เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 13
ยินเสียงเปรื่องปร่างดังออกมาจากในห้องมณฑา ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่า ธิดาคนโตของท่านคหบดีโสภณกำลังระเบิดอารมณ์โกรธแค้น ที่พวกตะลุงยังไปไม่พ้นบ้านสักที อยู่ในนั้น
ภายในห้อง แจกันแตกเป็นเสี่ยงๆ ตกเกลื่อนพื้น มณฑามองดูมันอยู่ครู่หนึ่งด้วยท่าทีหงุดหงิด จนเบาอารมณ์ลงได้ระดับหนึ่ง ในห้องนั้นยังมีมารศรียืนมองพี่สาวอย่างเข้าใจอยู่ที่มุมห้อง
“ไอ้พวกตะลุงบ้า ทำยังไงถึงจะไล่พวกมันให้ไปพ้นๆ ซะที”
“พี่มณฑา การที่พวกมันได้อยู่ต่อเนี่ย มันก็เป็นเรื่องสุดวิสัย พี่ไม่ต้องหงุดหงิดขนาดนี้ก็ได้”
มณฑาคุมแค้น “ต้องขนาดนี้แหละ พี่อุตสาห์ยอมลดตัวไปนั่งพื้นกับพวกมัน ดูซิแล้วยังไง”
มารศรีบ่นบ้าเบาๆ “ก็น้องถามแล้วว่าจะนั่งเหรอ พี่ก็บอกว่าจะนั่ง...”
ไม่ทันมารศรีจะพูดจบคำดี มณฑาก็เข้ามาประชิดตัวซะแล้ว มารศรีหวาดหวั่นกับทีท่าของพี่สาวมากขึ้น แต่เคราะห์ดีที่มณฑาไม่ได้สนใจเรื่องที่มารศรีพึมพำ
“ไอ้พวกตะลุง แกจะได้อยู่บ้านฉันอีกไม่นานแน่”
สร้อยพีหิ้วกระเป๋าพกความหงุดหงิดงุ่นง่านเดินมุ่งหน้ากลับเรือนแถวบ้านพักชาวตะลุง ในหัวก็ยังวนเวียนคิดแค้นแต่เรื่องที่มาลีทำกับเที่ยง ทั้งเรื่องกลิ่นแป้งหอมบนเสื้อ โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องอยู่ที่พระนครต่อ คิดว่าเป็นแผนของมาลี ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น สร้อยพีหยุดกึก เหลียวขวับกลับไปมองที่ตึกใหญ่ด้านหลังด้วยความไม่พอใจ ยืนคุมแค้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับเดินต่อไปด้วยความหงุดหงิด
เที่ยงกำลังหยิบเอาของที่อยู่ในกระเป๋าสัมภาระเก็บเข้าที่ทางเหมือนเดิม และจึงพบว่าเสื้อตัวหนึ่งของเขาหายไป นับนิ้วทวนดูดีแล้วก็รู้ว่ามันหายไปจริงๆ พึมพำกับตัวเองว่า
“เสื้อหายไปหรือเปล่าเนี่ย”
เที่ยงเลิกสนเรื่องเสื้อที่หายไป เริ่มจัดของต่อ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่ได้อยู่พระนครต่อ
“ดูเหมือนว่าตอนรื้อกระเป๋า จะเร็วว่ากว่าตอนจัดกระเป๋ากลับนะเที่ยง”
เที่ยงหันมามองตามเสียงเห็นเป็นพยอม ก็รีบสงวนท่าที
“อ้าว พยอมเองเหรอ”
“เที่ยง แสดงออกแบบนี้ ระวังจะมีคนเสียใจนะ”
“หึ ใครเสียใจ” เที่ยงไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าที่พยอมหมายถึงคือสร้อยพี
พยอมทบทวนกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งว่าจะพูดออกไปดี หรือไม่พูดดี สุดท้ายตัดสินใจเด็ดขาด
“อย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะเที่ยง คือ สร้อยพี...”
ไม่ทันที่พยอมจะได้พูดจบ สร้อยพีก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง บอกชัดว่าอารมณ์ไม่ดี ซึ่งทำให้ เที่ยงและพยอมต้องเปลี่ยนใจที่จะคุยเรื่องเมื่อครู่ต่อ เที่ยงเห็นสร้อยพีเป็นแบบนั้นก็รีบเข้ามาไปหา
“เป็นอะไรไปสร้อยพี ใครทำอะไรให้ไม่พอใจงั้นรึ”
“ไม่มีอะไรพี่”
พยอมมองดูอยู่ห่างๆ ไม่เข้าใจว่าสร้อยพีเป็นอะไร
“แต่พี่ว่าต้องมีแน่ เพราะพี่ไม่เคยเห็นเอ็งเป็นแบบนี้เลย”
“ก็สร้อยพีบอกแล้วว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีซิ”
สร้อยพีพูดแทบเป็นตวาดใส่ เที่ยงสะอึก อึ้งไป จนสร้อยพีรู้สึกตัวที่ใส่อารมณ์กับเที่ยงโดยไม่รู้ตัว ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างเงียบกัน พยอมเห็นท่าไม่ค่อยดี จึงเสนอตัวเข้ามาแก้ไขสถานการณ์
“เอ่อ พี่เที่ยง คือเราเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า อาโพนให้มาตามไปหาน่ะ”
“งั้นพี่ไปหาอาโพนก่อนนะ สร้อยพี”
สร้อยพีพยักหน้ารับเอาคำ
เที่ยงเดินออกไปจากตรงนั้น สร้อยพีมองตามหลังไป พยอมเข้ามาสร้อยพี ด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไรไป สร้อยพี”
สร้อยพีไม่ตอบ
นายโพนนั่งอยู่ที่แคร่ใต้ร่มไม้บริเวณลานกว้างด้านหลังเรือนแถว เอามีดมาเฉือนชิ้นหนังที่ยังไม่ตัดเป็นรูป แล้วเอาตัวตะลุงไปผึ่งแดด มีตะลุงรูปเทวดา ฤาษี ตัวตลก ตัวพระนาง และตะลุงของสร้อยพี
เที่ยงตามหานายโพนจนมาเจอ เดินเข้าไปหา
“อาโพน เรียกผมมีอะไรเหรอ”
“เฮ้ย เปล่าเรียก”
“แต่พยอมบอกว่า อาเรียกผม”
“แก โดนพยอมหลอกแล้วละ”
นายโพนส่ายหัวขำๆ ที่เด็กพวกนี้ยังแกล้งกันอยู่ตั้งแต่เล็กจนโต
“พวกแกสามคนเนี่ย ทั้งพยอม ทั้งเที่ยง และ ก็สร้อยพี แกล้งกันมาตั้งแต่เด็กๆ จนโตป่านนี้ก็ยังแกล้งกันอยู่อีกเหรอ นี่มันกี่ปีแล้วนะ”
“หลายปีมาก อย่างกับว่า ตั้งแต่พวกเราจำความได้เลยมั้ง”
เที่ยงมองไปยังตัวหนังตะลุงที่ผึ่งแดดอยู่ ไล่ตามลำดับความสำคัญของตัวละครลงไป จนมาหยุดสายตาที่ตัวหนังที่เขาทำให้สร้อยพี
“เหมือนกับพวกเรา…”
นายโพนต่อคำให้ว่า “เป็นครอบครัวเดียวกันใช่มั้ย”
เที่ยงพยักหน้าแทนคำตอบ
ทางด้านสร้อยพียืนคุมแค้นนิ่งขึงอยู่ตรงริมหน้าต่าง ยังคงวนเวียนคิดแค้นใจเรื่องมาลีไม่วายเว้น
ส่วนอีกฟากหนึ่ง มาลียืนขบคิดอยู่ในห้องบนตึกใหญ่เช่นกัน เธอคิดไม่ตกเกี่ยวกับทีท่าแปลกๆ ของสร้อยพี ที่แสดงออกมาทุกครั้งที่เจอกัน
วันนี้มัลลิกาเข้าออฟฟิศแต่เช้า ขลุกอยู่กับงานจนกระทั่งถึงตอนบ่าย และเวลานี้เธอจ้องมองภาพบนจอคอมพิวเตอร์ เป็นภาพถ่ายของเธอที่เจนจิราถ่ายด้วยมือถือในวันงานเปิดตัวนิตยสาร Bitter Sweet
ทุกรูปล้วนมีเงาดำพาดทับหน้าเธอหมด ดูอยู่ครู่หนึ่งจึงกดปิดเครื่อง จอก็ดับลง มัลลิกาพยายามบอกตัวเองให้เลิกสนใจเรื่องแปลกๆ ที่เกิดกับชีวิตเธอระหว่างนี้
“ทำไมเรา ต้องตกอยู่ในภาวะแบบนี้ด้วยนะ ฉันเคยไปทำอะไรเธออย่างนั้นเหรอ”
ไม่นานนักก็มีน้องพนักงานในออฟฟิศเดินเข้ามาหา
“พี่มะลิคะ พี่เจนให้มาบอกว่า บ่ายสาม ให้เข้าห้องประชุมค่ะ”
มัลลิกาแปลกใจ “วันนี้มีประชุมเหรอ”
“เดิมเลยไม่มีหรอกค่ะ แต่ว่าเมื่อสายๆ เกิดฟ้าผ่าค่ะ มีสปอนเซอร์เข้า แถมเหมาเกือบทุกคอลัมน์ สปอนเซอร์รายนี้เลยขอคุยคอนเซ็ปต์ด่วนขึ้นมาซะงั้นค่ะพี่”
“เหรอ อยากรู้แล้วเนี่ย ว่าใครเป็นสปอนเซอร์”
ภาคอยู่ตรงมุมหนึ่งของทางเดินเข้าสำนักพิมพ์ คุยกับใครบางคนอยู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแม่ดาราไฮโซคนนี้นี่เองเป็นสปอนเซอร์เหมาซื้อโฆษณา Bitter Sweet ทั้งเล่ม
ใครบางคนที่ภาคคุยด้วยก็คือแคทลียานั่นเอง
“เรื่องนั้นมันยากตรงไหน แล้วพี่ล่ะ คอนเซ็ปต์ที่ว่าเจ๋งเป็นยังไง”
“โอ้ อยู่แล้ว รับรอง หลังฉบับออนไลน์นี้ เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ แน่นอน”
แคทลียามองเลยภาคไปมองหาเจรมัย
“แล้ว…พี่เจ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เห็นว่าใกล้จะถึงแล้ว เราไปรอเจตรงนั้นกันก็ได้นะ”
“ไม่ใช่ แคทจะถามว่าพี่เจ เค้ารู้เรื่องนี้แล้วใช่มั้ย”
“เอาจริงมั้ย เจยังไม่รู้อะไรเลย”
ลึกๆ แคทลียากลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเอาเลย หล่อนเริ่มเป็นห่วงความรู้สึกของเจรมัย แต่ก็ไม่ทักท้วงอะไรไป
“แล้วพี่ทำแบบนี้ เจเค้าจะโอเคเหรอ”
เจรมัยพาตัวเองเข้ามาในอาคารสำนักพิมพ์ เขาเดินขึ้นบันไดผ่านโถงทางเดิน จนมาเจอกับภวัตที่กำลังเซ็นเอกสารด่วนให้ลูกน้องอยู่พอดี เมื่อเซ็นเสร็จภวัตมองมาที่เจรมัย สองหนุ่มมองกันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอึดอัด จนในที่สุดเจรมัยก็เป็นฝ่ายทำลายความอึดอัดนั้นขึ้น
“คุณภวัตครับ”
สองหนุ่มยืนอยู่ด้วยกันตรงมุมลับตาผู้คน ภวัตส่งน้ำดื่มให้เจรมัย
“คงเป็นเรื่องมะลิซินะ ที่คุณอยากคุยด้วย”
“ผม…อยากรู้ว่า…คุณเป็นคนยังไง”
ภวัตแปลกใจ “อะไรนะ”
“คือ…ผมแค่อยากรู้ว่าผู้ชายที่มะลิเลือก เค้าเป็นคนยังไง”
“เฮ้…คุณเจ ใจเย็น ผมกับมะลิ ยังไปไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”
“คุณนี่แคร์มะลิจริงๆ เลยนะครับ แค่จะพูดความจริง คุณยังถ่อมตัว”
“ผมไม่ได้ถ่อมตัวอะไรเลย มันเป็นเรื่องจริงนี่ครับ คุณเจ...คุณก็แคร์มะลิอยู่ใช่มั้ย”
“ผมว่าคำตอบของผมคงไม่สำคัญอะไรหรอกครับ เอ่อ...งั้นผมขอถามคุณอีกเรื่อง”
“เรื่องอะไรครับ”
“เรื่องถ่ายแฟชั่นที่ล็อกคิวมาให้ผมกับแคทถ่ายคู่กันแบบกระทันหัน จนต้องมาคุยคอนเซ็ปต์กันวันนี้ เป็นแผนของคุณหรือเปล่า”
ภวัตประหลาดใจ “เรื่องนี้คุณไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ เหรอ แคทไม่ได้เล่าอะไรเลยงั้นหรอ”
“ไม่นี่ครับ”
“แล้วผู้จัดการคุณก็ไม่บอกอะไรคุณเหมือนกัน”
“ผู้จัดการผม...เกี่ยวอะไรเหรอ”
“ก็ไอเดียพวกนี้มาจากพี่ภาคผู้จัดการของคุณเลย เค้าเสนอแผนโปรโมตคุณกับแคทที่กำลังไปด้วยกันได้ในช่วงนี้ โดยใช้ แมกกาซีน ออนไลน์ ของเรา แล้วก็สนับสนุนให้แคทซื้อสปอนเซอร์ของเราจนเกือบหมด”
“นี่พี่ภาค อยู่เบื้องหลังงานนี้อีกแล้ว” เจรมัยขุ่นเคืองใจขึ้นมา
ภาพบนจอโปรเจ็กเตอร์ในห้องประชุม เป็นเรฟเฟอเรนซ์ภาพแนวพรีเวดดิ้ง ของคู่รักคู่แต่งงาน ทั้งมองตา โอบไหล่ จูบปาก แคทลียานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของโต๊ะ ฝั่งตรงข้ามมีมัลลิกานั่งอยู่ทั้งคู่นิ่งทำทีว่าไม่เห็นกัน มีภาคอยู่ตรงกลาง
เจนจิรามองมัลลิกากับแคทลียาสลับกัน มือก็กดปากกาลูกลื่นเปิดๆ ปิดๆ จนภาคหันมามอง เจนจิราถึงรู้ตัว หยุดกด เจรมัยกับภวัตเดินเข้ามาในห้องประชุมพร้อมๆ ภาคจึงเริ่มพรีเซ็นต์คอนเซ็ปต์แฟชั่นผ่านโปรเจ็กเตอร์
“นี่ก็คือคอนเซ็ปต์ Bitter Sweet Vol.2 ที่ผมวางไว้ และเพื่อให้ทุกอย่างยังอยู่ในกระแส ผมว่าสัปดาห์หน้าก็ควรจะเริ่มถ่ายกันได้เลย อ้อ ผมพูดตกไป สำหรับเรื่องชุดผมว่าต้องอยู่บนคอนเซ็ปต์บ่าวสาว”
เจนจิราอึดอัด จนต้องทักท้วงขึ้นว่า “ขอพูดหน่อยนะ คือคอนเซปท์ของ Bitter Sweet เองเนี่ย มันไม่ใช่แนวคู่รักหวานสบตาขนาดนี้นะพี่ภาค”
“Bitter...Sweet หวาน...ขม เล่ม2 เนี่ยคอนเซ็ปต์ หวาน เล่มแรกคอนเซ็ปต์ ขม ไง ผมเชื่อว่ามันขาย”
ภาคพูดพลางหันไปมองมัลลิกา ซึ่งกำลังรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของอีกฝ่าย ในที่สุดจึงเลื่อนเก้าอี้ขยับตัวไปหาเจนจิรา
“พี่เจน มะลิขอไปข้างนอกดีกว่า มีตติ้งนี้ มะลิคงไม่ได้ช่วยอะไรพี่ได้เท่าไหร่”
“อืม แกออกไปเถอะ” เจนจิราเข้าใจและเห็นใจ
เจรมัยเองก็รู้สึกเห็นใจมัลลิกาเช่นกัน จนอยากจะแสดงความคิดเห็นของตัวเอง
“คือพี่…”
“แคทไม่โอ”
แคทลียายิ่งดูรูปตัวอย่างยิ่งไม่แน่ใจ จึงโพล่งขึ้นมา แต่ภาครีบหันไปสวนตอบก่อนที่แคทลียาจะพูดอะไรต่อ
“แต่จุดประสงค์ที่ขึ้นปกคราวนี้ ก็เพื่อให้ผู้อ่านติดตามข่าวของทั้งสองคน ที่ต่อเนื่องมาจากมิวสิควิดิโอไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ตีเหล็กตอนยังร้อน แล้วจะไปตีตอนไหน”
เจอเสียงแข็งของภาคเข้าไป แคทลียาถึงกับสะอึก อึ้งไปครู่หนึ่ง
“คนสมัยนี้ถ้าไม่เล่นแรงๆ ใครเค้าจะติดตามข่าว คิดซิ หลังจากงานนี้ วิน วิน กันทุกฝ่าย แคทเจก็จะถูกสนใจ Bitter Sweet ก็มีกระแส แล้วตอนนั้นอาจจะเสียดายก็ได้ที่เล่นกระแสเบาไป”
“คือ แคทรู้สึกไม่สบายใจยังไงไม่รู้” แคทลียาแย้งออกไปจนได้
ภาคมองฉงน “ไม่อิน แคท น้องเป็นนักแสดงนะ มืออาชีพหน่อย”
บรรยากาศในห้องเงียบลง ภาคดูจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“แต่ผมว่าการสร้างกระแส มันควรจะคิดถึงเรื่องความรู้สึกคนทำงานคนที่เกี่ยวข้องด้วย”
พูดออกไปแล้วเจรมัยถึงรู้ตัวว่าเหตุผลที่เขาพูดไปเมื่อครู่ มันอาจทำให้แคทลียาเสียใจหรือเปล่า จึงขยับเก้าอี้ตัวเข้าไปหาแคทลียาพูดให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“แคท ที่ผมพูดมันไม่ได้หมายความว่าไม่อยากทำงานกับแคทนะ”
แคทลียาจับบ่าเจรมัยอย่างเข้าใจและจริงจัง
“ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวกับที่พี่เจพูดเลย หนำซ้ำแคทก็กลับรู้สึกเห็นด้วยกับความคิดพี่เจ ถ้าแคทรู้สึกมีคำถามกับงาน...แคทเองก็จะไม่อินแบบนี้แหละพี่เจ”
ภวัตเห็นความอึดอัดของแคทลียา เขาจึงต้องขยับปากเพื่อแก้ไขสถานการณ์
“ทุกคนครับ เราพอจะเห็นแล้วว่า แคทและเจ มีคำถามกับคอนเซ็ปต์ที่พี่ภาคพรีเซนต์ งั้นเราถอยมาตั้งหลักกันใหม่มั้ยครับ ค่อยๆ คิดแนวที่เหมาะสมกับแคทและเจ มากกว่านี้ จะดีมั้ยครับ”
“ฉันก็เห็นด้วยกับภวัต ถ้าจะถ่ายงานกันโดยไม่ยึดคอนเซ็ปต์หลักของหนังสือละก็ เราว่าอย่าทำกันดีกว่า” บอกอสาวบอก
ภาคเสียหน้าที่การนำเสนอของตนจบลงไม่สวยแบบนี้
“คิดแบบนั้นกันใช่มั้ยครับ งั้นผมขอตัว”
ภาคหุนหันออกจากห้องไปทันที เจรมัยรีบลุกตามไป
ภาคเดินเร็วรี่มาตามทางเดิน เจรมัยรีบเดินมา เมื่อพ้นโค้งทางเดินจึงพบว่าภาคหยุดยืนรออยู่แล้ว
“ตามพี่มานี่จะมาหาเรื่องหรือไง”
“มีหลายเรื่องเลยแหละ เรื่องแรกที่พี่ไปพูดดูถูกความรู้สึกมะลิในที่ประชุม พี่ทำแบบนั้นทำไม”
ภาคยิ้มเยาะ “อ้อ ที่บอกว่า ฉบับสอง หวาน แต่ฉบับแรก ขม น่ะเหรอ”
“พี่ไม่สนความรู้สึกของมะลิเลยใช่มั้ย”
ภาคบอกอย่างไม่แคร์ “สนทำไม ทำไมต้องสนด้วย”
“พี่ไม่สน แต่ผมสน”
ภาคฉุนกึก และไม่พอใจมากขึ้น “เฮ้ย เจ เกินไปรึเปล่า”
“ไม่เกินหรอกพี่ แล้วเรื่องที่สอง ผมว่าพี่เปลี่ยนไป พี่เหมือนไม่แคร์ว่าผมเป็นยังไง พี่สนแต่เอาผมไปทำโน้นนั้น นี้ เพื่อจะหาเงิน”
“ก็อาชีพ แล้วไง เจก็อยากมีอาชีพเลี้ยงครอบครัวเลี้ยงแม่ไม่ใช่เหรอ หรือว่าพอเจอว่ามีญาติพี่น้องรวยแล้วก็ติสต์แดก”
เจรมัยชักโกรธด่าโดยไม่ไว้หน้า “พี่แม่งแย่ว่ะ ทำเป็นอ้างผม แต่ที่พี่ทำทั้งหมดก็เพื่อตัวพี่เองต่างหาก พี่ห่วยลงทุกวัน รู้ตัวบ้างมั้ย”
ภาคเหลืออดบันดาลโทสะ โถมเข้าต่อยหน้าเจรมัยจนหงายเงิบล้มลงไป เจรมัยไม่คิดโต้ตอบ ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันนิ่งๆ
“นี่แค่สั่งสอนนะเจ อย่าทำให้พี่ผิดหวังบ่อยนัก”
ภาคไม่สนใจเจรมัยเดินหนีออกไปเลย
โดยในมุมที่ไม่มีใครเห็นตอนนี้ ผีสร้อยพีขึงตามองตามภาคไปอย่างโกรธแค้น
มัลลิกาเก็บของเตรียมกลับบ้าน สายตามองเห็นเหรียญนาฏที่ได้มาตอนไปนครฯ กับเจรมัย ก็อดคิดถึงวันเวลาดีๆ และมีความสุขตอนอยู่ที่นั่นด้วยกันไม่ได้
สักครู่หนึ่งแคทลียากับภวัตก็เดินมาด้วยกัน แคทลียามองมาทางมัลลิกาแว่บหนึ่ง ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม ราวกับว่าความคิดแค้น ความริษยา ที่มีต่อมัลลิกาจะลดลงไปแล้ว
แต่เป็นมัลลิกาเองที่ยังไม่วางใจสาวไฮโซเท่าไหร่นัก
ภวัตคุยกับแคทลียาไม่ห่างจากจุดที่มัลลิกาอยู่นัก
“เอาตามนี้ก่อนนะวัต แคทคุยกับพ่อแล้ว พ่อก็เข้าใจ ไม่มีปัญหาที่จะเลื่อนทุกอย่างออกไป”
“อืม...ได้”
“ขอบใจนะวัต ที่ช่วยให้เหตุการณ์ไม่ลุกลาม”
“หน้าที่น่ะ นั่นก็งานผมเหมือนกัน”
“ไปละ แล้วเจอกัน”
แคทลียาเดินแยกไปทางบันได ภวัตเดินมาหามัลลิกาที่โต๊ะ
“ว่าไง ได้ข่าวว่าพอมะลิออกมาประชุมเดือดกันเลยเหรอ”
“ก็ใช่ แต่จบลงไม่แย่นะ”
“งั้นก็ดี แล้วจะถ่ายกันเมื่อไหร่ล่ะ”
“งานแฟชั่นเซ็ตคู่รักน่ะเหรอ ก็สรุปว่าถูกรื้อทั้งหมด ไม่มีการถ่ายคอนเซ็ปต์นี้แน่นอน แคทกับเจ เค้าไม่สบายใจที่จะถ่าย”
ภวัตพูดไปโดยหวังให้มัลลิกาสบายใจขึ้น และมันได้ผล มัลลิกาโล่งใจขึ้นที่ได้ยินประโยคนั้น
“มะลิสบายใจ เรื่องเจขึ้นแล้วใช่มั้ย”
มัลลิกายิ้มบางๆ แทนคำตอบ ภวัตตระหนักชัดแล้วว่าในใจมัลลิกาคงจะมีแต่เจรมัยเท่านั้น
สองคนยิ้มให้กัน
บังเอิญอะไรเบอร์นี้ เจรมัยเดินมาเห็นภาพที่ทั้งสองคนยิ้มให้กันและกันเต็มๆ ตา แล้วก็น้อยใจเสียใจตามระเบียบ ได้แต่เฝ้ามองก่อนที่จะหลบเร้นออกไป
“ผมว่าเจ เค้าก็แคร์คุณอยู่นะ”
“เอ๊ย…ภวัต เจเค้าก็มีแคทอยู่ทั้งคน”
ภวัตคิดตาม
ที่มุมมืดของสำนักพิมพ์ ผีสร้อยพีปรากฏกายยืนจ้องมองภาค ที่กำลังเดินมาตามทางเดิน พร้อมกับคุยสายหน้าตาซีเรียส
“พังหมดครับ เฮีย ไม่มีแล้วครับงานถ่ายแฟชั่น ผมคงต้องหาทางอื่นแทน แน่นอน ผมจะบีบให้กระแสเจกับแคทออกมาเร็วที่สุดครับ”
ผีสร้อยพีขึงตามอง ถึงเวลาแล้วที่จะต้องกำจัดภาคเสียที
“ไอ้เลว วันนี้อะไรก็จะช่วยมึงไม่ได้อีกแล้ว”
ผีสร้อยพีจางหายไป
ภาคเดินเข้าไปในลิฟต์ กดลงไปชั้น G ไฟในลิฟต์ก็กระพริบๆ อย่างประหลาด แถมประตูลิฟต์เปิดค้างอยู่นาน จนภาคแปลกใจจึงชะโงกหน้าออกไปดูหน้าลิฟต์ ซึ่งในจังหวะนั้นเองใครบางคนก็พุ่งผ่านประตูลิฟต์เข้ามาโดยเร็ว ภาคตกใจรีบถอยตัวเข้าในลิฟต์ ในจังหวะที่ประตูลิฟต์ก็ปิดลง
เกิดไฟดับๆ ติดๆ อีกครั้ง ผีสร้อยพีก็ปรากฏกายขึ้นในลิฟต์ใกล้ๆ ภาค ด้วยประสบการณ์เจอผีมาหลายครั้ง ไวเท่าความคิด ภาคหยิบยันต์เจ้าคุณขึ้นมาชูใส่ แต่เขาแทบช็อกเมื่อพบว่ายันต์ทำอะไรผีร้ายไม่ได้ หนำซ้ำยันต์เจ้าคุณไหม้เป็นจุณในพริบตา
ประตูลิฟต์เปิดออกภาควิ่งหนีตายไปตามทางเดิน บังเอิญชนเข้ากับมัลลิกาที่เดินมาพอดี ผีสร้อยพีตามติดไม่ห่าง ภาคจับมัลลิกาเข้ามาขวางผีร้ายไว้ ซึ่งมะลิก็เห็นว่าผีสร้อยพีกำลังเคลื่อนตัวเข้ามา เธอถึงกับช็อกสุดขีด ผีวิญญาณแค้นยิ้มร้ายอย่างย่ามใจ คราวนี้แหละจะได้จัดการมันไปทั้งสองคนพร้อมกันเลย
“มึงมาช่วยมันงั้นรึ อีมาลี ดี กูจะได้กำจัดเลยทั้งคู่”
ผีสร้อยพีคำราม แล้วเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ ภาคตัดสินใจผลักมัลลิกาเข้าไปหาผีร้าย ส่วนตัวเองก็ถลาหนี
แต่แล้วจู่ๆ ผีสร้อยพีก็หยุดกึก เป็นเพราะมัลลิกา ยกเหรียญนาฏขึ้นมาชูออกไปตรงหน้า ผีสร้อยพีโกรธแค้น สุดขีด หายวับไป มัลลิกาหอบหายใจ ยังตกอยู่ในความกลัว
ภาคเห็นคาตาถึงอานุภาพของเหรียญนาฏอีกครั้ง จึงอยากได้มาครอบครอง มองซ้ายแลขวาจนมั่นใจว่าผีสร้อยพีล่าถอยไปแล้ว ภาคจึงทำทีเป็นเข้าไปช่วยฉุดกระชากมะลิออกมา แรงกระชากของภาคทำให้เหรียญกระเด็นหลุดมือตกลงพื้นไป
ภาคมองปราดเดียวจนเห็นว่าเหรียญอยู่ตรงไหน จึงลากมะลิให้เข้าไปซ่อนตัวในห้องๆ หนึ่ง แล้วปิดประตูลง
“มะลิ หนีไปก่อนเลย”
มัลลิกาซ่อนอยู่หลังประตู กลัวจับใจ พยายามมองหาเหรียญนาฏจนทั่วแต่ก็ไม่เจอ
“อ๊าก.....”
มะลิได้ยินเสียงร้องโหยหวนของภาค จึงรีบถดตัวถอยหนีออกห่างจากประตูด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
ภาคอยู่อีกด้านของประตูเป็นปกติทุกอย่าง ไม่ได้บาดเจ็บ หรือเจ็บปวดใดๆ อย่างที่เขาส่งเสียง และกำลังยืนจ้องประตูที่ดันมัลลิกาเข้าไป ก่อนที่ก้มมองดูเหรียญนาฏในมือตัวเอง ยิ้มอย่างสมใจ
“ผีชั่ว มึงเจอกูแน่”
ภาคเดินออกไปอีกทาง
เจรมัยยืนอยู่ริมถนนแถวสำนักพิมพ์ คิดทบทวนเรื่องมัลลิกา
เริ่มจากตอนที่ภาคพูดดูถูกมัลลิกาในห้องประชุม จนเธอต้องขออนุญาตเจนจิราออกไป มาถึงตอนที่มัลลิกา เห็นเค้าคุยอยู่กับแคทลียาสองต่อสอง ต่อจากนั้นเป็นเหตุการณ์หลังจากภาคต่อยเขา และต่อว่าเขาที่ปกป้องมัลลิกา
สุดท้ายเป็นคำพูดของภวัตที่ถามเขาตรงๆ “ไม่ได้ถ่อมตัวอะไรเลย มันเป็นเรื่องจริง คุณเจ คุณก็แคร์มะลิอยู่ใช่มั้ย”
“ผม...ว่าในคำตอบ ผมคงไม่สำคัญอะไรหรอกครับ”
คิดแล้วเจรมัยมองดูมือถือตัวเอง เหมือนลังเลที่จะโทร.หามัลลิกา
ทางด้านมัลลิกายังคงนั่งอกสั่นขวัญแขวนอยู่ที่หลังประตูนั้น
“พี่ภาค พี่เป็นอะไรมั้ย พี่ภาค”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบกลับมา
มัลลิกายิ่งหวาดหวั่น คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเลื่อนมาจนถึงชื่อเจรมัย คิดทบทวนว่าจะโทร.หาเขาดีมั้ย สุดท้ายก็ตัดใจไม่โทร.
จู่ๆ เสียงสายเรียกเข้าก็ดังขึ้น มัลลิกาสะดุ้งสุดตัว รีบกดรับ
“ฮะ ฮัลโหล”
เสียงเจรมัยดังออกมา “มะลิ คือผม...มาคิด”
“เจ ช่วยด้วย”
เจรมัยได้ยินเสียงร้อนรนของมัลลิกาก็ตกใจ
“เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น แล้ว…ตอนนี้มะลิอยู่ที่ไหน”
เช้าวันใหม่เมื่อในอดีต ผ้าขาวที่ตากอยู่บนราวไม้รวกข้างทาง ปรากฏเป็นเงาปลาตะเพียนสองสามตัว และรูปตัวตั๊กแตน
เสียงเด็ก1 ดังขึ้น “อยู่นี่เอง ปล่อยให้ตามหาตั้งนาน” ตามมาด้วยเสียงเด็ก 2 “ไหนๆ ก็มากับครบแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
ทั้งหมดเป็นการเล่นของเด็กๆ ข้างทาง ระหว่างที่สองคนเดินกลับจากตลาดผ่านมาทางนี้ มาลีหยุดมองอย่างสนใจ จนเที่ยงซึ่งช่วยถือตะกร้าให้มาลีสังเกตเห็น
“น่ารักจัง ไม่เคยเห็นเด็กแถวนี้เล่นแบบนี้เลย สงสัยจะเอาแบบมาจากตะลุงของคณะนายเที่ยงแน่เลย”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกขอรับ”
“คิดอย่างนั้นรึ”
“ใช่ซิขอรับ ดูเด็กๆ เล่นน่าสนุกจังนะขอรับ”
มาลียิ้มเห็นด้วย
เที่ยงคิดได้บางอย่าง บอกใบ้ให้มาลีรออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวเขาจะทำอะไรให้ดู
เวลาผ่านไป ท่ามกลางเงาปลาตะเพียน ตั๊กแตน จู่ๆ ก็มีเงามือรูปหมาโผล่เข้ามาไล่งับเงาของเด็กๆ จนพากันแตกกระเจิง สร้างเสียงหัวเราะให้เด็กๆ มาลีเองก็ยิ้มหัวในความน่ารักน่าเอ็นดูนั้นไปด้วย
เที่ยงสบตามาลีแล้วเรียกให้มาลองเล่นด้วยกัน เธอลังเลนิดๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินไปเล่นด้วย
เที่ยงหัวเราะ มาลียิ้มแย้ม เด็กๆ พากันขำ เด็กๆ ทำเงามือรูปหัวใจอยู่ใกล้มาลี เที่ยงเขินที่เด็กๆ ทำ
บังเอิญอะไรเช่นนี้ สร้อยพีผ่านมาแถวนี้พอดี และได้เห็นภาพบาดใจ ที่เที่ยงกับมาลีเล่นเงากันอย่างใกล้ชิด
สร้อยพียืนตัวชา ขึงตามองจ้องด้วยความโกรธอยู่ตรงนั้น เงาสองคนดูใกล้ชิดกันเป็นอย่างมาก
ฉับพลันทันใดนั้นเอง ผ้าขาวก็ถูกกระฉากลง เผยให้เห็นว่าสร้อยพีเป็นคนทำ มาลีตกใจ เที่ยงก็เช่นกัน สร้อยพีจ้องมองมาลีด้วยความไม่พอใจ
“คนปากแข็ง ปากบอกว่าไม่ได้ใช้เครื่องหอมบ้านั้น แต่จริงๆ ใช้ คนนิสัยแบบนี้ที่บ้านฉันเรียกว่า…ตอแหล มึงอยากได้พี่เที่ยงมากใช่มั้ย”
เที่ยงตกใจพยายามห้าม “สร้อยพี อย่าทำแบบนี้”
สร้อยพีไม่ฟัง “พี่รู้มั้ยว่าผู้หญิงคนนี้ เค้าพยายามทำทุกอย่างที่จะได้พี่”
มาลียิ้มเยาะ “ฉันไม่คิดว่าเธอจะฉลาด กว่าหน้าตาอีกนะเนี่ย สร้อยพี”
เที่ยงประหลาดใจ “คุณมาลี ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ขอรับ”
“เห็นมั้ยพี่เที่ยง พี่เที่ยงตาสว่างแล้วใช่มั้ย อีมาลีมันร้าย มันทำทุกอย่างเพื่อให้พี่เที่ยงต้องอยู่ที่นี่ มันทำให้คณะเราไม่ได้กลับบ้าน มันทำน้ำหอม ทำเสน่ห์ใส่พี่”
เที่ยงมองมาลีอย่างผิดหวังสุดขีด “คุณมาลี ผมไม่คิดว่าคุณจะเป็นคนที่แย่ขนาดนี้”
สร้อยพียืนรอให้เที่ยงเดินมาหาที่ข้างกายเธอ มาลีรู้สึกไม่พอใจ
“เที่ยงกลับมายืนตรงนี้ ฉันบอกให้กลับมาเดี๋ยวนี้”
“ไปพี่เที่ยงเรากลับนครกันเถอะ พอกันทีกับชีวิตคนบางกอก”
มาลีไม่พอใจอย่างมาก ถึงกับเข้าไปฉุดแขนเที่ยงเอาไว้ เที่ยงหันกลับไปมองด้วยความไม่แน่ใจ ว่าจะกลับไปหามาลีดีมั้ย หรือจะเดินต่อไปหาสร้อยพี
“พี่เที่ยงรู้ใช่มั้ยว่า ใครคือคนที่หวังดีกับพี่จริงๆ”
“พี่รู้ว่ามีแต่สร้อยพี คนเดียวที่หวังดีกับพี่”
มาลีโกรธสุดขีดโถมเข้าตบเที่ยงเต็มแรง จนเที่ยงถลาไป
“อย่ายุ่งกับพี่เที่ยงของฉัน” สร้อยพีออกมายืนขวาง
“ไอ้บ้านนอก กูจะไม่ให้พวกมึงไปไหนทั้งนั้น”
สร้อยพีฟังแล้วโมโห จึงดึงมาลีมาตบอย่างแรง
“ด่าฉันเหรอ อีมาลี นี่แน่ะ”
“คิดว่าเป็นลูกคนรวย แล้วกูจะตบไม่ได้ใช่มั้ย นี่...นี่”
“อีบ้า บ้านักใช่มั้ย นี่แน่ะ”
สร้อยพีโถมเข้าหามาลีตบกลับ
แต่แล้ว เที่ยงกลับเข้ามาจับบ่าสร้อยพีเอาไว้
“สร้อยพีทำอะไร”
สร้อยพีประหลาดใจที่เที่ยงเข้ามาขวาง
ที่แท้สร้อยพีมโนไปเองว่าได้ตบมาลีล้างแค้น และหลุดจากภวังค์ออกมาพบว่าตัวเองยังยืนอยู่ที่เดิม ยังไม่ได้เข้าไปกระฉากผ้าที่เด็กๆ ทำเป็นฉากเล่นเงา เรื่องตบตีทั้งหมดเป็นเพียงภาพความคิดของเธอ
จนเที่ยงเข้ามาจับบ่าเรียกให้สร้อยพีได้สติ
“สร้อยพีทำอะไรอยู่ตรงนี้”
“เปล่าจ้ะ แค่บังเอิญผ่านมา”
สร้อยพีมองเลยเที่ยงไป เห็นมาลีเดินยิ้มทักมาให้ แต่สร้อยพีไม่ยินดีที่จะยิ้มตอบ จนมาลีรู้สึกไม่แน่ใจในความคิดของสร้อยพี
“สร้อยพีนี่เอง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้เห็นนายเที่ยงสอนเด็กๆ เล่นเงามั้ย เที่ยงเก่งมากเลยนะ”
“เรื่องนั้นสร้อยพีรู้ดี…ค่ะ” สร้อยพีกระแทกเสียงใส่ในตอนท้าย
“นั่นซิ ก็สร้อยพีโตมากับนายเที่ยงตั้งแต่เล็กๆ ฉันนี้ไม่น่าถามเลย”
สร้อยพีนิ่งขึงไม่พูดไม่จา จนมาลีรู้สึกประหลาดใจในที่ท่านั้น ราวกับว่าสร้อยพีไม่อยากสนทนากับเธอ
เที่ยงเดินไปหยิบตะกร้าจ่ายตลาด และ มาลีก็เดินมาสมทบ รวมทั้งสร้อยพีที่กำลังจะเดินกลับบ้าน สักครู่หนึ่งเด็กคนหนึ่งที่เล่นเงาด้วยกันเมื่อครู่ ก็เดินเข้ามาหามาลี
“คุณผู้หญิงๆ ขอรับ”
“ว่าไง”
“เห็นคุณผู้หญิงบอกว่า ลืมซื้อพริกแห้งที่ตลาดใช่มั้ย ขอรับ”
“ใช่”
“แม่กระผม ทำพริกแห้งขายที่ตลาด เดี๋ยวกระผมไปเอามาให้มั้ยครับ
“งั้นเหรอ อืม เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่ไปด้วยดีกว่า จะได้รู้จักร้านไว้ซะเลย”
มาลีมองไปยังเที่ยงพบว่าตอนนี้มีสร้อยพีอยู่ข้างๆ และเหมือนว่าทั้งคู่จะเดินกลับบ้านพัก เที่ยงหยุดมองมาลี รอให้เธอตัดสินใจว่าจะให้ทำอย่างไร สร้อยพีจับข้อมือเที่ยงไว้เบาๆ มาลีดูออกว่าสร้อยพีไม่อยากให้เที่ยงมากับตน
“เอางี้ดีกว่า เที่ยงฉันฝากเธอเอาตะกร้าไปไว้ในครัวให้ทีนะ เดี๋ยวฉันจะย้อนไปเอาพริกกับเด็กๆ แล้วจะตามไป”
“ขอรับ”
เด็กๆ เดินนำมาลีย้อนกลับไปทางตลาด สร้อยพีหันไปมองตาม และได้ยินเด็กๆ คุยกับมาลีเรื่องเที่ยง
“พี่ผู้ชายคือคนที่เล่นตะลุงเมื่อคืนใช่มั้ย ขอรับ”
“ใช่จ้ะ เก่งใช่มั้ย”
“ใช่ขอรับเก่งมากเลย เสียงก็เพราะ รูปก็หล่อเนอะ คุณผู้หญิง”
มาลีหัวเราะ กับความช่างพูดของเด็กๆ “เหรอ”
เด็กทั้งกลุ่มประสานเสียง “ใช่ๆ ขอรับ”
มาลีหันไปมองทางเที่ยงว่าเขาได้ยินเด็กๆ พูดหรือเปล่า พบว่าเที่ยงกำลังเขินอยู่ พอมองกลับไปก็เห็นมาลีหันมามองเที่ยง และเขาก็ยิ่งเขินหนักเข้าไปอีก มาลียิ้มขำกับท่าทางเขินๆของเที่ยง สร้อยพีเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
มาลีหันกลับเดินไปกับเด็กๆ ห่างออกไป สร้อยพีมองตามแล้วก็คิดบางอย่างในใจ
เที่ยงเดินมากับสร้อยพีได้ระยะเวลาหนึ่ง
“นี่สร้อยพี ไปมายังไง ถึงมาตรงนี้ได้เนี่ย”
“ก็สร้อยพีเดินตามพี่มาตั้งแต่ตลาดโน้นแล้ว พี่ไม่เห็นสร้อยพีเอง”
“จริงซิ ทำไมพี่ไม่สังเกตเห็นเนอะ”
“ก็พี่มัวแต่เดินตามคุณมาลีอยู่ละมั้ง”
สร้อยพีจงใจพูดประชดออกไป ซึ่งเที่ยงเองรับรู้ได้ถึงสิ่งที่สร้อยพีต้องการสื่อสาร
“สร้อยพี ทำไมต้องทำน้ำเสียงแบบนั้น”
“แบบไหน”
“ก็แบบ...”
“พี่เที่ยง คิดไปเองหรือเปล่า หรือว่าเดี๋ยวนี้พออยู่พระนครแล้ว สร้อยพีพูดอะไรก็จะพาลไม่เข้าหู พี่เที่ยงไปหมด” สร้อยพีทำเป็นตัดพ้อ
“เปล่าๆ อ่ะ เดี๋ยวพี่เอาตะกร้าไปส่งให้พี่เพ็ญก่อนนะ สร้อยพีไปเจอที่บ้านละกัน จะได้ไม่ต้องเดินย้อนไปย้อนมา”
เที่ยงเดินแยกตัวไปทางตึกใหญ่ สร้อยพีทำทีเป็นเดินแยกไปทางเรือนแถวตามที่เที่ยงบอก จู่ๆ ก็เดินย้อนกลับทางเดิมตัดสินใจตามมาลีไป
แม่เด็กที่ขายพริก บอกให้มาลีรอตรงตรอกเล็กๆ ที่ผึ่งกระด้งพริกไว้เต็มไปหมด
“เดี๋ยวคุณผู้หญิงรอตรงนี้ก่อนแล้วกันนะจ้ะ อิฉันจะเข้าไปเอา พริกมาให้”
“ฉันเอาพริกตรงกระด้งนี้ก็ได้นะ”
“ไม่ได้ๆ จ้ะ พวกนี้ยังไม่แห้งจริง เอาไปทำพริกแกงเดี๋ยวจะกลิ่นไม่หอม”
“งั้นเหรอ”
“ใช่จ้ะ เดี๋ยวอีฉันมานะ ไป เด็กๆ ไปช่วยแม่หน่อย”
เด็กๆ ร้องรับ “จ้า” กันพร้อมเพรียง
เด็กๆ และแม่เดินจากไปแล้ว เหลือเพียงมาลีคนเดียวยังยืนอยู่ท่ามกลางกระด้งตากพริก
สร้อยพีตามมาถึง มองดูมาลีที่กำลังเพลินในการดูพริกในกระด้งอย่างหมั่นไส้ ยิ่งเมื่อคิดไปถึงตอนมาลีเล่นเงากับเที่ยง หรือตอนเห็นสองคนมองสบตากันแล้วแหงนหน้ามองพลุบนฟ้า จนล่าสุดครั้งรู้ว่าต้องอยู่พระนครต่อ แล้วเที่ยงกับมาลีลอบยิ้มให้กัน ไหนจะเรื่องที่ถูกมารศรีเป่าหูว่ากลิ่นหอมบนเสื้อเที่ยงเป็นกลิ่นแป้งที่มาลีใช้
ความหวงหึงแล่นจับขั้วหัวใจ สร้อยพีจับขาที่ตากกระด้ง แล้วกระชากดึงเต็มแรงจงใจให้มันคว่ำใส่มาลี
มาลีเงยหน้ามองกระด้งก็คว่ำใส่หน้าเธอแล้ว แถมยังตามมาด้วยกระด้งพริกอีกหลายใบ ที่โถมใส่เธอ เมื่อก่อเรื่องเสร็จแล้วสร้อยพีก็ฉากหลบหนีไปเฝ้าดูอยู่ไม่ไกลนัก
มาลีล้มอยู่กับพื้น ลืมตาไม่ขึ้นเพราะพริกเข้าตา สร้อยพีออกมายืนดู
“นั่นใครคะ ช่วยหาน้ำให้หน่อยได้มั้ยคะ”
มาลีมองดูคนตรงหน้าไม่ถนัด มองไม่ออกว่าเป็นสร้อยพี และเห็นเพียงว่าใครคนนั้นกำลังเดินไปหยิบขันตักน้ำจากโอ่งใกล้ๆ
“ขอบคุณค่ะๆ”
มาลียื่นมือไปรับขันน้ำ แต่สร้อยพีชักมือกลับ มาลีชะงัก จู่ๆ สร้อยพีก็สาดน้ำใส่หน้ามาลีเต็มแรง
“โอ๊ย เธอเป็นใครเนี่ย โอ๊ย แสบตา”
มาลีคว้าแขนของใครคนนั้นไว้ได้
“บอกฉันมาว่า เธอเป็นใคร ทำไมทำแบบนี้”
สร้อยพีพยายามสะบัดแขนจนหลุด และสบโอกาสเหวี่ยงแขนตบเข้าหน้ามาลีเต็มๆ มาลีตกใจไม่คาดคิดว่าตัวเองจะถูกทำร้าย จึงถอยหลังหนี สร้อยพียืนมองอยู่กับที่ ก้มมองมือตัวเองที่ตบหน้ามาลีไปอย่างสะใจสมใจ
แต่แล้วจู่ๆ เด็กๆ และแม่ค้าพริกก็ย้อนกลับมาในมือถือห่อพริกแห้งมาด้วย สร้อยพีเห็นท่าไม่ดีจึงรีบหนีไปโดยไว
“ว้ายๆ เกิดอะไรขึ้น ทำไมกระด้งถึงหกหมดเลย เด็กๆ ช่วยกันเก็บเร็ว คุณคะ คุณผู้หญิงเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ฉันถูกทำร้าย แม่ค้าเห็นใครที่วิ่งออกไปทางนี้บ้างมั้ย” มาลีพยายามลืมตามองไปทั่ว
“ไม่เห็นเลยค่ะคุณ”
“ใครกัน ที่ทำกับฉันแบบนี้” มาลีค้างคาใจเป็นอย่างมาก
นายโพนกำลังคุยกับพ่อค้ามีดอยู่ตรงแผงในตลาด มีมีดหลายขนาดและมีบริการหินลับมีดอีกด้วย นายโพนรับมีดแกะสลักตะลุงจากพ่อค้า
“นี่ขอรับ ข้าลับมันจนคมเหมือนใหม่ให้แล้ว”
“แล้วคิดราคาเท่าไหร่”
“ไม่เอาๆ เล็กน้อย” พ่อค้าบอก
“ขอบคุณมากๆ เลยนะพ่อ”
“แล้วมีดนี่เอาไว้ทำอะไรหรือ ปลายมันถึงได้แหลมขนาดนี้”
“เอาไว้ตัด แล่หนัง” นายโพนบอก
พ่อค้างง “หนัง หนังอะไร”
“หนังตะลุง พ่อรู้จักหนังตะลุงมั้ยล่ะ”
“โอ้ คิดว่าหนังอะไรซะอีก” พ่อค้ายิ้มออก โล่งอก
นายโพนมองเลยพ่อค้าไปที่ถนน ก็เห็นสร้อยพีเดินหลบเลี่ยงมาตามทางอย่างพิรุธ นายโพนจึงปลีกตัวไปจากพ่อค้าอย่างปุบปับ เข้ามาขวางสร้อยพีที่เดินเร็วรี่หนีความผิด จนไม่ทันเห็นพ่อตัวเอง
“พ่อ”
“เป็นอะไร หนีอะไรมา”
“เปล่านี่พ่อ”
นายโพนมองจับผิด “งั้นรึ แล้ว…ทำไมเนื้อตัวถึงฉุนพริกขนาดนี่เนี่ย”
“ฉันโดนกระด้งพริกหกใส่ น่ะพ่อ”
“อ้าว งั้นรีบกลับบ้านเลย เดี๋ยวจะแสบตาแสบตัวเอา ไปๆ แล้วแขนเสื้อนี่ทำไม…”
นายโพนชะงัก เมื่อสังเกตเห็นแขนเสื้อสร้อยพีปริขาด
“ทำไมถึงขาดละเนี่ย เอ็งไปทำอะไรมากันแน่”
“เปล่าพ่อ”
นายโพนจ้องหน้าคาดคั้นถาม “สร้อยพี”
“อะไรพ่อ นี่ตกลงเป็นห่วงสร้อยพีหรือเปล่าเนี่ย ถึงซักไซ้ไม่เลิก”
สร้อยพีทำเป็นหงุดหงิดแล้วเดินแยกไปเอาเสียดื้อๆ นายโพนเดินตามไปแต่ก็ยังติดใจสงสัยไม่เลิก
สร้อยพีออกมาจากห้องพักในเสื้อผ้าชุดใหม่ และก็ผมที่ยังหมาดๆ อยู่ อีกมุมหนึ่งนายโพนกำลังชุนชายแขนเสื้อของสร้อยพีตัวที่ขาดอยู่
“ใกล้เรียบร้อยแหละ เดี๋ยวถ้าเสร็จแล้ว ก็เอาไปแช่ซักซะนะ”
“พ่อไม่เห็นต้องทำเลย”
“เอาน่ะ ใกล้เสร็จแล้ว ทำเสร็จแล้ว สงสัยพ่อจะต้องไปอาบน้ำซักรอบ ชักจะแสบตาพริกซะแล้ว”
เที่ยงเดินเข้ามากับพยอมพร้อมสำรับหม้อข้าวหุงแล้วกับผักน้ำพริกชุดหนึ่ง คนที่เดินตามมาด้วยคือเพ็ญที่ถือชามน้ำพริกมา
“อาโพน วันนี้กับข้าวมีแต่น้ำพริกนะ คุณมาลีเธอทำไม่ไหว”
“ใช่ครับอา พี่เพ็ญบอกว่า คุณมาลีถูกคนทำร้ายที่ตลาด” เที่ยงว่า
นายโพนตกใจ “อะไรนะ แล้วคุณหนูเป็นยังไงบ้าง”
“แสบหูแสบตาไปหมด เพราะคนร้ายมันเอากระด้งพริกเททับคุณหนู” เพ็ญบอก
พยอมเสริมว่า “หนำซ้ำมันยังตบคุณมาลีก่อนที่จะหนีไปอีกนะอา คนเมืองนี่มันน่ากลัวจริงๆ เงินทองอะไรก็ไม่ปล้นไป ไม่รู้มันจะทำไปทำไม”
“อย่างงั้นเหรอ…..
นายโพนคิดได้ในทันที ค่อยๆ วางเสื้อของสร้อยพีลงไม่อยากให้ใครสังเกตเห็น สร้อยพีมองดูอยู่ และเห็นสีหน้าเป็นกังวลของพ่อ
“ผมละเจ็บใจตัวเองจริงๆ ไม่น่าจะปล่อยให้คุณมาลีไปคนเดียวเลย” เที่ยงบ่น
เพ็ญวางสำรับให้เรียบร้อย
“ฉันขอตัวก่อนนะอา จะรีบกลับไปดูคุณมาลี”
“ขอรับๆ ยังไงฝากบอกว่าพวกเราเป็นห่วงด้วยนะครับ”
ไม่นานต่อมา เสื้อของสร้อยพีตัวนั้นซักเรียบร้อย และเวลานี้ตากอยู่บนราวไม้รวกหลังเรือนแล้ว ไม่ห่างกันนักมีนายโพนยืนจ้องหน้าเอาเรื่องลูกสาวอยู่ สร้อยพียืนนิ่ง ไม่ยินดีที่พ่อทำแบบนั้นกับตัวเอง
“เอ็งคิดเหิมเกริมกับคุณๆ ลูกสาวท่านโสภณแบบนี้ ระวังจะไม่มีที่ซุกหัวนอน ไหนเอ็งบอกเหตุผลมาซิว่าทำไม”
สร้อยพีเอาแต่นิ่ง นายโพนยิ่งโมดฆ “ทำไมไม่พูด บอกให้พ่อหายสงสัยหน่อยซิ ว่าเอ็งไปทำคุณเค้าทำไม”
“พ่อไม่รู้หรือไง ว่าไอ้ที่เราต้องอยู่ที่นี่ต่อ มันเป็นแผนของคุณๆ ของพ่อนั่นแหละ มันเอาเรื่องแสดงหนังตะลุงมาบังหน้า”
“เอ็ง สร้อยพี เอ็งไม่พูดความจริง” นายโพนโมโหหนัก
“พ่อเอาแต่ไล่ต้อนหนู ดูบ้างมั้ยว่าชีวิตพวกเราทำไมต้องมาให้คนอื่นกำหนด แค่พวกเราจะกลับบ้าน ยังจะกลับไม่ได้เลย” สร้อยพีระบดระบาย
“เอ็งบ้าหรือดีกันแน่วะ คุณๆ เค้าเมตตา หางานหาเงินมาให้พวกเรา เราได้อยู่กินสบายในพระนครแบบนี้ เอ็งยังว่าเค้าหลอกอีกเหรอ”
สร้อยพีพาลพาโล “พ่อเอาแต่พูดเรื่องงานๆๆ พ่อเอาแต่ทำงานหาเงินๆ อยู่นั่น”
นายโพนโมโหสุดขีดตบหน้าสร้อยพีเปรี้ยง ร่างสร้อยพีร่วงลงไปกองกับพื้น หันขวับมามองพ่ออย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าพ่อจะลงมือกับตนขนาดนี้ พยอมได้ยินเสียงคนทะเลาะกันรีบเข้ามาดู พอเห็นเหตุการณ์ก็รีบเข้ามาคว้าตัวนายโพนไว้
“อาโพน ใจเย็นๆ”
“หมามันยังรู้จักบุญคุณคนให้ข้าวให้น้ำมันกิน เอ็งเป็นคนแท้ๆ มาทำตัวกินบนเรือน ขี้บนหลังคาอย่างนี้ ข้ายอมไม่ได้”
นายโพนเดินเข้าหาสร้อยพี แล้วฉุดแขนขึ้นมา พยอมรั้งแขนนายโพนห้ามไว้
“เกิดอะไรขึ้นสร้อยพี”
“ถ้ามันตอบเอ็ง ก็มาบอกข้าด้วย พยอม”
นายโพนฉุดลากสร้อยพีไปตามทาง พยอมยังคงรั้งแขนนายโพนไม่ยอมปล่อย แต่พอนายโพนหันมามองเชิงบอกว่าอย่ายุ่ง พยอมจึงต้องปล่อยแขน แยกห่างออกมา ก่อนจะคิดบางอย่างได้รีบวิ่งออกไปหาเที่ยงทันที
พยอมวิ่งกระหืดกระหอบมาหาเที่ยงในห้องพักแต่ก็ไม่พบ
“เที่ยงๆ แกอยู่ไหน สร้อยพีเกิดเรื่องแล้ว”
พยอมนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะวิ่งออกไปอย่างร้อนใจ
บ่ายวันนั้น เที่ยงยืนรออยู่ตรงบริเวณประตูตึกใหญ่ บ้านคหบดีโสภณ คอยชะเง้อมองเข้าไปข้างใน จนเห็นเพ็ญเดินเข้ามาหา
“ตอนนี้คุณมาลีหลับไปแล้ว คงจะเพราะเพลียน่ะ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เดี๋ยวถ้าคุณมาลีตื่นแล้ว ข้าจะบอกให้ว่า เที่ยงมาหานะ”
“ขอบคุณขอรับ”
“จ้ะ งั้นฉันขอเข้าไปเฝ้าคุณมาลีก่อนนะ”
“ขอรับ”
เพ็ญกลับขึ้นเรือนไป
ระหว่างนี้มีใครบางคนมองจากหน้าต่างบ้านชั้นบน
เที่ยงเดินออกมากำลังจะกลับที่พัก รับรู้ว่าหน้าต่างชั้นบนเปิดออก นายหนังตะลุงรูปงามดีใจคิดว่าเป็นคุณมาลี แต่เมื่อหันไปมองกลับพบว่าคือมารศรีต่างหาก
มารศรีมองมาและยิ้มให้เที่ยงอย่างเป็นปลื้ม เที่ยงพนมมือไหว้ทักมารศรี
มารศรีกับเที่ยงยืนอยู่ข้างๆ กัน ที่หน้าตึกใหญ่ โดยเที่ยงพยายามรักษาระยะห่างตามมารยาท
“ใครนะที่ทำร้ายมาลี อืม อาจจะพวกฝรั่งละมั้ง เพราะมาลีเค้ามักจะก่อเรื่องกับฝรั่งประจำ เที่ยงก็เห็นไม่ใช่เหรอ”
“งั้นเหรอขอรับ”
“เอาเหอะ ปล่อยเป็นเรื่องของทางการแล้วกัน เรามาคุยเรื่องอื่นกันดีกว่า”
“ขอรับ แต่ว่ากระผมว่าจะขอตัวกลับไปบ้านพักพอดี นี่ก็ออกมานานแล้ว”
“อ้าว จะรีบทำไม บ้านไม่ได้หนีไปไหนซะหน่อย”
เที่ยงอึ้งไป
“งั้นเราเดินไป คุยกันไปก็ได้”
ในจังหวะนั้นเอง พยอมก็วิ่งพรวดมาถึงตัวเที่ยงพอดี
“แย่แล้วๆ เที่ยง”
มารศรีฉุนนิดๆ ที่ถูกขัดจังหวะ “เอะอะอะไรกัน ทำฉันตกอกตกใจหมด”
พยอมรีบไหว้ขอโทษ “สวัสดีคุณหนูมารศรีค่ะ ต้องขอโทษด้วยค่ะ คือจะรีบมาบอกเที่ยงว่า ตอนนี้อาโพนกำลังตีสร้อยพีใหญ่แล้ว ห้ามอา อาก็ไม่ฟังเลย”
เที่ยงตกใจ “เฮ้ย...งั้นรีบไปดูกัน”
“ฉันไปด้วยซิ”
ร่างแบบบางของสร้อยพีถูกผลักเข้าไปในห้องเล็กๆ ของเรือนแถว เธอมองหน้าพ่อด้วยความน้อยใจและเสียใจสุดซึ้ง ซึ่งความรู้สึกเดียวกันนี้นายโพนเองก็มีอยู่เต็มอก
“เอ็งอยู่ในนี้ไป จนกว่าเอ็งจะบอกความจริงว่าทำแบบนั้นไปทำไม”
“พ่อ เห็นคนอื่นดีกว่าแล้วใช่มั้ย”
นายโพนกำลังจะปิดประตูลง ก็มีเสียงใครบางคนทักห้ามเอาไว
“เดี๋ยวๆ นายโพน กำลังทำอะไร”
นายโพนหันไปเห็นมารศรี เที่ยง และ ไปหยุดสายตาที่พยอม ซึ่งพยอมเห็นสายตานายโพนก็รีบเข้าซ่อนหลังเที่ยงเพราะกลัวโดนเล่นงาน นายโพนพนมมือไหว้ทักมารศรี
“คุณหนูมารศรี”
มารศรีถามเสียงขุ่น “ทำไมต้องทำรุนแรงกันแบบนี้ด้วย”
“คือว่า…สร้อยพี” นายโพนน้ำท่วมปาก
“นายโพน ฉันขอนะ อย่าลงไม้ลงมือกันเลย เดี๋ยวคุณพ่อมาเห็นเข้าจะไม่ปลื้มเอาเชียว”
“แต่ว่า…”
“อย่าเพิ่งแต่เลย” มารศรีหันมาทางเที่ยง “เที่ยง เธอไปพาสร้อยพีออกมาที”
“ขะ ขอรับ ขอบพระคุณคุณมารศรีมากๆ เลยขอรับ”
มารศรียิ้มปลื้มที่เที่ยงยอมรับตน เที่ยงเข้าไปพยุงสร้อยพีออกมา สร้อยพีมองเที่ยงด้วยแววตาผิดหวัง
“มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง”
สร้อยพีนิ่งตามเคย
เที่ยงพาสร้อยพีมาสมทบกับมารศรี
“เอาแบบนี้ดีกว่า เดี๋ยวให้สร้อยพีไปพักกับฉันบนเรือน อยู่ห่างๆ กันไปก่อน เอาแบบนี้นะนายโพน”
นายโพนจะท้วง “คือ...”
เที่ยงตัดบทว่า “เอาตามนี้เหอะอา คุณมารศรีอุตส่าห์อยากจะช่วยให้ทุกอย่างมันดีขึ้นนะ”
นายโพนจนปัญญาจะคัดค้าน ทำได้แต่พยักหน้ารับ มารศรีดีใจที่เที่ยงไว้ใจตนเดินมาจับเนื้อตัวของสร้อยพี เพื่อให้เที่ยงเห็นถึงความเป็นกันเอง
“ปะ สร้อยพี วันนี้ไปพักกับฉันนะ”
“ค่ะ”
“รีบขอบคุณ คุณมารศรีซิสร้อยพี”
“อิฉันขอบพระคุณคุณมารศรีมากๆ เลยนะคะ”
มารศรี เที่ยง และ สร้อยพี เดินออกไปทางตึกใหญ่ ทิ้งไว้แต่พยอมที่ยืนมองนายโพนอย่างเห็นใจ
มารศรีเดินนำสร้อยพีเข้ามาหยุดที่หน้าตึกใหญ่ สร้อยพีเกิดอาการประหม่ายืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูนั้น
มารศรีพยักหน้าบอกให้ตามมา สร้อยพี่ก้าวตามเข้าไป และนั่นทำให้พบกับมณฑาที่กำลังจะเดินออกมาจากในบ้านพอดี สร้อยพีชะงักคาที่ มารศรีเห็นมณฑาเบื้องแรกหวั่นใจ แต่คิดคำตอบไว้แล้วจึงรีบปรี่เข้าหาพี่สาวเพื่อไปคุยในเชิงส่วนตัว
“มารศรี ฉันว่าเธอน่าจะมีเรื่องที่จะคุยกับฉันใช่มั้ย”
สองพี่น้องยืนคุยกันอยู่ข้างตึก ซึ่งสามารถมองเห็นสร้อยพีที่ยืนตากแดดรออยู่หน้าบ้าน
“น้องกะจะเอานังสร้อยพีมาเป็นตัวเล่นงานมาลีค่ะพี่ เราไม่ต้องเปลืองมือ แต่ก็สามารถจัดการมันได้ ทั้งสองฝ่าย”
“ยังไง”
“น้องว่าสร้อยพีมันน่าจะไม่ชอบ ที่อีมาลีไปเกาะแกะกับพี่เที่ยงของมันแน่ๆ น้องเลยว่าจะยุให้สร้อยพีเล่นงานมาลีซะ”
มณฑายิ้มร้าย “ฟังดูน่าสนใจ ถึงวันที่มันก่อปัญหาให้อีมาลีแล้วล่ะก็ วันนั้นเราจะได้มีเหตุเฉดหัวพวกตะลุงออกไปจากบ้านเสียที”
“รับรอง ว่ามันต้องเป็นมือเป็นตีนที่ดีของเราแน่นอนค่ะพี่มณฑา”
สร้อยพียืนปาดเหงื่อรออยู่ที่หน้าตึกใหญ่ ไม่นานนักมณฑาก็เดินออกมา โดยมีมารศรีเดินตามหลัง สร้อยพีนึกหวาดหวั่นว่าจะโดนมณฑาตำหนิ จึงได้แต่หลบตาวูบวาบ มณฑามองสร้อยพีหัวจรดเท้า
“ไม่เข้ามายืนในร่มละ ไม่ร้อนแดดหรือไง”
สร้อยพีประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่ามณฑาจะพูดแบบนั้น แต่ก็ขยับตัวเข้าไปในร่มเงาของบ้าน มารศรีเดินเข้ามาหาแล้วชวนเข้าไปในบ้าน
“สร้อยพี กราบพี่มณฑาฉันซิ พี่เค้ายินดีให้เธอมาค้างที่บ้านหลังนี้แล้วนะ”
สร้อยพียิ้มดีใจ “จริงเหรอเจ้าคะ กราบขอบพระคุณที่ คุณหนูมณฑากรุณาอิฉัน”
มณฑามองสร้อยพีด้วยหางตา แล้วก็หันกลับไปทางมารศรี
“อย่าทำให้ฉันผิดหวังละกัน”
จากนั้นมณฑาก็เดินนำเข้าบ้านไปก่อน
มาลีนั่งดื่มน้ำและยาอยู่ตรงเก้าอี้รับแขก โดยมีเพ็ญคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
“อาการแสบตัวนี่ ดีขึ้นแล้วใช่มั้ยคะ”
“หายเลยละ”
“งั้นก็ดีแล้วคะ อ้อ คุณมาลีคะ ตอนที่คุณมาลีหลับอยู่ นายเที่ยงเค้าแวะมาเยี่ยมด้วยนะคะ”
จังหวะนั้นเอง มารศรีพาสร้อยพีเดินเข้ามาพอดี และสร้อยพีก็ได้ยินคำพูดตอนท้ายนั้น
“อะไรนะ”
“อ้อ ตอนที่คุณมาลีหลับ นายเที่ยงแวะมาเยี่ยมด้วยนะคะ”
“งั้นเหรอ”
มารศรีเห็นว่าสร้อยพีหยุดเดินตรงชานบันได จึงเรียกให้เดินตามขึ้นบันไดมา
“มาซิสร้อยพี เดี๋ยวฉันจะดูเสื้อผ้าของฉันให้ ดูซิว่าพอใส่ได้มั้ย”
สร้อยพีก้าวขึ้นบันไดไป เป็นจังหวะเดียวกับที่มาลีเดินออกมาตรงโถงบันไดพอดี เมื่อมารศรีเห็น จึงบอกให้สร้อยพีหยุดอยู่ตรงระเบียงชั้นสอง
เป็นภาพที่สร้อยพียืนอยู่บนระเบียงชั้นสอง โดยมีมารศรีดันหลังให้มายืนเสมอตน และมองลงไปยังด้านล่างที่มาลีเงยหน้ามองพวกเธออยู่อย่างงงๆ
ในเบื้องแรกสร้อยพีมีท่าทีประหม่า เมื่อมองลงไปสบตามาลี เป็นเพราะรู้ตัวว่าต่างชั้น ทางฐานะ และ ยิ่งกว่านั้นคือเธอเพิ่งทำร้ายมาลีที่ร้านขายพริก
แต่แล้ว มณฑาก็เดินมาดันหลังให้ความมั่นใจกับสร้อยพีอีกคน มันเป็นความมั่นใจที่เธอไม่เคยมีมาก่อน
“สร้อยพี สวัสดีคุณมาลีหน่อยซิ”
สร้อยพีพนมมือไหว้มาลีจากระเบียง มาลีรับไหว้อย่างสงสัยในทีท่าของสองพี่สาว
“ฉันจะให้สร้อยพี มาอยู่กับฉันบนบ้านนี้” มารศรีบอก
“ต่อจากนี้ เธอสองคนคงต้องพบกันอีกยาว” มณฑาพูดเป็นนัย
ว่าแล้วมารศรี และมณฑาก็เดินนำสร้อยพีขึ้นไป ในจังหวะหนึ่งสร้อยพีเหลือบตามามองมาลีอย่างอาฆาตมาดร้าย มาลีได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจ
สองคนอยู่ในร้านอาหารเปิดบริการ 24 ชั่วโมง มัลลิกาดูสงบลง และเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจรมัยฟังแล้ว
“คุณถูกผีนั่น มาทำร้ายตั้งแต่เมื่อไหร่”
“น่าจะตั้งแต่ตอนไปถ่ายแฟชั่นที่บ้านเธอน่ะแหละ พอออกมาจากบ้าน ก็เจอผู้หญิงใส่ชุดทางใต้ แล้วมีไฟลุกท่วมตัวอยู่ริมถนนกลางดึก”
เจรมัยคิดตาม “อย่างนี้นี่เอง จำตอนที่เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับผมได้เปล่า ทั้งเรื่องเสียงร้องเพลงที่ไฟล์เสีย เรื่องถ่ายรูปแล้วต้องมีเงาดำติดมาด้วยแล้วจู่ๆ เรื่องประหลาดทั้งหมดนี่ ก็หายไปจากผมซะอย่างนั้น”
“หมายความว่าไง”
“ผีสร้อยพี คงย้ายคนที่คุกคาม จากผมไปหาคุณแล้วนะซิ”
มัลลิกาตกใจ เจรมัยหยิบโทรศัพท์มาลองถ่ายเซลฟี่เขากับมัลลิกาพร้อมกัน ปรากฏว่าไม่มีเงาดำในภาพของทั้งคู่แล้ว
“เงาดำหายไปแล้ว”
“เค้าต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปคุกคามคนอื่นแล้วแน่เลย”
มัลลิกาเงียบไป พยายามทบทวนเรื่องที่ผ่านมา
“แล้วคราวนี้ทำไมไม่… โทร.หาภวัต”
“ไม่รู้เหมือนกัน ก็...ภวัตไม่เคยเกี่ยวกับเรื่องนี้นี่”
“อ๋อ ที่คิดจะโทร.หาผม ก็เพราะแค่ผมเกี่ยวกับเรื่องนี้แค่นั้นเหรอ”
“เปล่า…แต่ก็ไม่รู้ทำไม ต้องเป็นคุณ”
มัลลิกาหลบตา เจรมัยเลยเปลี่ยนเรื่องคุย
“หยั่งงี้ คืนนี้คุณจะไปนอนที่ไหนได้”
“ยังไม่รู้เลย แต่คงไม่กลับไปนอนบ้านแน่”
“งั้น ก็สั่งกาแฟมาอีกแล้วกัน จิบกาแฟไป คุยไปจนพระอาทิตย์ขึ้น ค่อยกลับบ้าน”
“อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะเช้า จะคุยอะไรกันนักหนา”
“ถ้าไม่รู้จะคุยอะไร คุณก็เล่าเรื่องคุณให้ผมฟังไปซิ”
“ทำไมชั้นต้องเล่าเรื่องชั้นให้คนอื่นฟังด้วย”
“เอ้า ไม่งั้นง่วงนอนนะ”
“ฉันว่าให้คุณเล่าเรื่องคุณให้ฟังก่อนดีกว่า ชีวิตคุณตื่นเต้นกว่าฉันเยอะว่ามั้ย”
“เอางั้นเหรอ”
หากมีใครมองจากนอกร้านเข้าไป จะเห็นเจรมัยกับมัลลิกาผลัดกันคุยผลัดกันตั้งใจฟัง
จนเวลาล่วงเข้าเช้าวันใหม่โดยสองคนไม่รู้ตัว
อ่านต่อ ตอนที่ 14
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่13 #thaich8 #ละครออนไลน์