจะเป็นเพราะว่าเขามีการบ้านส่วนตัวมาก่อนเป็นความถนัดส่วนตัวของเขาด้วยแล้วเรื่องนี้เขาเล่นเป็นเด็กพิเศษ ซึ่งเราก็ให้เขาไปคลุกคลีกับเด็กออทิสติกจริงๆ แล้วให้เขาอินเข้าไปในตัวนั้นเขาก็ทำได้ดีมากจนช่วงสองปีหลังมานี่ ทางทีมงานยังเริ่มไม่แน่ใจเลยว่าเขาเป็นจริงๆ เลยรึเปล่า แล้วหลายๆ ฉากผมก็ให้เขาแสดงออกมาเอง หรือว่าบางฉากเขาก็จะแย้งว่าแบบนี้มันน่าจะออกมาเป็นอย่างนี้ๆ นะอะไรประมาณนี้ครับ”

หลังจากเจอหน้านางเอกนักบู๊คนนี้ ปรัชญา บอกอึ้งในความสามารถที่ขัดกับบุคลิกจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นหนังให้นางเอกคนนี้โดยเฉพาะ

“คือ ตอนแรกเราเสร็จจาก จา พนม เราทำหนังไปสองเรื่อง เราเลยอยากจะทำหนังแอกชันผู้หญิงไทยบ้าง ตอนแรกอยากได้ผู้หญิงผิวเข้มๆ ผิวไทยหน้าตาไทยๆ ก็กำลังหาอยู่แต่พอจีจ้ามาแคสหนังของ พันนา ฤทธิไกร เรื่องเกิดมาลุย บุคลิกเขาก็ไม่ได้ตรงตามที่เราต้องการหรอก แต่ว่าพันนาเขาสะดุดตรงความสามารถส่วนตัว ที่มันเซอร์ไพรส์ และมันขัดแย้งกับตัวตนเขามาก คือ ดูแล้วก็น่าสนใจ เลยคิดว่าคุยกับน้องแล้วก็ชวนมาทำงานด้วยกัน ก็เลยให้เขาหยุดงานทุกอย่างแล้วก็มาฝึกซ้อมสองปีกว่าที่เราจะเริ่มถ่ายหนัง”

“ตอนแรกน้องเขาเป็นครูสอนเทควันโด แล้วก็เรียนหนังสือด้วย ก็เลยฝึกมวยไทยเพิ่มขึ้น ฝึกยิมนาสติก ฝึกศิลปะแขนงอื่นๆ รวมไปถึงดาบ กระบี่ กระบอง แล้วก็ฝึกแอกชันช่วงถ่ายวันแรกกับวันสุดท้ายก็สองปีรวมแล้วสี่ปีวันสุดท้ายที่ถ่ายแอกชันเราเห็นพัฒนาการของเขาดีขึ้นมากๆ”

“เจอเขาก่อนแล้วก็มาคิดพล็อต ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อก่อนเลยว่าผู้หญิงจะมาสู้ผู้ชายได้ ณ วันนี้มันยากที่จะหลอกให้เชื่อได้เมื่อก่อนผมดูในหนังมากี่เรื่องๆ ก็หลอกได้ แต่สมัยนี้คนดูหนังมันเปลี่ยนไปให้เชื่อยากมาก ถ้าผู้หญิงจะมาสู้กับผู้ชาย ผมตั้งโจทย์กับตัวเองไว้สูงเหมือนกัน ยิ่งเขามาตัวเล็กๆ อย่างนี้ก็เลยหาเรื่องหาพล็อตให้มาช่วยหน่อย ก็เลยคิดว่าเด็กออทิสติก เราเองก็ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกันว่าทำไมเขาเก่งมันเซอร์ไพรส”

“ส่วนในตัวน้องเขาผมมั่นใจมากเพราะในเรื่องของความสนุก ผมว่าสนุกแต่ในเรื่องของบทหนัง ผมยังยอมแพ้อยู่ เพราะว่ามันเป็นจุดอ่อน ขนาดผมพร้อมมีเงินจ่ายสูงมากแต่ผมหาคนเก่งมาช่วยเขียนไม่ได้แต่ยังไงบทหนังเราก็ดีที่สุดแล้ว เราก็ถ่ายไปเราก็ไม่หยุด”

บอกสาเหตุของการถ่ายหนังเรื่องนี้นานถึง 4 ปี เพราะหนังแอกชันรายละเอียดเยอะ ต้องมีการช่วยกันแก้หลายขั้นตอน แต่มั่นใจสนุกไม่แพ้เรื่องอื่นที่ทำมาแน่
“ความเป็นแอกชันมันยาก เราก็ดูว่าอะไรที่มันไม่ดีเราก็แก้ลงอีกเติมอีก ก็เอาหลายๆ คนมาช่วยแม้กระทั่งมะเดี่ยวก็มาช่วยในเรื่องของการขัดเกลาในขั้นตอนสุดท้ายจนกระทั่งการตัดต่อ แต่ผมว่ามันโอเคนะคือดีที่สุดแล้วกับการทำงานในตรงนี้

“คิดว่าสนุกนะ คนน่าจะชอบเพราะว่าหนังเรื่องนี้จุดเด่นมันอยู่ที่แอกชันมันล้นมากจนผมต้องลดทอนลงไปมากแต่ในส่วนของบทก็โอเค เพราะมันก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งของหนังผมไม่อายที่จะพูดแบบนี้เพราะว่ามันเป็นภาษาของหนังไทยเรา และหนังเรื่องนี้เป็นแอกชันอีกแบบหนึ่งที่ผมจะฉีกตัวเองออกไปให้ไกลที่สุด

กำลังโหลดความคิดเห็น