ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เดอะซีรีส์ "ภาคองค์ประกันหงสา" ตอนที่ 1
กองทัพหงสาวดียกทัพเข้าสู่แผ่นดินไทยมาเป็นจำนวนมาก ผ่านทุ่งหญ้ากว้างและป่าเขาสูง
"...เมื่อปีพุทธศักราช 2106 พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ได้ยกทัพเข้าสู่แผ่นดินไทยสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ด้วยอ้างเหตุว่าอยุธยาไม่ยำเกรงอำนาจหงสาวดี ไม่ยอมส่งช้างเผือกให้ตามที่ขอ หลังจากที่ยึดได้กำแพงเพชร สวรรคโลก และสุโขทัยแล้ว กองทัพหงสาได้เข้าล้อมเมืองพิษณุโลกไว้ด้วยกำลังพลที่มากมายเหลือต้านทาน แต่เวลานั้นภายในกำแพงเมืองก็ขัดสนข้าวปลาอาหาร ทั้งยังมีโรคระบาดเกิดขึ้นอีก ทำให้พิษณุโลกตกอยู่ในภาวะที่ลำบากยากยิ่ง ในที่สุดพระมหาธรรมราชาจึงจำต้องยอมจำนน พระเจ้าบุเรงนองได้ให้พระมหาธรรมราชาครองพิษณุโลกต่อไป แต่ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อหงสา แล้วให้เร่งจัดทัพไทยฝ่ายเหนือเพื่อยกไปตีอยุธยาพร้อมกัน..."
ปืนใหญ่ของทหารหงสาวดีหลายกระบอกกำลังระดมยิงข้ามกำแพงอยุธยาเข้ามาในพระนครอย่างรุนแรงไม่ขาดระยะ ไม่ว่ากระสุนจะตกตรงไหน ต้องมีโรงร้านบ้านเรือนพังทลาย ผู้คนล้มตายกระจายเกลื่อน เพราะพวกชาวบ้านจากพื้นรอบนอกได้ลี้ภัยเข้ามาอาศัยอยู่ในพระนครกันหนาแน่น
ฝ่ายหลุ่มทหารของหงสาวดียังคงระดมยิงและแสดงผลของการยิงโจมตีอย่างแจ่มชัด ปืนใหญ่แต่กลุ่ม แต่ละกระบอก ตามมาด้วยภาพความเสียหายของบ้านเรือนที่ถูกระเบิด และกลุ่มคนทั้งทหารกรุงศรีอยุธยาและชาวบ้านที่วิ่งหนีกันไปมาอย่างสับสน บางคนบางกลุ่มก็โดนระเบิดกระเด็นไปนอนตายเกลื่อน
พันฤทธิ์เดชา นายกองทหารกรุงศรีอยุธยาวิ่งฝ่าความสับสนของผู้คนและระเบิดที่ตกใกล้ตัว ตรงไปยังพระที่นั่งซึ่งใช้เป็นศาลาว่าราชการ
พันฤทธิ์เดชาเข้ามาถึงพระที่นั่ง ศาลาว่าราชการในอยุธยาซึ่งมีเสนาบดีและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ราว 20 คนนั่งประจำตำแหน่งอยู่ เมื่อถวายบังคมพระมหาจักรพรรดิแล้ว พันฤทธิ์เดชาก็เดินเข่าเข้ามา ขณะนั้น ... เสียงปืนเสียงระเบิดยังคงดังอยู่ข้างนอกตลอดเวลา
"เอ้า พันฤทธิ์เดชา ไม่ต้องรอช้า ถวายรายงานได้เลย" พระมหาจักรพรรดิกล่าว
"ขอเดชะ ข้าศึกตั้งปืนใหญ่รายไปตั้งแต่วัดพุทไธสวรรย์ ยันวัดศาลาปูน แล้วระดมยิงเข้ามาราวกับห่าฝน กระสุนตกโดนบ้านเรือนพินาศ แถมผู้คนที่โดนระเบิด ก็เละตายไปตามๆกันพระพุทธเจ้าข้า"
"พวกเขาเลือกระดมยิงเข้าพระนครแต่ทางใต้ และทางตะวันตก เพราะหมายจะทำลายบ้านเรือนและผู้คน ส่วนทางเหนือกับตะวันออกมีแต่วัดวาอาราม เขาจึงละเว้น"
พระยากลาโหมเสนอความเห็น
"แต่เมื่อไรถ้าผู้คนพากันไปพึ่งวัดเป็นที่หลบภัย เมื่อนั้นมันก็คงยิงวัดไม่เหลือแน่พระพุทธเจ้าข้า"
พระมหาจักรพรรดิหันพระพักตร์มาอย่างช้าๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"แล้วเราจะทำยังไงต่อไป จะให้นั่งนับจำนวนคนตายตามเสียงปืนอยู่อย่างนี้ มันไม่ไหวนะ"
พระยากลาโหมกราบบังคมทูลต่อ
"ข้าศึกยกมาครั้งนี้มากกว่าพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ยกมาคราวก่อนถึงสามเท่าสี่เท่า เหลือกำลังที่ทางเราจะยกทัพออกไปสู้รบให้ชนะได้พระพุทธเจ้าข้า"
"นั่นนะซิ ท่านพระยาจักรีมีความเห็นว่ายังไงล่ะ"
"ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่า เราควรปิดเมืองไว้ก่อน รอจนกว่าข้าศึกจะอ่อนกำลังลงด้วยความลำบากจากฝนฟ้า ขาดแคลนหยูกยาและอาหาร เมื่อนั้นเราจึงค่อยระดมพลออกไปโจมตีขับไล่พวกมัน พระพุทธเจ้าข้า" พระยาจักรีกล่าว
พระมหาจักรพรรดินิ่งคิดตาม ส่วนขุนนางทั้งหลายส่ายหัวอย่างไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับพระยาจักรีนัก
บุเรงนองกล่าวกับพระยาทะละ ผู้เป็นเสนาธิการสงครามในเรือนบัญชาการค่ายหลวงหงสาที่วัดโพธิ์เผือก ด้านหลังมีทหารหงสาวดีจำนวนมากเดินแถวไปมาอยู่ในลานค่าย
"ฮึ่ พวกมันช่างไม่รู้จักประมาณตัวเสียเลย เหมือนนกกระจอกที่หลงคิดว่าตัวเองเป็นพญาครุฑ หาญจะบินข้ามมหาสมุทร มันก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น หรือว่าไง พระยาทะละ" บุเรงนองกล่าว
"ทูลท่านแม่ทัพ เกล้ากระหม่อมเห็นว่า ขณะนี้ทหารของเรากำลังฮึกเหิม อยากจะรบกับทหารกรุงไทยให้รู้แพ้ รู้ชนะ รู้ฝีมือกันไปในวันนี้ สมควรที่พระองค์จะส่งสาส์นไปท้าพระเจ้ากรุงโยธยาให้ออกมารบกันพระพุทธเจ้าข้า"
บุเรงนองพยักหน้าเห็นด้วย
"ดีเหมือนกันพระยาทะละ งั้นท่านร่างสาส์นส่งไปถวายพระเจ้ากรุงโยธยาได้เลยว่า บัดนี้เราได้ยกพยุหโยธาหาญมาเหยียบชานพระนครได้ 7 วันแล้ว ไฉนพระเชษฐาท่านจึงมิได้ออกมารณรงค์สงครามให้ประจักษ์ถึงความหาญกล้าของบรรดานายทัพนายกองทั้งหลายเป็นขวัญตา หากแม้ ไม่รณรงค์ก็เชิญเสด็จออกมาสนทนากัน"
ณ ศาลาว่าราชการในอยุธยา พระมหาจักรพรรดิอ่านสาส์นต่อ... ในท่ามกลางที่ประชุมเสนาบดี
"แต่หากพระเชษฐายังขืนดึงดันปิดเมืองไว้ไม่ยอมเป็นไมตรี น้องท่านก็เห็นจะต้องโจมตีกรุงโยธยาให้แหลกพินาศโดยไม่ยั้งมือ...." พระมหาจักรพรรดิอ่านสาส์นจากบุเรงนองจนจบ ก่อนตรัสถามความเห็นว่า "...สาส์นเขาว่ามาอย่างนี้ เราจะว่ายังไง"
พระยาธรรมาบอก
"เป็นไมตรีก็ดีนะพระพุทธเจ้าข้า จะได้เลิกรบ เลิกผวาเสียงปืนเสียงระเบิดกันเสียที"
แต่พระยาจักรีเห็นแย้งว่า
"ให้เรายอมเป็นไมตรี ฟังดูแล้วเหมือนกับให้เรายอมแพ้นะพระพุทธเจ้าข้า"
พระยาธรรมา เสนาบดีวัง เป็นขุนนางฝ่ายไม่อยากรบ โต้แย้งเสียงดัง
"แล้วเจ้าคุณจะดื้อดึงไปอีกทำไม ชาวบ้านของเราแทบจะทนปืนของมันไม่ไหวแล้วนะ รบไปก็มีแต่จะเสียเลือดเนื้อเพิ่มขึ้นอีก ไม่รบดีกว่า ปลอดภัยกว่า"
ที่ประชุมเริ่มส่งเสียงแตกกันเป็นสองฝ่าย
พระมหาจักรพรรดิ จึงประกาศตัดสินพระทัย
"เอาละ เอาละเราตัดสินใจแล้ว ในเมื่อศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ใหญ่เกินกว่ากำลังทหารของเราจะกู้พระนครได้ ถ้าเราไม่ยอมรับไมตรี สมณะชีพราหมณ์ และไพร่ฟ้าข้า แผ่นดิน ก็จะวอดวายตายหมดสิ้น เราจึงควรออกไปเจรจา บางทีถ้าตกลงกันได้ บ้านเมืองเราจะได้ปลอดภัย"
พระสุนทรสงคราม เจ้าเมืองสุพรรณ เป็นฝ่ายเห็นควรรบ รีบกราบทูลยับยั้ง
"ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า โดยทั่วไปแล้ว การเจรจาในระหว่างสงคราม คู่เจรจาจะต้องมีอำนาจเสมอกัน มิฉะนั้นฝ่ายที่ทรงอำนาจกว่า จะเอาเปรียบแต่ฝ่ายเดียวนะพระพุทธเจ้าข้า" พระสุนทรกล่าว
"ที่คุณพระสุนทรสงครามพูดมาก็ถูก แต่ฝ่ายเราจะเอาอำนาจอะไรไปต่อรองเขาได้เล่า"
"ชัยภูมิของกรุงศรีอยุธยาเป็นปราการชั้นยอด เป็นเหมือน เกราะหนาที่พวกมันไม่อาจจะทะลวงเข้ามาได้พระพุทธเจ้าข้า"
เสียงฮือฮาแสดงความไม่พอใจจากเหล่าเสนาบดีฝ่ายให้เลิกรบดังขึ้น ...
"ทรงคำนึงถึงผลได้-ผลเสียก่อนเถิดพระพุทธเจ้าข้า หรือจะทรงหารือกับพระราชโอรสทั้งสองพระองค์ก่อน"
"ไม่ละ เราตัดสินใจแล้ว เจ้าคุณธรรมา"
พระยาธรรมาขานรับ "พระพุทธเจ้าข้า"
"ส่งทูตไปตอบรับคำเชิญของพระเจ้าหงสาวดี แล้วเร่งสร้างพลับพลาพิธีที่จุดนัดพบ กำหนดให้อยู่ระหว่างวัดหน้าพระเมรุ กับวัดหัสดาวาส เราจะออกไปเจรจากับเขาที่นั่น"
เสียงแสดงความพอใจจากขุนนางส่วนใหญ่ดังระงม ขณะที่พระยาจักรีและพระสุนทรสงคราม มีสีหน้าวิตกกังวล
บริเวณพลับพลาพิธีเจรจา ทั้ง 2 ฝ่าย อันมี พระมหาจักรพรรดิ บุเรงนอง พระราเมศวร พระมหินทร์ พระยาธรรมา พระยาจักรี พระยากลาโหม พระสุนทรสงคราม พระมหาธรรมราชา อุปราชมังชัยสิงห์ พระเจ้าแปร/อังวะ/ตองอู เสนาบดีและข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายราว 60 คน และยังมีทหารทั้งสองฝ่ายจำนวนมาก
ด้านในพลับพลามีพระพุทธรูปตั้งบนโต๊ะหมู่เป็นประธานกลางที่ประทับสองที่ซึ่งตั้งเผชิญหน้าห่างกันพอประมาณ พระมหามหาจักรพรรดิประทับอยู่ตรงข้ามพระเจ้าบุเรงนอง มีพระราเมศวรและพระมหินทร์ราชโอรสทั้งสองนั่งคุกเข่าที่พื้นเยื้องไปทางด้านหลัง ส่วนบุคคลอื่นมีที่นั่งที่ยืนอยู่รายรอบนอกพลับพลา พระเจ้าบุเรงนองยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีด้วยถือว่ามีศักดิ์ศรีเหนือกว่า ส่วนพระมหาจักรพรรดิ ตั้งสติมั่นพยายามเจรจาด้วยความรอบคอบที่สุด
"เพราะพระเจ้าพี่ไม่ประทานช้างเผือกให้เป็นศรีแก่นครหงสาวดี หม่อมฉันจึงจำต้องยกทัพมา หากแต่ด้วยหนทางช่างทุรกันดาร ลำบากนักหนา จึงอยากจะขอช้างเผือกเพิ่มจากสองช้างเป็นสี่ช้าง พระเจ้าพี่จะประทานได้หรือไม่" บุเรงนองว่า
"ช้างเผือกทั้งสี่เราให้ได้ หากพระองค์ลงคำมั่นสัญญาว่า จะยกทัพกลับไป ไม่เบียดเบียนบ้านเมืองของเราอีก"
บุเรงนองยกมือไหว้พระพุทธรูป
".....ขอพระผู้ศักดิ์สิทธิ์จงเป็นพยาน พระนครศรีอโยธยานี้ หม่อมฉันขอยกให้ไว้แก่พระเจ้าพี่ หากแต่จะขอเชิญพระราเมศวร ราชบุตรองค์ใหญ่ของพระเจ้าพี่ ไปประทับที่หงสาวดี รวมทั้งขอพระยาจักรีและพระสุนทรสงครามไปอยู่ช่วยงานด้วย พระเจ้าพี่จะโปรดว่าประการใด"
พระราเมศวรตกตะลึง ส่วนพระยาจักรีและพระสุนทรรู้สึกอัปยศอดสู
"พระราเมศวรนั้นเราขอไว้เถิด จะได้อยู่สืบสันตติวงศ์ต่อไป"
"แต่ พระมหินทร์ผู้น้องก็ยังสืบวงศ์ได้อยู่นี่นา ดีเสียอีก แยกพี่แยกน้องกันเสีย จะได้ไม่หมางใจเรื่องราชบัลลังก์กันในภายหน้า ไม่งั้นบ้านเมืองจะเดือดร้อนกันเปล่าๆ เรื่องนี้ขอพระเจ้าพี่
อย่าได้ขัดเลย"
"ตกลงตามนั้นก็ได้ เพียงแต่เหล่าอาณาประชาราษฎร์หัวเมืองและข้าขอบขัณฑเสมาซึ่งกองทัพพระองค์ได้จับไว้นั้น ขอคืนไว้แก่พระนครเถิด"
"ได้ ได้ ได้ เรายินดีคืนให้ เป็นอันว่าทุกอย่างตกลงตามนี้นะ" บุเรงนองหัวเราะพอใจ "เออ ได้พูดกันรู้เรื่องง่ายๆอย่างนี้ หม่อมฉันก็พอใจแล้ว ฮ่ะ ๆ ๆ"
ขณะบุเรงนองหัวเราะ พระอุปราชมังชัยสิงห์รู้สึกขัดใจ พระราเมศวร พระมหินทร์ พระยาจักรี และพระสุนทรสงครามรู้สึกพ่ายแพ้
พระมหาจักรพรรดิรู้สึกเสียเปรียบอย่างน่าอัปยศอดสู
พระมหาธรรมราชากำลังเดินมากับทหารฝ่ายเหนือ
ทรงเดินผ่านหน้าศาลาท่าน้ำนอกกำแพงเมือง แล้วต้องชะงักเมื่อได้ยินพระมหินทร์ ซึ่งยืนรอเรือพระที่นั่งอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ ตะโกนออกมาด้วยความแค้นใจ
" ไม่เลย ไม่ ความอัปยศคงไม่เกิดแก่กรุงศรีหรอก ถ้าไม่มีคนขี้ขลาดอย่างเช่นเจ้า"
พระมหินทร์เดินปราดจากศาลามายืนเผชิญหน้าพระมหาธรรมราชา
"มหาธรรมราชาเพียงแต่เจ้ากล้าสู้ศึก กล้ายั้งข้าศึกไว้ที่พิษณุโลกสองแคว ป่านนี้ทัพอยุธยาก็คงไล่มันไปพ้นแผ่นดินไทยเหนือแล้ว แต่นี่เจ้ากลับรีบยอมแพ้ ยอมก้มหัวกราบกรานมัน ยอมพามันมาล้อมกรุง"
พระมหาธรรมราชาบอก
"มิใช่เช่นนั้น พระพุทธเจ้าข้า หากพระองค์จะทรงฟังเหตุผล"
พระมหินทร์ตวาดสวนทันที
"เหตุผลอะไร จะมีอะไรนอกจากเจ้ามันไอ้ขี้ขลาด ขี้กลัว เอาแต่ตัวรอด ไม่นึกถึงญาติวงศ์พงศาว่าจะรับเคราะห์รับกรรมกันแค่ไหน"
"แต่ว่า"
"ไม่ต้องแก้ตัว ไม่ต้องพูดกัน ข้าละอายใจเหลือเกิน ละอายใจจริงๆที่มีพี่เขยเลวๆเยี่ยงเจ้า"
พระมหินทร์พูดจบก็ผละเดินกลับไปที่ศาลาท่าน้ำด้วยความเกลียดชัง ทิ้งให้พระมหาธรรมราชายืนอยู่ด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ
ภายในตำหนักพระรามเมศวรที่อยุธยา ศิริเทวี พระชายาของพระราเมศวร ร้องไห้สะอึกสะอื้นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีท้าวแจ่ม หัวหน้าสาววังซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดนั่งปลอบอยู่ที่พื้นข้างทั้งๆที่ตัวเองก็น้ำตานองหน้า
"อย่ากรรแสงไปเลยเพคะทรงคิดเสียว่าเป็นแค่ย้ายที่ประทับใหม่ก็แล้วกัน ทีคนอื่นเขายังโดนหนักโดนหนากว่านี้ บางคนถึงตายไปเลยก็มีนะเพคะ"
"เงียบเถอะน่ะท้าวแจ่ม พูดอะไรไม่ได้เรื่อง น่ารำคาญ" พระราเมศวรบอก
แจ่มชะงัก "อุ๊ย"
"โธ่ ทำไมต้องเกิดเรื่องร้ายๆถึงปานนี้ ทำไมเราต้องจากอยุธยาไปด้วย ทำไมเสด็จพ่อถึงยอมมันได้"
"เสด็จพ่อได้ทำดีที่สุดแล้วทรงยอมสละส่วนน้อย เพื่อรักษาส่วนใหญ่ อยุธยารอดแหลกลาญมาได้ ก็เพราะการเจรจา และการเจรจาย่อมต้องมีทั้งได้และเสีย"
"แล้วทำไมเราต้องไปอยู่หงสาด้วย"
แจ่มสอดเข้ามาอีก
"แต่ก็ไม่ได้เสด็จไปลำพังพระองค์นะเพคะ ยังมีหม่อมฉัน กับพวกข้ารับใช้โดยเสด็จไปด้วยตั้งหลายคน"
"บอกว่าไม่ต้องพูดไง" พระราเมศวรบอก
"อุ๊ย....เพคะ เพคะ"
"พระเจ้าบุเรงนองคงต้องการลงโทษทุกคนที่เป็นต้นเสียงต่อต้านเรื่องไม่ให้ช้างเผือก กับเรื่องปิดเมืองสู้ ให้ได้รู้จักหงสาวดีดียิ่งขึ้นละมัง"
"เพราะมันนั่นแหละ ทำให้เสด็จพี่ต้องพ้นจากรัชทายาท ความหวังที่เสด็จพี่กับหม่อมฉันจะได้ครองบัลลังก์อยุธยาก็ต้องสลายไปด้วย"
พระราเมศวรพยายามปลอบพระชายา ทั้งๆที่ตัวเองก็รู้สึกน้อยใจอยู่เช่นกัน
"พระเจ้าบุเรงนองทรงมีบารมีล้นฟ้า จะทรงเปลี่ยนชีวิตใคร ก็บัญชาได้ดังปรารถนา อย่าน้อยใจไปเลยนะศิริเทวี วันหนึ่งข้างหน้าเราคงจะได้กลับมา"
"ถึงกลับมาก็เหมือนสัตว์เลี้ยงที่เขาปล่อยออกจากคอก เราจะมองหน้าใครเขาได้ หม่อมฉันไม่อยากหวังอะไรอีกแล้วบอกตรงๆว่า หมดอาลัยในชีวิตแล้ว"
พระชายาร้องไห้ต่อไป พระราเมศวรมองดูด้วยความสงสารและเห็นใจ
ณ ลานค่ายหลวงหงสาที่วัดโพธิ์เผือก ตอนกลางคืน การแสดงระบำพม่าที่รวดเร็วเร้าใจด้วยเสียงฆ้องกลอง กลางลานค่ายอันเป็นที่จัดงานเลี้ยง โดยผู้ร่วมงานทั้งหลายต่างนั่งดื่มกินสุราอาหารอยู่ล้อมรอบลานแสดง มีพระเจ้าบุเรงนองนั่งเป็นประธาน มีสาวสวยแต่งกายแบบพม่ารามัญคอยบริการอาหารและเหล้าอยู่ทั่วไป
พระเจ้าบุเรงนองพูดเสียงกังวานไปทั่วกลางลานค่ายหลวง
"ข้าขอขอบใจทุกท่าน ที่ร่วมแรงร่วมใจกัน ขยายความยิ่งใหญ่ให้แก่หงสาวดี บัดนี้หงสาวดีเรามีช้างเผือกถึง 4 เชือกแล้ว ก็ด้วยความช่วยเหลือของพวกท่าน และด้วยความฉลาดของพระเจ้ากรุงอโยธยาที่ยอมเป็นไมตรีกับเราแต่โดยดี"
การแสดงระบำพม่ายังคงจังหวะเร็ว กระแทกกระทั้น เร้าใจ ...
ครู่หนึ่ง ... บุเรงนองพูดต่อ
"โดยเฉพาะ พระเจ้าสองแควสุธรรมราชา ที่มีพระปรีชาล้ำเลิศ ทรงรู้ว่าใครมีบารมียิ่งกว่าใครแค่ไหนจึงได้สวามิภักดิ์ และร่วมราชการศึกกับเราด้วยความซื่อตรงจงรักภักดี ตราบจนกระทั่งจุดมุ่งหมายของเราสำเร็จสมปรารถนา จึงขอให้ท่านเสด็จกลับไปปกครองเมื่อพิษณุโลกสองแคว และดูแลหัวเมืองเหนือทั้งหมดให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปด้วย"
พระมหาธรรมราชาถวายบังคมรับด้วยความยินดี
"เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้ว พระพุทธเจ้าข้า"
ระบำพม่าแสดงลีลาการเต้นอย่างเร่าร้อน แล้วจบลงพร้อมเสียงดนตรีอย่างนิ่งเงียบ
บุเรงนองมองมาที่พระมหาธรรมราชา แล้วพูดเข้าจุดสำคัญทันที
"ได้ข่าวว่าพระนเรศ โอรสองค์โตของท่านก็มีความทะนงองอาจไม่แพ้พระราชบิดา สมควรจะได้รับการฝึกฝนทั้งวิชาทหารและการปกครองจากมหาอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ ข้าจึงอยากจะได้พระนเรศราชโอรสของท่านไปเป็นบุตรบุญธรรมของข้าที่หงสาวดี"
พระมหาธรรมราชาตกตะลึงงัน คาดไม่ถึง
"ขอรับรองว่าเราจะเลี้ยงดูโอรสของท่านเป็นอย่างดีที่สุดสุธรรมราชา ท่านจะว่ากระไรในเรื่องนี้"
ภายในตำหนักพระราชวังจันทน์ที่พิษณุโลก พระวิสุทธิกษัตรีย์ มเหสีพระมหาธรรมราชา ร้องไห้ลั่นราวกับโดนยักษ์มาควักดวงใจ
"ไม่ได้ ข้ายอมไม่ได้ ใครจะมาเอาชายใหญ่ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ข้าไม่ให้ เป็นตายยังไงข้าก็ไม่ให้"
พระมหาธรรมราชาพูดปลอบด้วยความสะเทือนใจ
"แต่พระเจ้าบุเรงนองก็สัญญาแล้วว่า ท่านจะเลี้ยงดูลูกของเราอย่างดี"
"จะเอาอะไรกับสัญญาของพวกยักษ์พวกมาร มันก็แค่พูดว่ามันจะเลี้ยงอย่างดี โธ่ ทำไมหม่อมฉันจะไม่รู้ มันหมายจะเอาลูกของเราไปเป็นตัวประกันน่ะสิ ประกันไว้ไม่ให้เสด็จพี่หันไปญาติดีกับอยุธยาอีก คอยดูเถอะ ถ้าวันไหนเสด็จพี่แสดงความภักดีต่อกษัตริย์ไทย วันนั้นองค์ดำก็คงต้องตาย..." แล้วพระวิสุทธิกษัตรีย์ก็ร้องไห้
"สงบใจเสียเถอะ วิสุทธิ์กษัตรีย์เรื่องนี้เป็นราชการบ้านเมือง เป็นกุศโลบายในการปกครองของหงสาวดี เป็นความฉลาดของพระเจ้าบุเรงนอง และเป็นความจำเป็นที่เราไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้"
"แต่ลูกของเราอายุแค่ 9 ปี ยังอายุน้อยเกินไปที่จะเป็นเหยื่อของพวกมัน"
"ถึงอายุ 9 ขวบ แต่ชายใหญ่ก็เห็นศึกสงครามมามากพอที่จะเข้าใจอะไรๆได้ดี ไปครั้งนี้จะทำให้ลูกของเราโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่งกว่าใคร" พระมหาธรรมราชาบอก
"ไม่ ไม่ ยังไงหม่อมฉันก็ไม่ยอมให้ลูกไป"
ขณะนั้น เสียงองค์ดำดังขัดเข้ามา
"ยอมเถอะเสด็จแม่ ยอมให้ลูกไป เพื่อพิษณุโลกของเราจะได้คงอยู่"
เสียงเด็ดขาดฉาดฉานทำให้พระวิสุทธิกษัตรีย์หันไป เห็นองค์ดำก้าวออกมาจากที่ยืนแอบฟังอยู่
"ชายใหญ่ พูดอะไรอย่างนั้น ลูก ลูกยังไม่เข้าใจนะ"
"ถ้าเขาจะยึดครองเราทั้งหมด เขาก็ทำได้ แต่เขาไม่ทำ เขาแค่เอาลูกไว้คนเดียวพวกเราก็อยู่กันได้เหมือนเดิม ใครๆก็อยากให้เป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ"
"เห็นไหมว่าลูกเข้าใจถูกแล้ว"
"เพื่อเสด็จพ่อจะได้ครองพิษณุโลกต่อไป และเพื่อชาวเมืองเหนือจะได้ไม่ถูกเจ้าต่างเมืองมากดขี่ ลูกก็ยินดีไปจ้ะแม่"
"โธ่ ลูก"
พระวิสุทธิกษัตรีย์โผเข้ากอดองค์ดำร้องไห้
ขบวนทหารหงสาวดีราวๆ 20 นายเดินเท้าเข้ามายังพระราชวังจันทน์
เพื่อรับพระองค์ดำไปยังกองทัพหลวงก่อนเดินทางไปหงสาวดี ขบวนทหารมาหยุดยืนตั้งแถวรออย่างเข้มแข็งและเป็นระเบียบ ที่หน้าตำหนัก ในขบวนมีเสลี่ยงนั่งและสัปทนรวมสองชุด
พระพี่นางสุวรรณเทวีอายุ 11 ขวบ และองค์ขาว พระอนุชาอายุ 7 ขวบ ทั้งสองพระองค์ยืนรออยู่ที่บนชานหน้าตำหนักนั้นแล้ว ครู่หนึ่งพระองค์ดำในชุดแต่งตัวรัดกุมสำหรับเดินทางก็เดินออกมาจากในตำหนัก พยายามฝืนใจให้เข้มแข็งไม่สะทกสะท้าน
"ไปแล้วกลับมาเร็วๆนะพี่ เราจะได้เล่นกันอีก" องค์ขาวบอก
"สงสัยน้องพี่คงจะไปหลายปี กว่าจะได้กลับมา" พระสุวรรณเทวีกล่าว
"ทำไม ทำไมชายใหญ่ต้องไปด้วย" องค์ขาวถามอย่างอยากรู้
"พี่เป็นลูกกษัตริย์นั่งๆยืนๆให้ข้าแผ่นดินเขากราบไหว้มา 9 ปีแล้ว ถึงเวลาที่พี่ต้องทำหน้าที่ของพี่ ตอบแทนให้ชาวเมืองเขาได้อยู่เย็นเป็นสุขต่อไป ... พี่หญิง อยู่ทางนี้ ดูแลเสด็จแม่ด้วยนะ อีกนานกว่าข้าจะได้กลับมากราบท่านอีก"
"อย่าประมาทนะชายใหญ่ ไปอยู่ต่างถิ่นแล้ว ต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เราอยู่ท่ามกลางศัตรู คนที่นับถือเราคงหาได้ยาก"
"ข้าจะจำคำพี่หญิงไว้"
พระมหาธรรมราชาและพระวิสุทธิกษัตรีย์เดินออกมาจากตำหนักด้วยความเศร้าหมอง พระวิสุทธิกษัตรีย์ยังมีน้ำตานองหน้า เข้ามากอดพระโอรสด้วยความรักและอาลัย
"รักษาตัวให้ดีนะลูก แม่หวังแต่ว่า พระเจ้าแผ่นดินหงสาเขาจะเลี้ยงลูกให้เป็นสุข"
"สุขแค่ไหนก็ไม่เหมือนกินข้าวอยู่บ้านเราเองหรอกแม่"
"โธ่ ลูกแม่"
"รีบไปเถอะเดี๋ยวทัพใหญ่เขาจะรอ พ่อจะไปส่งลูกที่กำแพงเพชร"
หลังจากองค์ดำกราบลาแม่ ลาพี่สาวและน้องชายแล้ว พระมหาธรรมราชา ก็พาโอรสองค์โต และมหาดเล็กจำนวนหนึ่งไปกับขบวนทหารหงสา ฝ่ายพระวิสุทธิกษัตรีย์ พระสุวรรณเทวี และพระองค์ขาวยืนมองตามด้วยความอาลัย น้ำตานองหน้า
กองทัพพม่าเดินทางกลับหงสาวดี ผ่านป่าเขา พระเจ้าบุเรงนอง พระมหาธรรมราชา และพระองค์ดำ นั่งอยู่บนที่นั่งหลังช้างแต่ละตัวขณะเดินทาง
ณ ลานบนเนินดินกว้าง อันเป็นที่พักทัพหลวงของหงสาวดีในป่าเขาบริเวณกำแพงเพชร มีทหารหงสาวดีบางกลุ่มยืนยาม บางกลุ่มเดินแถวไปมา ทหารส่วนใหญ่นั่งนอนอยู่ทั่วไป มีช้างม้ายืนพักอยู่ทางหนึ่ง
องค์ดำยืนอยู่ตรงริมเนิน มองดูทุ่งหญ้ากว้างเบื้องหน้านิ่ง จนกระทั่งพระมหาธรรมราชาเดินมาหา
"ดูอะไรอยู่หรือลูก"
"ดูแผ่นดินไทย ดูให้จำ ประเดี๋ยวพอผ่านด่านแม่ละเมาแล้ว ก็คงอีกนานกว่าลูกจะได้เห็นแผ่นดินไทยอีก"
"องค์ดำ ฟังพ่อนะ"
องค์ดำหันมาตั้งใจฟัง
"เมื่อไปอยู่หงสาวดีแล้ว ลูกจะพบว่า คนที่นั่นมักจะมองคนต่างถิ่นว่าเป็นเชลย ฉะนั้น ลูกต้องวางตัวให้เหมาะให้ควร รู้เขารู้ เรา รู้ว่าใครมีบารมีมากกว่าใคร สิ่งมีค่าที่สุดที่ต้องรักษาไว้คือ
ชีวิตเราเอง จงเร่งฝึกฝนและสะสมความรู้ความสามารถไว้ให้มากที่สุด แล้วทุกอย่างที่ลูกเรียนรู้ จะให้คุณแก่ตัวลูกเองและคนไทยทั้งหลายในภายหน้า เข้าใจไหมลูก"
"พระพุทธเจ้าข้า"
พระองค์ดำน้อมรับพระโอวาทแล้วเชิดหน้าอย่างมุ่งมั่น สง่างาม พร้อมเผชิญทุกข์ภัยนานาประการที่รออยู่เบื้องหน้า
ยามเย็นของเมืองหงสาวดีอันสวยงามตระการตา วัดวาอารามและสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ล้วนเป็นสีทองเรืองอร่าม มีชาวพม่ารามัญและผู้คนอีกหลายเชื้อชาติเดินผ่านไปมาทั่วไป
พระราชวังอันสวยงามของพระเจ้าบุเรงนอง ยิ่งสวยสง่าและประดับประดาด้วยอัญมณีบนพื้นทองวาววับ
ขบวนเสด็จของพระราเมศวร พระชายา และพวกข้าราชบริพารจากอยุธยา ...
ทหารรักษาพระองค์ของพระราชวังหงสาวดีเดินทั่วบริเวณ นำขบวนโดย เจ้ากรมวัง จนกระทั่งเดินมาถึงพระตำหนักใหญ่อันสวยงามแบบพม่ารามัญแห่งหนึ่ง
พระราเมศวรเดินอย่างสงบ ผิดกับพระชายาและท้าวแจ่มที่ตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของพระราชวังอยู่ตลอดเวลา
"อู๊ยย์ งามจริงๆนะเพคะ ยังกะเมืองฟ้าเมืองสวรรค์เลย ไม่ยักรู้มาก่อนว่าจะมีเมืองสวยๆยังงี้อีก นอกจากอยุธยาของเรา" แจ่มบอก
"วัดก็เป็นทอง เจดีย์ก็เป็นทอง ปราสาทราชมณเฑียร อะไรๆก็เป็นทอง ดูแล้วสว่างไสวไปหมด"
พระชายาศิริเทวีว่า
ขบวนของพระองค์ดำ ซึ่งมีพระยาจักรีและพระสุนทรสงครามร่วมทางมาด้วย
องค์ดำนั้นนั่งบนหลังม้า มีมหาดเล็กถือสัปทนกางถวาย ติดตามด้วยทหารหงสาและมหาดเล็กขององค์ดำจำนวนหนึ่ง ขบวนผ่านมาหน้าลานฝึกการต่อสู้ของพวกลูกหลานเจ้าในราชสำนักหงสา โดยมีมังกยอชวา ราชบุตรของพระมหาอุปราชาเจ้าวังหน้ามังชัยสิงห์ กำลังแสดงฝีมืออาวุธกับกลุ่มคู่ต่อสู้ที่รุมล้อมอยู่อย่างคล่องแคล่ว จนเป็นที่สนใจของทุกๆคนในขบวน
พระยาจักรีบอก
"ฮึ่ ข้าไม่แปลกใจแล้ว ว่าทำไมพวกพม่าจึงรบชนะไปทั่วทุกทิศ"
"ทำไมหรือ เจ้าคุณ" พระสุนทรสงสัย
"ก็ดูโน่นสิ ขนาดเด็กตัวนิดเดียวของเขา ก็ฝึกเพลงอาวุธกันแล้ว"
"เด็กที่เก่งนั่น ถ้าทายไม่ผิด เห็นจะเป็น พระเจ้าหลานมังกยอชวา ราชบุตรพระวังหน้า ที่พวกทหารหงสาพูดถึงบ่อยๆ"
"ลูกเขาเก่งกันทั้งนั้น แต่ลูกเจ้านายไทยเราสิ กลับอยู่ดีกินดีจนอ้วนพีไปตามๆกัน"
องค์ดำรู้สึกเหมือนถูกว่ากระทบ
มังกยอชวาหันไปเห็นองค์ดำนั่งบนหลังม้าอยู่ไกลๆ จึงยิ่งอวดฝีมืออาวุธฟาดฟันจนคู่ต่อสู้ที่ห้อมล้อมจอยู่ล้มกลิ้งล้มหงายไปตามๆกัน แล้วยืนยิ้มเย้ยองค์ดำอย่างหยิ่งทะนง
เย็นต่อเนื่อง ขบวนของอุปราชมังชัยสิงห์ มีทหารองครักษ์ติดตาม 10 นาย เดินมาถึงลานหน้าตำหนักพระอุปราชวังหน้า ซึ่งมีพระชายาเมงพยู และสาวชาววัง รูปร่างหน้าตาดี 6 นางรอรับเสด็จ หลังจากถวายคารวะแล้ว สาวชาววังทั้ง 3 นางก็ยกถาดเครื่องดื่มต่างกัน คนละถาดมาถวาย พระอุปราชหยิบเครื่องดื่มถ้วยหนึ่งมาดื่ม แล้วก็บ้วนทิ้งอย่างไม่สบอารมณ์
เมงพยูถาม
"ขุ่นพระทัยเรื่องอะไรหรือเพคะ จากวังหน้าไปหลายเดือน กลับมาทั้งที แทนที่จะเกษมสำราญ กลับหงุดหงิดเสียแล้ว"
"ข้าขุ่นใจมาตลอดทาง ออกศึกครั้งไหนไม่เคยขัดใจเท่าครั้งนี้ ไปแล้วได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ"
"ได้อะไร เสียอะไรหรือเพคะ"
อุปราชมังชัยสิงห์เดินพล่านพลางพูดระบายความเจ็บใจ
"ได้ช้างเผือกมาสี่เชือก กับเชลยแค่ไม่กี่คน แต่ทหารของเรา ตายไปเท่าไหร่ ทั้งป่วยตาย ทั้งจมน้ำตาย ทั้งถูกปืนใหญ่ของมันยิงตายอีกไม่รู้เท่าไหร่ ให้ตายซี่ แทนที่จะตีอโยธยาให้แตก แล้วยึดของมีค่ามาให้หมด พระเจ้าพ่อกลับยกเมืองคืนให้มัน ให้มัน ให้มันอยู่กันต่อไปสบายๆ"
เมงพยูยิ้มใจเย็น
"โถ นึกว่าเรื่องอะไรเรื่องแค่นี้เอง"
"อะไรนะ เมงพยู เจ้าว่าอะไรแค่นี้เอง"
"ก็พระเจ้าพี่ยังไม่รู้พระทัยพระราชาธิราชเจ้าอีกหรือเพคะ"
"รู้อะไร"
"เป็นลูกเป็นพ่อกันแท้ๆน่าจะรู้ว่าพระเจ้าพ่อบุเรงนองน่ะท่านโปรดของไทยๆแค่ไหน จะให้ท่านถล่มบ้านเมืองไทยที่กำลังรุ่งเรืองสวยงามให้ย่อยยับหรือ ท่านไม่ทำหรอกเจ้าพี่ ท่านอยากรักษเมืองไทยไว้ แล้วให้คนไทยก้มหัวให้ท่านมากกว่า"
"ก็แปลว่าไปรบเพื่อหวังจะให้คนไทยยกย่องงั้นสิ"
"ใช่เพคะ ไม่งั้นจะได้ชื่อว่าพระเจ้าชนะสิบทิศหรือ"
"เฮ๊อะ พระเจ้าชนะสิบทิศ คิดอะไรทำอะไรไม่เข้าท่าเสียเลย"
เมืองหงสาวดีในยามค่ำคืน พระมหาเจดีย์มุเตาตั้งเด่นอยู่กลางเมือง บรรยากาศในคืนนั้นมีแต่ความสงบเงียบสงัด เช่นเดียวกับตำหนักขององค์ดำซึ่งมีแต่ความมืดสลัวและเงียบเหงา
พระองค์ดำนอนอยู่บนเตียงที่สลักลวดลายงดงามแบบพม่า พระองค์กลับรู้สึกถึงความอ้างว้างและเงียบเหงา พระองค์นอนไม่หลับจึงลุกเดินมาที่หน้าต่าง ทอดสายตามองออกไปภายนอก เห็นพระมหาเจดีย์สูงตระหง่าน ตั้งทะมึนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ พระองค์ดำสีหน้าเศร้าหมอง ยกมือพนมไหว้พระมหาเจดีย์แล้วกล่าวอธิษฐาน
"พระมหาเจดีย์มุเตาคงจะศักดิ์สิทธิ์เหลือหลาย หงสาวดีถึงได้เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ไม่มีใครสู้ วันนี้ข้ามาอยู่ที่นี่ ไกลบ้าน ไกลเมือง ไกลแผ่นดิน ขออาศัยร่มเงาความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระมหาเจดีย์เป็นที่พึ่งด้วยคนเถิด พี่หญิงสุวรรณเทวีบอกว่า ข้ามาอยู่ที่นี่จะมีแต่คนเกลียด หาคนนับถือได้ยาก ข้าคงลำบากหากต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว จึงขอบารมีพระมหาเจดีย์ ช่วยบันดาลให้ข้าได้พบเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจ ตลอดวาระที่ข้าต้องอยู่หงสาวดีนี้ด้วยเถิด"
วันต่อมา ตลาดในหมู่บ้านโยเดียที่เต็มไปด้วยผู้คน
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านของเชลยไทยที่ถูกกวาดต้อนมาในศึกครั้งก่อน ในตลาดมีบรรยากาศของการจับจ่ายขายซื้อของกินของใช้ระหว่างพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านทั่วไปอย่างคึกคัก เคลื่อนไหวนั้นดูวุ่นวายสับสน
พระองค์ดำซึ่งแต่งตัวดี มีเครื่องประดับพอสมควร กำลังขี่ม้าเดินเที่ยวดูตลาดอยู่พร้อมกับกลุ่มมหาดเล็กผู้ติดตาม ผ่านแผงลอยร้านค้าที่มีผืนผ้าขึงหลังคาและม่านกันแดดสีต่างๆจนกระทั่งได้ยินเสียงเอะโวยวาย จึงหันมองหา
"จับไว้ จับไว้ อย่าปล่อยให้มันหลุดไปได้" ชาวบ้าน 1 ว่า
"วันนี้ต้องเอาให้เข็ด หนอย ไม่กลัวไม่เกรง ขโมยได้ทุกวัน" ชาวบ้าน 2 บอก
"มานี่ มานี่ข้าจะตีมันเอง จับไว้ซี่ อย่าดิ้นนะมึง" ชาวบ้าน 3 บอก
พ่อค้า แม่ค้าชายหญิงรวม 5 คน กำลังรุมทำร้ายเด็กชายวัยเดียวกับองค์ดำซึ่งถูกกดให้นอนอยู่บนพื้นทางเดินกลางตลาด
ชาวบ้าน 2 บอก
"ฤทธิ์มากนักนะ ไอ้เด็กเวร"
"ต้องเอาให้เจ็บ เอาให้เจ็บ" ชาวบ้าน 1 ว่า
ชาวบ้านสองคนกำลังเงื้อง่าจะลงมือตี ก็พอดีมีเสียงองค์ดำตวาดห้าม
"หยุด หยุด อย่าไปตีเขา"
ชาวบ้านทั้งกลุ่มชะงักหันมาเห็นองค์ดำนั่งบนม้าสง่าอยู่ จึงมีท่าทีกลัวเกรง
"ไปตีเขาทำไม เขาเป็นเด็กแท้ๆ"
ชาวบ้าน 2 บอก
"ไอ้เด็กนี่ มันขโมยขนมที่ร้านของข้า คว้าแล้ววิ่งหนีมา"
ชาวบ้าน1บอก "ขโมยทุกวัน เพิ่งจับตัวได้วันนี้แหละ"
องค์ดำมองดูเด็กชายที่ขะมุกขะมอมนอนอยู่บนพื้น เห็นหน้าตาเป็นเด็กไทยอยู่ในวัยใกล้เคียงกับพระองค์ แต่ผิวพรรณกร้านแกร่งกว่า แสดงถึงความลำบากตรากตรำมาตั้งแต่เกิด ในมือยังกำขนมไว้แน่น
"ขนมก้อนเดียว ราคาจะสักเท่าไหร่ คนไทยด้วยกัน แบ่งให้กินบ้างไม่ได้รึ"
ชาวตลาดทั้งกลุ่มจึงยอมปล่อย องค์ดำดูเด็กจรจัดผู้นั้นนั่งกินขนมที่ถือแน่นไว้ในมืออย่างหิวโหยด้วยความสงสาร แต่แล้วขนมในมือก็ถูกเท้าของใครคนหนึ่งเตะกระเด็น เด็กเงยหน้ามองคนเตะด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
องค์ดำไม่พอใจ
"เจ้าเป็นใคร ทำไมมารังแกเด็ก"
ท้วมไม่กลัวเกรง
"แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร อ๋อ นั่งม้ามีร่มกางยังกะบวชนาคยังงี้ คงเป็นลูกเจ้าลูกนายละสิท่า"
"ข้าถามเจ้า เจ้ายังไม่ตอบ"
"ข้า....เศรษฐีท้วมเป็นนายบ้านโยเดียแห่งนี้ ส่วนไอ้เด็กนั่นชื่อ ไอ้ทิ้ง เป็นทาสรับใช้อยู่ในบ้านข้า มันหนีออกมาหลายวันแล้ว เพิ่งเจอตัวนี่แหละ"
"ถ้าข้ามีนายอย่างเจ้า ข้าก็ต้องหนีเหมือนกัน"
"แล้วเจ้ามายุ่งอะไรด้วย"
"ข้าต้องยุ่ง ข้าไม่ชอบคนโหดร้าย ข่มเหงคนตัวเล็กกว่า"
พระองค์ดำถอดแหวนจากนิ้วมือ ยกให้ดูหัวทับทิมสะท้อนแสงแวบวับ
"แหวนนี่ พอจะไถ่ตัวไอ้ทิ้ง ให้พ้นจากเป็นทาสของเจ้าได้ไม๊"
พระองค์ดำโยนแหวนให้จากหลังม้า เศรษฐีท้วมตะครุบรับไว้ แล้วดูแหวนตาลุกวาว
"เอ้อ ก็พอได้ ได้สิได้ ข้าเองก็เบื่อมันเต็มทีแล้ว มีแต่เรื่องเดือดร้อนทุกวัน"
พระองค์ดำยิ้มพอใจ
บุญทิ้งนั่งเงยมองพระองค์ดำด้วยสำนึกในบุญคุณ
องค์ดำขี่ม้ามาตามทางเดินในเมืองหงสาวดี มีมหาดเล็กติดตาม และกางร่มใหญ่และถือของเดินตาม บุญทิ้งเดินคุยมาข้างๆม้า มีชาวบ้านเดินผ่านไปมาพอสมควร
"ข้าเป็นคนไทย ข้าอยู่ในท้องแม่ตอนที่แม่ถูกจับตัวมาเป็นเชลยที่นี่ แม่คลอดข้าออกมาในค่ายเชลย พอคลอดแล้วไม่กี่วันแม่ก็ตาย พ่อเลี้ยงข้าต่ออีกไม่นาน ก็เอาข้าไปทิ้ง แล้วพ่อข้าก็หนีหายไป ข้าเลยได้ชื่อว่าไอ้ทิ้ง เพราะไม่มีใครอยากเก็บข้าไว้ นอกจากเฒ่าสา"
"เฒ่าสา เฒ่าสาเป็นใคร" พระองค์ดำถาม
"เฒ่าสาเป็นคนจน อยู่กับเมียที่หมู่บ้านโยเดียนี่แหละ เขาสงสารก็เลยเก็บข้ามาเลี้ยงตั้งแต่ยังตัวแดงๆ ข้าก็เลยโตขึ้นมาได้"
"แล้วทำไมถึงไปอยู่บ้านเศรษฐีท้วมซะล่ะ"
เวลาต่อมา
เฒ่าสานั่งที่พื้นลานหน้ากระท่อมเล่าเรื่องให้พระองค์ดำซึ่งนั่งบนแคร่ฟังต่อ บุญทิ้งนั่งอยู่ที่พื้นอีกด้าน พวกมหาดเล็กและม้ารออยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่
"กระหม่อมให้ที่อยู่ที่กินแก่มันเท่าที่คนจนๆจะให้ได้ ไอ้ทิ้งมันก็ทำงานตอบแทนให้ทุกอย่าง เหนื่อยแค่ไหนไม่มีปริปาก จนวันหนึ่งเมียของกระหม่อมป่วยหนัก ไม่มีเงินรักษา กระหม่อมจึงไปกู้เงินเศรษฐีท้วมมา หวังจะรักษาเมียให้หาย แต่ในที่สุดเมียก็ตาย และกระหม่อมก็ไม่มีเงินใช้คืนเศรษฐีท้วม"
"ไอ้ทิ้งก็เลยยอมไปเป็นทาสไอ้เศรษฐีนั่นแทนเงิน ข้าพอเข้าใจแล้ว"
"วันนี้ พระองค์เมตตาไถ่ตัวไอ้ทิ้งออกมาได้ กระหม่อมจึงขอถวายไอ้ทิ้งให้อยู่รับใช้พระองค์ต่อไป"
"ดีสิ จะได้เป็นเพื่อนกัน"
"ไอ้ทิ้ง เอ็งได้พึ่งบารมีพระองค์ดำแล้ว ไปกราบถวายตัวท่านเสียสิ เร็ว"
ไอ้ทิ้งคลานไปกราบแทบเท้าองค์ดำ
"ไอ้ทิ้งมันกตัญญูรู้คุณคนนัก กระหม่อมเชื่อว่า มันจะปกป้องคุ้มครองพระองค์ได้ นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป"
บุญทิ้งเงยหน้าขึ้นมองพระองค์ดำด้วยความจงรักภักดี
พระองค์ดำมองบุญทิ้งอย่างชื่นชม
เช้าวันต่อมา ที่ลานหน้าตำหนักวังหน้า ลักไวทำมู ครูฝึกอาวุธกำลังเดินอบรมบรรดาลูกศิษย์วัย 10 ขวบ ซึ่งล้วนเป็นลูกเจ้านายชั้นนายทหารและข้าราชการผู้ใหญ่ซึ่งยืนแถวหน้ากระดานอยู่อย่างเข้มแข็ง
"พวกเจ้าควรจะยินดีที่เกิดมาเป็นลูกเจ้าลูกนายในหงสาวดีและควรจะยินดีอีกร้อยเท่า ที่ได้เป็นพระสหายร่วมสำนักฝึกอาวุธกับพระเจ้าหลานมังกยอชวา ราชบุตรแห่งพระเจ้าวังหน้ามหาอุปราช พวกเจ้าจงตั้งใจฝึกให้ดี เพื่อวันข้างหน้าเจ้าจะได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระราชบุตร นับเป็นเกียรติอันสูงส่งแก่วงศ์ของพวกเจ้าเอง"
พอดีพระมหาอุปราชและมังกะยอชวาเดินออกมาจากตำหนัก ลักไวทำมู และพระสหายลงคุกเข่าทำความเคารพพร้อมเพรียง
อุปราชถาม
"อ้อ มารอกันพร้อมแล้ว วันนี้จะไปฝึกกันที่ไหนล่ะ ลักไวทำมู"
" ฝึกที่ลานประลองยุทธ์พระพุทธเจ้าข้า ที่นั่นมีอาวุธให้ฝึกครบทุกอย่าง"
"ดี ฝึกให้หนักไว้ โดยเฉพาะลูกข้า ต้องฝึกให้เก่งอาวุธทุกอย่างนะ ลักไวทำมู"
"พระพุทธเจ้าข้า"
พระมหาอุปราชหันไปจับไหล่มังกยอชวา
"ลูกก็เหมือนกันต้องฝึกให้หนัก ฝึกให้เก่งกว่าใครทั้งหมดในหงสาวดี อีกไม่กี่ปีเมื่อลูกโตเป็นหนุ่ม ลูกก็จะได้ออกศึกเคียงข้างพ่อ เหมือนกับที่พ่อเคยรบเคียงข้างพระราชาธิราชเจ้ามาแล้วตั้งแต่พ่อยังหนุ่ม"
"ข้าก็ตั้งใจไว้เช่นนั้น พระเจ้าพ่อ"
"ต้องอย่างนั้นมังกยอชวา จำไว้ว่า ต่อไปในแผ่นดินนี้ จะต้องไม่มีใครเก่งเหนือเจ้า"
" แน่นอน พระเจ้าพ่อ"
พระอุปราชมังชัยสิงห์ยิ้มพอใจและภูมิใจ มังกยอชวาเชิดหน้าอย่างหยิ่งผยองและมั่นใจ
เช้าต่อเนื่องมา
พระองค์ดำและบุญทิ้งเดินเที่ยวชมเมืองหงสาวดีอย่างสำราญเบิกบานใจ บุญทิ้งชี้ให้ดูประตูเมือง พระราชวัง วัดวาอาราม และสิ่งก่อสร้างสวยงามต่างๆ มีชาวบ้านพม่ารามัญเดินสวนมาพอสมควร
"เมืองนี้เพิ่งขยายใหม่ ข้าเองก็โตมาพร้อมๆกับการก่อสร้างทุกอย่าง ทั้งวัดทั้งวังประดับด้วยทอง สวยไปหมด"
"จะไม่ให้สวยได้ยังไงก็ประดับด้วยของที่ปล้นจากเมืองอื่นๆเขามาทั้งนั้น"
ทั้งสองเดินผ่านไป
ทั้งสองเดินมาจนถึงลานข้างกำแพงแห่งหนึ่ง เห็นกลุ่มเด็กในวัยเดียวกันยืนล้อมวง เล่นตีไก่ส่งเสียงเอะอะกันอย่างสนุกสนาน จึงเดินเข้าไปดู เด็กมอมแมมทั้งหลายนี้มีสองกลุ่ม ฝ่ายแรกมีหัวโจกสองคน คนหนึ่งรูปร่างบางหน้าตาคล้ายผู้หญิง อีกคนหนึ่งรูปร่างใหญ่ตัวหนากว่าท่าทางเป็นลูกพี่ ส่วนอีกฝ่ายเป็นกลุ่มเด็กข้างถนน หัวโจกหน้าตาค่อนข้างกะล่อน
จันบอก
"เอ้า เอาเข้าไป นั่น ยังงั้น ยังงั้น"
เพียงครู่เดียว ไก่ของฝ่ายแรกก็วิ่งไล่ไก่ของฝ่ายหลังหนีไปรอบๆวง กลุ่มเด็กฝ่ายแรกส่งเสียงเฮดีใจ ตัวหัวโจกหน้าอ่อนทำท่านักเลง แบมือแล้วกวักนิ้วทวงเงิน
"จ่ายมา อย่าช้า จ่ายมาเลย"
"จ่ายอะไร ไอ้จัน" มะไฟถาม
"ไม่ต้องมาทำหน้าเป็นลิงปวดขี้นะ ไอ้มะไฟ จ่ายเงินเดิมพันมาซะดีๆ ไม่งั้นเอ็งจะเจ็บตัว"
"จ่ายยังไงวะ ก็ข้าไม่แพ้นี่หว่า"
สมิงบอก
"ไก่ของข้าไล่ตีไก่ของเอ็งเห็นๆ จะว่าไม่แพ้ได้ยังไง"
"ไก่ของข้าวิ่งไปตั้งหลักโว้ย ไม่ได้หนี" มะไฟบอก
สมิงขยับเข้าหา
"พูดยังงี้เอ็งวอนปากแตกนี่หว่า เอาซะทีดีไม๊"
จันดึงตัวไว้
"เดี๋ยว สมิง อย่าเพิ่ง รอให้คนกลางตัดสินก่อน แล้วค่อยเอามันให้หนัก" จันหันไปทางพระองค์ดำ "ไงพี่ชาย ข้าเห็นยืนดูอยู่นานแล้ว บอกมาทีสิว่า ไก่ของข้าชนะไก่ไอ้มะไฟไม๊?" องค์ดำก้าวเข้ามา ยิ้มอย่างนึกสนุก
"ไก่ของมะไฟ สู้ไก่ของน้องชายไม่ได้"
จันหัวเราะอย่าผู้ชนะ
"ฮ่ะๆๆ เห็นไม๊ เห็นไม๊ฮ่ะๆฮ่า"
"แต่ไก่ของน้องชายก็ไม่ชนะ"
จันหุบยิ้มทันที
"อ้าว ทำไมล่ะ ทำไมไม่ชนะ"
องค์ดำชี้ที่ถังใส่น้ำที่มีกะลาจมอยู่ก้นถัง
"ก็นี่ไง ไก่ของมะไฟมันแพ้ หลังจากที่กะลาจมน้ำไปแล้ว"
"ก็แปลว่าไก่เราชนะหลังจากหมดยกแล้วงั้นเหรอ" สมิงว่า
"ใช่ชนะหลังจากที่กะลาจมไปแล้ว"
"เห็นไม๊ ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่แพ้ เอ็งก็ไม่เชื่อ ไปโว้ย พวกเรา กลับ"
มะไฟกับพวกรีบอุ้มไก่เดินกลับไป จันโกรธจนหน้าแดงก่ำ จ้องพระองค์ดำเขม็ง
"เอ็งนะเอ็ง ทำให้ข้าอดได้เงิน"
"อ้าว ก็ข้าพูดตามจริง น้องชายจะว่าข้าแกล้งได้ไง"
" เออ เอ็งพูดถูกแล้ว รีบไปซะ ไปให้ไกลๆเลย" สมิงบอก
องค์ดำยิ้มให้ไอ้จัน
"แล้วพบกันใหม่นะน้องชาย ไป ทิ้ง"
พระองค์ดำกับบุญทิ้งเดินจากไป จันมองตามเคี้ยวฟันกรอดๆ
"ฮึ๊ยย์ ปล่อยไปทำไมยังงี้น่าจะกระทืบสั่งสอนมันซะให้เข็ด"
สมิงบอก
"ใจเย็นๆมันแต่งตัวดี แสดงว่าเป็นลูกเจ้าลูกนาย ขืนเรากระทืบมันตรงนี้ พวกทหารจับได้คงไม่เอาเราไว้แน่"
สมิงบอกกับสมุน
"เฮ้ยพวกเรา ตามมันไป รอให้ถึงที่ลับตาก่อน แล้วค่อยสั่งสอนมัน"
พวกสมุนทั้งห้าคนออกเดินตามองค์ดำไป จันขยับจะไปด้วย
"ข้าไปเอง"
สมิงรั้งตัวไว้
"เอ็งไม่ต้องไป ไอ้จัน"
จันฮึดฮัด
พระองค์ดำและบุญทิ้งเดินมาด้วยกันในบริเวณลับตาคนในเมืองหงสาวดี เป็นที่เปลี่ยวซึ่งไม่มีผู้คนเดินผ่านไปมา
"พวกนี้เป็นเด็กวัดอยู่ที่วัดรามัญแถวประตูโยเดียโน่น มีไอ้สมิงกับไอ้จันเป็นหัวโจก โดยเฉพาะไอ้จันที่ทำอวดเก่งนั่น ที่แท้มันเป็นผู้หญิง แต่ชอบทำตัวเป็นผู้ชาย"
"เอ็งรู้จักพวกมันดีหรือ"
"รู้ แต่ไม่อยากเข้าใกล้ พวกมันไม่ชอบให้ข้าเข้าไปหากินในวัด ข้าก็เลยอยู่ห่างพวกมัน"
ทั้งสองเดินมาจนถึงที่เด็กวัดทั้งห้าคนดักรออยู่ พวกมันออกมายืนล้อม
"เฮ้ย อะไรวะ" บุญทิ้งว่า
เด็กวัด 1 บอก "ส่งสร้อย แหวน กำไลมาให้ข้าซะดีๆ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว"
"อ้าว ไหนว่าเป็นเด็กวัด ไหงเป็นโจรไปได้ล่ะ" พระองค์ดำว่า
"ไม่ต้องพูดมาก จะส่งให้ข้าดีๆ หรือจะให้ข้ากระทืบเอ็งก่อน"
บุญทิ้งก้าวเข้ามาใกล้องค์ดำ
"พระองค์ถอยไปยืนชิดต้นไม้นั่นเร็ว ข้าจะไล่พวกมันไปเอง"
"หลีกไป ไอ้ทิ้ง เอ็งอย่ายุ่ง"
"นี่เจ้านายข้า ข้าต้องยุ่ง เข้ามา พวกเอ็งทั้งหมดนั่นแหละเข้ามา"
เด็กวัด1 สั่งพวก
"เอา พวกเรา"
กลุ่มเด็กทั้งหมดดาหน้ากันเข้ามารุม แต่ไอ้ทิ้งก็ชกต่อยพวกมันด้วยฝีมือการต่อสู้ที่ว่องไวกว่า จนในที่สุดกลุ่มเด็กวัดก็แตกกระเจิงหนีไป
"หนีไปไหนวะ ธ่อ ไม่แน่จริงนี่หว่า"
พระองค์ดำเดินมาจับไหล่บุญทิ้งด้วยความชื่นชม ไอ้ทิ้งพนมมือ
"เอ็งเก่งนี่หว่า ไอ้ทิ้ง ฝีมือมวยของเอ็งเร็วจนข้าดูแทบไม่ทัน"
"ก็แค่จำๆเขามาแหละ พระพุทธเจ้าข้า"
"ข้าอยากจะเป็นมวยอย่างเอ็งบ้าง เอ็งจะสอนข้าได้ไม๊"
" ได้ พระพุทธเจ้าข้า"
พระองค์ดำยิ้มพอใจ
"อย่างนี้สิ ถึงจะเรียกว่าเป็นสหายของข้าแท้ๆ"
บุญทิ้ง ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
อ่านต่อตอนที่ 2